ตอนที่ 43 สะอื้นไห้

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

อู๋เป่าจางทั้งกังวลและโกรธ จนเกือบจะหยุดหายใจ

 

 

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของโจวเสาจิ่น ทำให้แม้แต่การร้องไห้ของนางก็กลายเป็นเรื่องที่ผิด!

 

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่านางจะกู้คืนตัวเองกลับมาได้เล็กน้อยจากความตกต่ำที่พานชิงสร้างขึ้นมา แต่กลับถูกโจวเสาจิ่นทำลายจนพังไปอีกครั้ง

 

 

เด็กสาวที่มีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ตระกูลใดจะกล้าสู่ขอไปเป็นสะใภ้กัน?

 

 

ระหว่างที่กำลังลนลานอยู่นั้นก็เกิดความคิดขึ้นมา มือกุมหน้าผาก ร่างกายอ่อนยวบลง ตัดสินใจว่าจะ ‘เป็นลม’ ล้มพับลงไปเลยก็แล้วกัน

 

 

หนึ่งร้องไห้ สองส่งเสียงดังโวยวาย และสามแขวนคอตัวเอง

 

 

พานจื๋อนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีอนุ แต่กลับมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาพัวพันด้วยไม่น้อย

 

 

พานชิงที่เฝ้าสังเกตอู๋เป่าจางมาโดยตลอดนั้นพลันเข้าใจเจตนาของอู๋เป่าจางขึ้นมาในทันที

 

 

หากว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู๋เป่าจางนั้นไม่ใช่เจียงซื่อ นางคงจะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่งแล้วให้อู๋เป่าจางเสแสร้งแกล้งทำต่อไป แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู๋เป่าจางคือท่านป้าใหญ่ผู้ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของนาง หากว่าอู๋เป่าจางเป็นลมล้มพับลงไปในตอนนี้ ในสายตาของคนอื่น ไม่ใช่จะกลายเป็นว่าท่านป้าใหญ่ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างอู๋เป่าจางไปแล้วหรอกหรือ

 

 

พานชิงก้าวเท้ายาวจากระยะสามก้าวเหลือสองก้าวแล้วก็เดินไปถึงข้างๆ อู๋เป่าจางอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้อู๋เป่าจางตัวอ่อนจนร่วงลงไปก็จับแขนของอู๋เป่าจางเอาไว้แน่น หันไปส่งสายตาให้เจียงซื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนเรียก ‘กั่วเอ๋อร์’ สาวใช้ข้างกายของเจียงซื่อเสียงร้อนลน กล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบไปเอาน้ำใส่อ่างมาให้คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋อีก เจ้าไม่เห็นหรือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ร้องไห้จนสีชาดเลอะไปหมดแล้ว”

 

 

เจียงซื่อเองก็เติบโตมาจากครอบครัวขุนนาง แค่จำนวนพี่น้องก็มีแล้วเจ็ดถึงแปดคน เหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยพบเห็นมาก็มากแล้วตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ว่าหลังจากที่แต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงก็ไม่เคยได้พบเห็นอีก

 

 

ตอนที่เห็นพานชิงส่งสายตามาให้นาง นางงุนงงไปครู่หนึ่งถึงได้มีปฏิกิริยาตอบรับออกมา รีบกึ่งดึงกึ่งประคองอู๋เป่าจางให้ตั้งตรงเอาไว้ในทันที

 

 

พานชิงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

 

 

นางไม่มีแรงพอจะจับอู๋เป่าจางให้ตั้งตรงขึ้นได้จริงๆ!

 

 

อู๋เป่าจางรู้สึกจนปัญญา จะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ จะลงก็ลงไม่ได้ ลมหายใจหนึ่งติดอยู่ที่อก ดวงตาทั้งสองข้างกรอกไปมา รู้สึกราวกับว่าจะเป็นลมล้มลงไปจริงๆ

 

 

เจียงซื่อโอดครวญอยู่ในใจอย่างเย็นชา หันไปบีบตรงกลางฝ่ามือของอู๋เป่าจางแรงๆ บังคับให้ลมหายใจของอู๋เป่าจางที่ติดอยู่นั้นถูกบีบออกมา

 

 

เวลานี้ต่อให้อู๋เป่าจางอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปก็ไม่สามารถทำได้

 

 

ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำตาอย่างช่วยไม่ได้ หันไปมองฮูหยินคนที่เพิ่งจะปลอบโยนนางไปเมื่อกี้ผู้นั้นอย่างอ่อนแอ

 

 

ฮูหยินผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะก้าวออกมานั้น ในห้องโถงกลับมีเสียงที่เจือรอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าถังซื่อจวนรองดังเข้ามา “ไอ้หยา นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกคนไม่ไปนั่งประจำที่ มายืนทำอะไรกันอยู่ที่นี่”

 

 

ทุกคนต่างมองไปตามเสียงนั้น

 

 

ก็เห็นหงซื่อผู้ซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่อี๋กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นแม่สามีเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม

 

 

เหล่าสตรีในห้องโถงต่างทยอยกันเดินออกไปทักทายฮูหยินผู้เฒ่าถัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังพยักหน้าให้ทุกคนคนแล้วคนเล่า จากนั้นกล่าวกับเจียงซื่อว่า “หลานสะใภ้หลู เจ้าไม่อยู่ช่วยข้ารับแขกที่ลานเปิดโล่ง ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีกอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ หลานพาน และหลานรองตระกูลโจว พวกเจ้าสามคนทำอะไรกันอยู่หรือ”

 

 

พานชิงไม่ได้พูดอะไร

 

 

เจียงซื่ออยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ถึงคราวที่นางจะต้องพูด

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

 

 

แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่ชอบออกตัวก่อน พูดมากก็ผิดพลาดมาก ไม่สู้รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยพูดทีหลัง

 

 

มีเพียงอู๋เป่าจางที่สีหน้าเดี๋ยวก็เขียวคล้ำเดี๋ยวก็ซีดขาว

 

 

หากว่าไม่มีคนนำความไปแจ้ง คนที่มีสถานะระดับฮูหยินผู้เฒ่าถัง จะเพียงแค่มองก็สามารถจดจำตนเองได้แล้วได้อย่างไร

 

 

และฮูหยินผู้เฒ่าถังที่ควรจะอยู่ต้อนรับแขกที่ลานเปิดโล่งจะพาหงซื่อผู้เป็นสะใภ้มาด้วยตัวเองได้อย่างไร

 

 

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่บ้าง แต่ก็ไม่ตำหนิโจวเสาจิ่นที่ยั่วยุให้เกิดความหมาดบาง ไม่ตำหนิพานชิงที่รุกรานแขก กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ใช่เป็นเพราะคิดจะให้โอกาสกับโจวเสาจิ่นและพานชิงได้อธิบายหรอกหรือ

 

 

ทั้งพานชิงและโจวเสาจิ่นทั้งสองคนต่างก็ไม่พูดอะไร ไม่ใช่ว่าจะอาศัยให้ผู้ใหญ่ช่วยออกหน้าแทนพวกนางหรอกกระมัง

 

 

ที่นางเสแสร้งแกล้งทำอยู่นี้กำลังหลอกใครอยู่กันแน่

 

 

อู๋เป่าจางถูกโจวเสาจิ่นและพานชิงถากถางครั้งแล้วครั้งเล่า และคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าถังก็เสมือนกับได้บดขยี้ฟางเส้นสุดท้ายของนาง ทำให้นางดาลโทสะ เด้งตัวขึ้นมาอยากจะโต้เถียงกับโจวเสาจิ่นและพานชิง แต่เมื่อนางเห็นอู๋เป่าหวาผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาที่อยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่าถังแล้ว ทันใดนั้นทั้งร่างก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นด้วยความกลัว

 

 

เพื่อให้อู๋เป่าหวาได้แสดงตัวต่อหน้าบรรดาฮูหยินทั้งหลายของเมืองจินหลิง ในโอกาสเช่นนี้ อู๋เป่าหวาที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายมารดาเลี้ยงอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยไร้สาเหตุ

 

 

ดูแล้วไม่ใช่แค่ฮูหยินผู้เฒ่าถังเท่านั้น มารดาเลี้ยงเองก็รู้แล้วเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่บ้าง

 

 

มารดาเลี้ยงนั้นเคยชินกับการแสดงละคร ยามอยู่ต่อหน้าคนของตระกูลเฉิงย่อมไม่พูดอะไรอย่างแน่นอน แต่เมื่อกลับไปแล้วอาจจะเอะอะโวยวายเรื่องอะไรบางอย่างออกมาได้

 

 

นางไม่อาจบันดาลโทสะได้

 

 

การบันดาลโทสะช่วยแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้

 

 

เรื่องนี้เป็นนางที่พลาดไปแล้ว!

 

 

นางไม่ควรจะวางใจจนขาดความระมัดระวัง

 

 

คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นที่ดูอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัยนั้นกลับเป็นคนที่ไม่ควรไปยั่วเย้าด้วยเช่นนี้ ตนกล่าวขอโทษนางไปแล้วก็ยังไม่ยอม ต้องให้นางได้กำจัดความโกรธดังกล่าวทิ้งไปเสียก่อนถึงจะยอมวางมือ

 

 

อู๋เป่าจางสงบนิ่งลง เพียงพริบตาเดียวก็คิดแผนขึ้นมาได้

 

 

ขอบตาของนางแดงขึ้น จากนั้นก้าวออกไปดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าถังเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ก่อนหน้านี้เข้าใจคุณหนูรองตระกูลโจวผิด จึงได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกไป ท่านมาได้จังหวะพอดี ต้องช่วยผู้น้อยขอความเมตตา ขอร้องให้คุณหนูรองตระกูลโจวอย่าเคืองโกรธข้าอีกก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ด้วยวิธีนี้ โจวเสาจิ่นก็ไม่อาจมาโต้แย้งอะไรกับนางได้อีก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังโกรธจนแทบจะทนไม่ได้

 

 

เหลือบตามองไปที่ถังมามาคนข้างกายของตนอย่างเงียบเชียบครั้งหนึ่ง

 

 

ก่อนที่นางจะมาก็ได้สั่งเอาไว้แล้วว่า ทันทีที่ตนเอ่ยถามขึ้นถึงความขุ่นเคืองใจของเด็กสาวทั้งสามคน ก็ให้ถังมามาก้าวออกมากระซิบกับตนเองครู่หนึ่ง จากนั้นตนก็จะได้กล่าวอ้างได้ว่า ‘เป็นเพราะเด็กสาวยังไม่รู้ความ’ ตัดเส้นด้ายป่านที่พันกันยุ่งเหยิงให้ขาดด้วยมีดอย่างเร็วเพื่อทำให้เรื่องนี้สงบและจบลง ตอนนี้กลับเป็นตรงกันข้าม ถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ฉวยโอกาสนี้ไปก่อน

 

 

หลานรองตระกูลโจวผู้นั้นเองก็เหมือนกัน กวนซื่อจวนสี่ก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมออกปานนั้น นางได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่จวนสี่มาตั้งหลายปี กลับไม่รู้จักเรียนรู้มาเลยแม้แต่น้อย ได้ยินคุณหนูใหญ่อู๋กล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ยังไม่คิดจะออกมากล่าวขอโทษก่อนอีก ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งมราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังติเตียนอยู่ในใจ จากนั้นหัวเราะร่าซ้ำๆ พลางกล่าว “หลานรองตระกูลโจว อย่างที่คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ได้กล่าวเอาไว้ว่าเป็นการเข้าใจผิด เจ้าคิดว่าเจ้าจะ…”

 

 

หากไม่ใช้โอกาสนี้ให้อู๋เป่าจางได้รับบทเรียนสักหน่อย เกรงว่าในอนาคตนางอาจจะยังคิดว่าตนเป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่จะบีบหรือกลั่นแกล้งอย่างไรก็ได้อีก

 

 

ความคิดโลดแล่นอย่างรวดเร็วอยู่ในหัวของโจวเสาจิ่น ทว่าบนใบหน้ากลับแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา เอ่ยเสียงหนึ่งไปว่า “นายหญิงผู้เฒ่าถัง” จากนั้นส่งสายตามองไปที่พานชิง

 

 

ก่อนหน้านี้คนในห้องโถงต่างก็ไม่ได้สังเกตว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างโจวเสาจิ่นและอู๋เป่าจาง เห็นเพียงตอนที่โจวเสาจิ่นกับอู๋เป่าจางมาหาพานชิงเพื่อการยืนยัน พานชิงกล่าวถากถางประชดประชันอู๋เป่าจางไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นโจวเสาจิ่นที่ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่ออู๋เป่าจางอย่างไม่สุภาพ แต่อู๋เป่าจางที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่เช่นนั้น นางที่เป็นญาติของตระกูลเฉิง อายุก็ยังน้อย จะทนไม่ได้และกล่าวถากถางอู๋เป่าจางไปสักสองสามประโยคก็ยังพอจะให้อภัยได้ กลับกันกับอู๋เป่าจาง ทั้งๆ ที่มาประจันหน้ากับพานชิง แต่สุดท้ายกลับผลักปัญหาไปไว้บนตัวของโจวเสาจิ่นแทน ก็ไม่แปลกใจที่โจวเสาจิ่นจะปฏิบัติกับนางอย่างไม่สุภาพ

 

 

นอกจากนี้ โจวเสาจิ่นนั้นหน้าตาดูว่านอนสอนง่าย อ่อนโยน และน่ารัก จึงมีบางคนไม่ชอบอู๋เป่าจางและกล่าวเสียงเบาขึ้นว่า “คุณหนูอู๋ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องระหว่างเจ้ากับคุณหนูพาน แต่ทำไมกลับไปกล่าวถึงคุณหนูรองตระกูลโจวได้ ข้าว่าเจ้ามีเรื่องอะไรก็น่าจะกล่าวออกมาตรงๆ จะดีกว่า เช่นนี้จะกลายเป็นสามบ้านลามไปสี่บ้าน เจ้าเป็นถึงคุณหนูของตระกูลใหญ่ เหตุใดถึงได้พูดจาและกระทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้”

 

 

คนที่โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ผู้นี้คือผู้ใดกันอีก?

 

 

อู๋เป่าจางโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง

 

 

นางไม่รู้ว่าคนผู้นี้เกี่ยวดองกับเซินชิงอวิ๋นผู้เป็นถงจือของเมืองจินหลิง แต่เซินชิงอวิ๋นกับเจ้าเมืองอู๋ผู้เป็นบิดาของนางนั้นกลับไม่ค่อยลงรอยกัน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังเองก็ไม่รู้จักคนผู้นี้เช่นกัน

 

 

นางเหลือบมองไปที่พานชิงอย่างเคลือบแคลงเป็นที่สุดครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าจวนสามทั้งหมดล้วนเป็นพวกที่ชอบสร้างเรื่องกวนน้ำให้ขุ่น ไม่มีคนจริงใจและประพฤติเหมาะสมเลยสักคน แม้แต่งงานออกไปแล้ว ก็ยังเปลี่ยนพฤติกรรมไม่แย่ๆ พวกนั้นไปไม่ได้ ในใจของนางราวกับกลืนกินแมลงวันเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แล้วก็ไม่มองโจวเสาจิ่นอีก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เป็นหลานชิงที่กวนเรื่องให้ขุ่นนี่เอง! ทำไมเจ้าถึงให้หลานรองตระกูลโจวช่วยเจ้าปิดบังเอาไว้! ยังไม่รีบไปกล่าวขอโทษคุณหนูใหญ่อู๋อีก?”

 

 

เจียงซื่อได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำลังคิดจะหยุดพานชิงเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่าพานชิงกลับก้าวออกไปสองสามก้าวและหันไปคารวะคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋แล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเม้มริมฝีปากเอาไว้แล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง และบ่นพึมพำได้ใจความว่า ‘ข้าไม่ผิด แต่เพราะผู้ใหญ่ออกปากไปแล้ว ข้าจึงจำต้องกล่าวขอโทษเจ้าก็เท่านั้น’

 

 

สีหน้าของอู๋เป่าจางเปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนกับว่าตนน่าจะทำพลาดไปอีกแล้ว!

 

 

ทั้งหมดล้วนเป็นจิ้งจอกกันทั้งฝูง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังก่นด่าอยู่ในใจ ทว่าปากกลับเอ่ยออกไปว่า “ดีแล้วๆ พวกเด็กสาวทะเลาะเบาะแว้งกัน ทะเลาะวันนี้ พรุ่งนี้ก็ดีกันแล้ว พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็อย่าไปร่วมวงด้วยเลย จะได้ไม่เป็นการยิ่งช่วยก็ยิ่งทำให้ยุ่งเข้าไปกันใหญ่” ไม่นานต่อจากนั้น นางสั่งการหงซื่อว่า “เจ้าอยู่ต้อนรับแขกที่นี่ ต้องดูแลแขกเหรื่อให้ทั่วถึง ให้ทุกคนได้ทานและดื่มอย่างดี” จากนั้นก็ดึงเจียงซื่อเอาไว้ “เจ้าไปช่วยข้าอยู่เป็นเพื่อนแขกที่ลานเปิดโล่ง ส่วนเรื่องของพวกเด็กสาว ก็ให้พวกนางคุยกันเอง” และยังกล่าวกับบรรดาสตรีในห้องโถงอีกว่า “หากว่ามีที่ใดที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ทุกท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”

 

 

“ไม่เลยเจ้าค่ะๆ!” ทุกคนต่างยิ้มและพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าถัง

 

 

ไม่รู้ว่าซื่อเอ๋อร์ผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้นเข้ามาจากตรงที่ใด

 

 

นางยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง นายหญิงผู้เฒ่ากำลังตามหาท่านเสียทั่วทุกที่ ท่านรีบตามข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นที่กำลังคิดจะหนีไปอยู่นั้น ก็ยิ้มแล้วเดินไปที่ลานเปิดโล่งก่อนเจียงซื่อและฮูหยินผู้เฒ่าถังไปหนึ่งก้าว

 

 

ไม่นานหลังจากนั้นพานชิงก็ถูกเจียงซื่อดึงตัวออกไปด้วย

 

 

เหลือเพียงอู๋เป่าจาง อู๋เป่าหวามองนางอย่างเงียบๆ อยู่เช่นนั้น จนกระทั่งนางแสดงสีหน้าอึดอัดออกมาอยู่หลายส่วน และค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยตัวเอง อู๋เป่าหวาจึงกล่าวเสียงเบาขึ้นว่า “ท่านแม่บอกว่า เกรงว่าท่านพ่อและพี่ชายดื่มสุรากลับไปแล้วจะไม่มีคนดูแล ให้พี่สาวล่วงหน้ากลับไปสั่งบ่าวไพร่ที่จวนให้ตุ๋นน้ำแกงช่วยสร่างเมาเอาไว้เจ้าค่ะ”

 

 

นี่เป็นการไล่ตนให้กลับจวนไปก่อน!

 

 

ในปากของอู๋เป่าจางขมปร่าราวกับมีถุงน้ำดีที่แตกแล้วอยู่อันหนึ่ง

 

 

นางมองไปที่ลานเปิดโล่ง รู้สึกราวกับว่ามีหุบเหวลึกสายหนึ่งอยู่ตรงหน้าตนเอง

 

 

นี่คือความแตกต่างของลูกที่มีมารดากับลูกที่ไม่มีมารดาอย่างนั้นสินะ?

 

 

น้องสาวของตนพูดจากับตนเช่นนี้ แต่นางนั้น แม้แต่จะเคืองโกรธก็ยังทำไม่ได้!

 

 

อู๋เป่าจางพยักหน้ารับช้าๆ

 

 

นางเองก็ไม่คิดจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งอีก

 

 

กลับไปทำอะไรที่ลานเปิดโล่งกัน ไปดูว่าคนที่บ้านของโจวเสาจิ่นและพานชิงต่างรักใคร่พวกนางอย่างไรบ้างเช่นนั้นหรือ

 

 

อู๋เป่าจางอาศัยอู๋เป่าหวา ‘ติดตาม’ เอาไว้ แล้วออกจากห้องโถงและออกจากตระกูลเฉิงไป

 

 

ที่ลานเปิดโล่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ ไม่นานจะมีการจุดดอกไม้ไฟ ทั้งมืดและเต็มไปด้วยควัน ง่ายต่อการเกิดเรื่องใดๆ ขึ้นได้ พวกเจ้าพี่น้องต้องห้ามไปที่ไหน อีกเดี๋ยวก็ติดตามอยู่ข้างๆ ข้า” จากนั้นให้มามาที่เป็นแม่บ้านของจวนรองผู้หนึ่งพาโจวเสาจิ่นไปรวมกลุ่มกับโต๊ะของโจวชูจิ่น

 

 

จริงๆ แล้วโจวเสาจิ่นไม่อยากสนใจอู๋เป่าจางกับพานชิงอีก

 

 

นางยิ้มพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินตามมามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับตะโกนเรียกโจวเสาจิ่นเอาไว้ และกล่าวกับมามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นว่า “จัดโต๊ะใหม่อีกโต๊ะหนึ่งเถอะ! ต่อให้มีที่นั่งมากมาย แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้คุณหนูหลายๆ คนนั่งแออัดอยู่ด้วยกัน”

 

 

มามาที่เป็นแม่บ้านผู้นั้นยิ้มอย่างสุภาพพลางเดินไปจัดเตรียมโต๊ะ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง และกล่าวว่า “จริงๆ แล้วนี่เป็นเพราะข้าที่ไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบ เจ้าไม่ตำหนิข้าก็ดีแค่ไหนแล้ว”

 

 

…………………………………………………………….