ภาค 1 บทที่ 34 ขุนนางเมืองหลี่หนีไปไกลแล้ว?

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 34 ขุนนางเมืองหลี่หนีไปไกลแล้ว? ProjectZyphon

หนุ่มมังกรเงินยิ้มเย็น กล่าวขัดทันทีอย่างเย็นชาและโหดเหี้ยม “ข้าไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวของมดปลวกเช่นเจ้า ข้าแค่ต้องการจะบอกเจ้าว่าในโลกใบนี้ ไม่ว่าใครล้วนต้องได้รับผลจากการกระทำและถ้อยคำของตน จากประโยคเมื่อสักครู่นี้ของเจ้า ข้ากุดแขนเจ้าข้างหนึ่งตอนนี้ก็ไม่นับว่าเกินเหตุ…ใครก็ได้ สะบั้นแขนขวาของมัน”

ชายหนุ่มมีหนวดเคราพลันหน้าเปลี่ยนสี พยายามขัดขืนและถอยหนี “เจ้า…นี่มันจะเกินไปแล้ว ข้าแค่…”

ศิษย์สองคนของพรรคมังกรฟ้าชักกระบี่คมพลางก้าวไปหาชายหนุ่ม

“จงจำไว้ ชายที่ตัดแขนของเจ้าวันนี้คือฉินหย่ง ศิษย์เอกในความดูแลของ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ผู้คุมกฎซ้ายพรรคมังกรฟ้า” หนุ่มมังกรเงินผู้นั้นกล่าวเน้นทีละคำ “ถ้าเจ้ารับไม่ได้ วันหน้าข้ายินดีให้มาล้างแค้นได้ทุกเมื่อ”

ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายต่างเปลี่ยนสีหน้า

ช่างโหดเหี้ยมนัก

เพียงแค่พูดไปตามปากสั้นๆ ว่าเห็นดีกับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์มากกว่า ยังมิได้พาดพิงถึงพรรคมังกรฟ้าแม้แต่น้อย ยังถึงกับต้องตัดแขนคน…คนของพรรคมังกรฟ้าผู้นี้จะวางอำนาจบาตรใหญ่เกินไปแล้ว

แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก้าวออกไปพูดในสิ่งที่ชอบธรรม

เหล่าบุรุษจอมยุทธ์ที่ก่อนหน้านี้พูดคุยออกรสกับหนุ่มไว้หนวดเครา กลับถอยไปหลบอยู่ห่างๆ เป็นสิ่งแรก ไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเกลี้ยกล่อมสักประโยค

เจ้าของแผงร้านน้ำชาเป็นชายชราคนท้องถิ่นในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ตั้งร้านชาบนถนนสายนี้มานานยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีจิตใจดีงามในละแวกเพื่อนบ้าน เมื่อชายชราเห็นชายหนุ่มผู้มีหนวดเคราตื่นกลัวและสิ้นหวัง ก็อดไม่ได้คิดถึงลูกชายคนเดียวที่ถูกพรรคเสินหนงสังหารโหดและจากไปก่อนวัยอันควร ขณะนั้นความอดทนหมดไป ชายชราไม่สนใจภรรยาที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้สุดชีวิต พลันลุกขึ้นเข้าขัดขวาง กล่าวด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “จอมกระบี่ฉินท่านนี้โปรดฟังชายชราอย่างข้าก่อน หนุ่มคนนี้พูดจาไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกิน อีกทั้งเขาก็ถูกพวกท่านทำร้ายจนบาดเจ็บแล้ว ครั้งนี้พวกท่านปล่อยเขาไปเถิด จากนี้ไปเขาคงไม่กล้าทำอีก…”

ศิษย์สองคนของพรรคมังกรฟ้าหยุดและหันมองฉินหย่ง

ดวงตาของฉินหย่งมองมาที่เจ้าของร้านน้ำชา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลุง ท่านคือ…”

“ผู้เฒ่าเป็นชาวบ้านธรรมดาในอำเภอเมือง ตั้งร้านน้ำชาที่นี่มานานกว่ายี่สิบปี และไม่ใช่คนมีวรยุทธ์สูงส่งอะไร…จอมกระบี่ฉิน ท่านผู้ยิ่งใหญ่ควรใจกว้าง หากผ่อนปรนได้ก็ผ่อนปรน คราวนี้ไม่สู้ท่านปล่อยเขาไปเถิด” ชายชราเจ้าของร้านใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง พลางโค้งตัวลงประสานมือเอ่ย

ผัวะ!

เสียงตบหน้าดังกังวานขึ้น

ชายชราเจ้าของร้านน้ำชากระเด็นออกไปปะทะกำแพงอย่างแรง ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไปตรงขอบร้านน้ำชาที่ระเกะระกะ เลือดสีแดงใต้ร่างไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อเป็นแอ่งเลือดขนาดย่อม…

ชายชราธรรมดาจะทนต่อฝ่ามือของจอมยุทธ์ยอดฝีมือได้อย่างไร?

ไม่มีใครคาดคิดว่าฉินหย่งผู้ซึ่งมีใบหน้ารื่นรมย์ในชั่วอึดใจก่อน จู่ๆ จะลงมืออย่างโหดเหี้ยม “ไม่นะ…ตาเฒ่า…” หญิงชรานิ่งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยร้องครวญอย่างโศกเศร้าสิ้นหวัง แล้วพุ่งเข้าไปประคองชายชรา เมื่อพลิกกายมาก็เห็นใบหน้าที่บวมเป่งจนไม่เหมือนคน เลือดไหลออกมาจากปากและจมูก สีหน้าของหญิงชราตื่นตระหนกและไร้ที่พึงพิง หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรู

หนุ่มมังกรเงินฉินหย่งหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดมือ พูดเรียบๆ ว่า “ตาแก่บ้านนอกกล้าสอดมือยุ่งเรื่องในยุทธภพ รนหาที่ตาย”

เวลานี้ ชายหนุ่มมีเคราพลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อเห็นว่าชายชราติดร่างแหเพราะตัวเขาเอง เขาทั้งกลัวและโกรธจัด เลือดเดือดพล่าน เขาไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บ พยายามฝืนยืนขึ้นและตะโกนว่า “เศษสวะ เจ้ายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือไม่…ข้าและเจ้า เรามาสู้กัน” ร่างของเขาพุ่งเข้าไปสังหารฉินหย่งดุจสายฟ้าแลบ

ทว่าชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกไร้สังกัด ความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ

ผลสุดท้ายคือถูกยอดฝีมือของพรรคมังกรฟ้าสะบั้นแขนขาดข้างหนึ่ง เลือดทะลักดุจสายน้ำ หมดสติลงที่ริมร้านน้ำชา

กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายในอากาศ

ผู้คนรอบๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี

ฉินหย่งกวาดมองไปรอบๆ และยิ้มเอ่ยอย่างลำพองใจ “ผู้ต่อต้านพรรคมังกรฟ้าของข้า นี่คือจุดจบของพวกมัน จงจำไว้ให้ดี” กล่าวจบก็จากไปอย่างวางก้ามพร้อมกับศิษย์พรรคมังกรฟ้า

จวบจนยามนี้ เหล่าชาวบ้านในบริเวณนั้นจึงค่อยกล้าเข้ามาช่วยเหลือหญิงชราร้านน้ำชา

“ท่านป้าซ่งอย่าเพิ่งร้องไห้ พี่ใหญ่ซ่งยังไม่ตาย รีบส่งเขาไปโรงหมอถึงจะช่วยได้ทัน”

“ใช่ๆๆ ส่งเขาไปที่โรงหมอประจำเมืองเร็วเข้า ที่นั่นมีหมอมากฝีมือ นอกจากนี้ท่านหลี่ผู้ผดุงความยุติธรรมยังมีคำสั่งให้ผู้ยากไร้เข้ารักษาที่โรงหมอได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”

“ชายหนุ่มคนนี้ช่างน่าสงสารเช่นกัน หากไม่มีใครช่วยหยุดเลือดต้องตายแน่ พาไปด้วยกันเถิด”

ชาวบ้านในอำเภอเมืองล้วนซื่อสัตย์และมีเมตตา คนกลุ่มหนึ่งช่วยกันรื้อบานประตูมาทำเป็นเปลหาม ยกชายชราเจ้าของร้านน้ำชาและชายหนุ่มที่แขนขาดไปส่งโรงหมอในความดูแลของที่ว่าการอำเภอ

ห่างออกไปราวหกจั้ง ตรงทางเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กลุ่มหนุ่มสาวที่สวมเสื้อผ้าสีขาวแบบนักกระบี่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใบหน้าพวกเขาต่างแสดงความไม่พอใจ

“ผู้อาวุโส พรรคมังกรฟ้าอหังการเช่นนี้ เมื่อครู่ทำไมท่านไม่ให้พวกเราช่วยผู้คนและสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย”

“ถูกต้อง หรือว่าเราสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ยังต้องเกรงลิ่วล้อของพรรคมังกรฟ้าพวกนี้?”

เหล่านักกระบี่รุ่นเยาว์แค้นเคืองต่อความไม่ชอบธรรม

ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมมีชายชราในชุดคลุมสีขาวราวหิมะนั่งอยู่ผู้หนึ่ง

ผมของเขาเป็นสีเทา คิ้วยาวหางตก ใบหน้านิ่งสงบ ด้านหลังสะพายกระบี่โบราณที่อยู่ในฝักลายต้นสน เขากำลังใช้ตะเกียบคีบถั่วลิสงในจานทีละเม็ดอย่างระมัดระวัง เอ่ยเรียบๆ โดยไม่หันมาว่า “ครั้งนี้เราลงเขามาทำภารกิจสำคัญ ไม่ใช่เพื่อยุ่งเกี่ยวเรื่องในยุทธภพ”

ตรงข้ามกับชายชราผู้สะพายกระบี่มีชายชราในวัยเดียวกันอีกคน เขาสวมผ้าโพกหัว ใส่เสื้อแขนกว้างทำจากผ้าฝ้าย แต่งกายอย่างขุนนางนอกระบบราชการที่มีอันจะกิน ทว่าไม่ดึงดูดความสนใจ แต่ถ้าคนมีชื่อเสียงระดับกลางและสูงในอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ที่นี่ด้วย เพียงสังเกตโดยละเอียด พวกเขาจะต้องตื่นตกใจและจำได้ว่าชายชราผู้นี้คือโจวเจิ้นไห่ ผู้อาวุโสของตระกูลโจวที่หายสาบสูญไประยะเวลาหนึ่ง

ไม่มีใครคาดคิดว่าหัวหน้าตระกูลโจวผู้เป็นคนร้ายที่ทางการต้องการตัวจะกลับมาที่เขตอำเภอเมืองอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้

“ไม่ผิด ถ้าพวกเจ้าเข้าขัดขวาง ผู้คนมากมายจะคิดว่าสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เป็นพันธมิตรกับสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ และสำนักเราจะถูกบีบให้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวในยุทธภพทันที เมื่อถึงเวลานั้น คนจากโถงคุมกฎต้องถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้าเป็นแน่ ผู้อาวุโสโจวทำเช่นนี้ก็เพื่อพวกเจ้า” โจวเจิ้นไห่แย้มยิ้ม อธิบายกับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่กำลังเจ็บแค้นกับความไม่เป็นธรรม

เขาคิดว่าตนอายุมากแล้ว มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อเรื่องทางโลก เรื่องมากมายเพียงคิดก็รู้ส่วนได้ส่วนเสีย การคิดพิจารณาก็ถี่ถ้วนกว่าเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้ อีกทั้งเบื้องหน้าคือ ‘กระบี่โบราณผมขาว’ โจวเจิ้นเยวี่ย ญาติผู้น้องของเขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสนอกประจำสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงวางอำนาจเล็กน้อย

ใครจะรู้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์เลือดร้อนเหล่านี้ไม่เชื่อถือคำพูดเขาสักนิด

“จิ๊ เข้าไปพัวพันแล้วอย่างไร? หรือว่าสำนักกระบี่เราไม่ใช่สำนักในยุทธจักร? ยังต้องกลัวพวกมันอีก?”

“ใช่แล้ว กลุ่มเล็กๆ อย่างพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์จะมาเทียบกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ของเราได้อย่างไร? พวกมันก่อเรื่องก่อราวที่นี่ หลงลืมไปว่าตัวเองแซ่อะไร จากความเห็นของข้าควรจะสั่งสอนกันสักหน่อย ให้พวกมันเข้าใจว่าในขอบเขตเมืองฉางอัน สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ต่างหากที่เป็นใหญ่”

“ฮ่าๆ อย่าใช้ความคิดพ่อค้ามาตีความเรื่องสำนักในยุทธภพของเราเลย”

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้อาวุโสโจวเจิ้นเยวี่ย แต่กลับไม่ไว้หน้าโจวเจิ้นไห่แม้แต่น้อย เอ่ยวิจารณ์พลางเยาะหยัน ทำเอาโจวเจิ้นไห่ใบหน้าสลับสีแดงและเขียว กระดากอายและโกรธกริ้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ต่างมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อโจวเจิ้นไห่

เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะนับตั้งแต่เข้าเมืองมา ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งวัน พวกเขาก็ได้ยินเรื่องเลวร้ายที่สกุลโจววางอำนาจบาตรใหญ่และฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาในอำเภอขาวพิสุทธิ์มาไม่น้อย ทั้งยังได้ยินคำชื่นชมมากมายเกี่ยวกับความเป็นธรรมและเห็นอกเห็นใจประชาชนของขุนนางเมืองหลี่มู่ สิ่งนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่โจวเจิ้นไห่ด่าว่าหลี่มู่โหดร้ายทารุณกดขี่ผู้คนตอนอยู่สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์

ถ้าไม่ใช่เพราะความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสโจวเจิ้นเยวี่ย พวกเขาคงจะจากไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังอยู่เพื่อล้างแค้นให้สกุลโจว

“พี่ใหญ่ นี่…” โจวเจิ้นไห่มีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย

โจวเจิ้นเยวี่ยซึ่งสะพายกระบี่โบราณในฝักลายสนกินถั่วลิสงบนจานตรงหน้าเสร็จแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปทางที่ว่าการที่ด้านบนของเมืองภูเขา พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน จงเฝ้าดูฝนฟ้าเอาไว้”

…….

ฉินหย่งยอดฝีมือระดับมังกรเงินของพรรคมังกรฟ้าทำร้ายชาวบ้านในเมือง ตัดแขนของชายหนุ่มจากสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วอย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้เป็นดั่งกังหันตรวจทิศลม

ผู้คนมากมายต่างรอดูปฏิกิริยาของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ต่อเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยังอยากเห็นปฏิกิริยาของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ไม่ปรากฏตัวผู้นั้น ไม่กล่าวถึงสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ พูดถึงแค่ขุนนางเมือง จากข่าวลือต่างๆ เขาเป็นคนที่รักประชาชนอย่างลึกซึ้งและมีนิสัยหุนหันพลันแล่น หากเรื่องนี้ถึงหูเขา เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ตอบสนองกระมัง?

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากทางอำเภอ

ถึงแม้โรงหมอของทางการรักษาลุงเจ้าของร้านน้ำชาที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับรักษาชายหนุ่มที่โดนตัดแขนแล้ว แต่ก็มีข่าวที่เชื่อถือได้เล่าว่าเรื่องนี้ถูกรายงานไปยังทางอำเภอเรียบร้อย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทางที่ว่าการดูเหมือนจะไม่มีความเห็นใดๆ กลับมา แม้แต่การประณามพรรคมังกรฟ้าเป็นเชิงสัญลักษณ์ก็ไม่มีให้เห็น ยังรักษาท่าทีสงบราวกับคนตาย

สำหรับตัวขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ซึ่งอยู่ใจกลางของวังวนนี้ ยิ่งไม่มีร่องรอยของเขาปรากฏ

ขลาดกลัวแล้วหรือ?

คนในยุทธภพได้ข้อสรุปเช่นนี้

หลังจากนั้น จอมยุทธ์ที่เข้ามาในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ซึ่งเคยเกรงกลัวอำนาจของทางการก็เปลี่ยนมาโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คน แม้แต่คนที่มีฐานะร่ำรวยบางคนก็ถูกปล้นชิง ซ้ำยังมีเรื่องบังคับขืนใจสตรีเกิดขึ้น ทำให้ชาวอำเภอเมืองต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก

ในวันที่สาม ประชาชนในเมืองจำนวนมากเลือกผู้อาวุโสและผู้แทนที่มีคุณธรรมประมาณหลายร้อยคนเดินทางไปยังที่ว่าการเพื่อร่วมกันร้องทุกข์ หวังว่าใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรมจะปรากฏตัวออกมาและหยุดยั้งคนในยุทธภพที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย แต่ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าตัวแทนของชาวบ้านเหล่านี้ไม่ได้พบหลี่มู่ ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง

สัญญาณต่างๆ แสดงให้เห็นว่าหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ใต้เท้าหนุ่มผู้ทำลายพรรคเสินหนงด้วยตัวคนเดียวเหมือนจะหวาดกลัวแล้วจริงๆ จึงซ่อนตัวอยู่เรือนหลังที่ว่าการ ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา

กระทั่งมีบางข่าวลือเล่าว่าขุนนางเมืองหนุ่มน้อยรู้ตัวว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อีกทั้งยังหวาดกลัวในใจ ความจริงใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ อาศัยช่วงชุลมุนที่คนดีชั่วปะปนกันหนีไปแล้วตั้งแต่ต้น

คำเล่าลือต่างๆ นานาโหมกระพือ แพร่สะพัดไปทั่วเขตคาม

……………………………….