เพราะคิดได้แล้วบางส่วน เล่อเหยาเหยาจึงไม่ใส่ใจที่ต้องเผชิญหน้ากับพญายมทุกวัน กระทั่งอาหารที่นำมาก็กินเยอะกว่าเมื่อก่อนหนึ่งถ้วย
แม้ตอนเช้า พญายมจะไม่ได้ให้เธอตื่นไปปรนิบัติ แต่ไม่หมายความว่างานวันนี้ของเธอจะไม่ต้องทำ
ดังนั้นหลังกินอาหารเสร็จ เล่อเหยาเหยารีบวิ่งกลับเรือนหย่าเฟิง ทำงานที่ตนต้องทำทันที
ทว่า เพราะเธอเป็นขันทีข้างกายท่านอ๋อง งานหนักในเรือนหย่าเฟิงจึงเป็นหน้าที่ของคนอื่น ทุกวันเธอเพียงทำงานเบาๆ เช่นเช็ดโต๊ะเก้าอี้ ถอนต้นหญ้า ปัดกวาดห้องหนังสือในเรือนหย่าเฟิงพวกนี้เท่านั้น
หลังจากที่ยุ่งมาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดกระถางดอกไม้หน้าเรือนหย่าเฟิงถูกรดน้ำจนหมด โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดในห้องโถงสะอาดสะอ้านหลังใช้ผ้าเช็ดถู
สุดท้ายเหลือเพียงห้องหนังสือที่ยังไม่ได้ปัดกวาด
ขณะที่เล่อเหยาเหยาผลักเปิดประตูไม้ลายสลักห้องหนังสือ เห็นว่าห้องหนังสือกว้างอย่างยิ่ง ในใจอดหดหู่ไม่ได้
อันที่จริงห้องหนังสือแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ นอกจากนี้ยังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่และสูงวางอยู่เรียงราย
หนังสือบนชั้นมากมายมหาศาล หลากหลายแขนง ทำให้คนละลานตายิ่งนัก
ไม่รู้พญายมผู้นี้สร้างภาพหรือมีเหตุผลใดกันแน่ ภายในห้องหนังสือถึงดูราวกับเป็นห้องสมุดขนาดเล็ก ที่ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึง
ทว่าตื่นตะลึงไปมา เล่อเหยาเหยายังถือผ้าและถังน้ำ เดินเข้าไปในห้องหนังสือ
จากนั้นหยิบไม้กวาดปัดกวาดห้องหนังสือหนึ่งรอบ จากนั้นนำผ้าแห้งเช็ดถูของทั้งหมดในห้องอีกรอบ
ทว่าห้องหนังสือนี้ เพราะปัดกวาดทุกวัจึงสะอาดอยู่แล้ว ไม่จพเปนต้องปัดกวาดบมากมาย
แต่เล่อเหยาเหยาเห็นว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ พญายมยังอยู่ในวังหลวง จึงว่างจนต้องหาเรื่องใส่ตัว
ดังนั้นหลังเล่อเหยาเหยาหยิบผ้าแห้งเช็ดถูชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่นั้นเสร็จ ใช้ไม้กวาดขนนกปัดฝุ่นบนหนังสือ สุดท้ายค่อยๆ เช็ดถูโต๊ะหนังสือที่มีเพียงตัวเดียวในห้องหนังสือ
เมื่อเห็นโต๊ะหนังสือ รู้เลยว่าเป็นที่อ่านหนังสือทำงานในแต่ละวันของพญายม อันที่จริงด้านในที่ฝหมึกบนโต๊ะหนังสือ ยังหลงเหลือน้ำหมึกที่ยังไม่แห้งอยู่เลย!
เมื่อคืนพญายมน่าจะอยู่ที่นี่เขียนอะไรบางอย่างเป็นแน่
ขณะที่คิดในใจ เล่อเหยาเหยาเช็ดถูโต๊ะไปด้วย
เมื่อเช็ดถูโต๊ะหนังสือและเก้าอี้จนสะอาด สุดท้ายเมื่อเห็นงานที่ต้องทำทั้งหมดเสร็จลง เธอตบมือคิดจะกลับออกไป ก่อนจะหาสถานที่เย็นสบายพักผ่อน
คิดไม่ถึงว่าขณะที่เธอหมุนตัวกลับ เท้ากลับเตะเข้าที่ด้านข้างของตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่ม้วนภาพวาดเข้า เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นตระกร้าไม้ไผ่ล้มลง ม้วนภาพวาดด้าในทั้งหมดหล่นมาอยู่ด้านข้าง เลอเหยาเหยาที่เห็นจึงตกใจอย่างมาก
ทว่าเมื่อมองอีกครั้งเห็นด้านในตะกร้าไม้ไผ่คือม้วนภาพวด ไม่มีของที่แตกหักง่าย ใจที่เดิมทีร้อนรนผ่อนคลายลงในที่สุด
“ฟู่ โชคดีเป็นเพียงม้วนภาพวาด ไม่งั้นขายตัวเองยังชดใช้ไม่พอเลย”
เล่อเหยาเหยาตบที่หน้าอกอย่างตกใจ พลางเอ่ยพึมพำ
อันที่จริงในวังอ๋องสิ่งของมีค่าทั้งหมด ล้วนมีคุณค่าสูง แม้จะเป็นแจกันดอกไม้อันเล็ก ก็ราคาสูงถึงสองร้อย หากเธอไม่ระวังทำแตกเสียหาย คงต้องทำงานชดใช้อนู่ในวังอ๋องเป็นร้อยปีแน่
ขณะคิดในใจ เล่อเหยาเหยาพลันนั่งลงบนพื้น นำตะกร้าไม้ไผที่ล้มตั้งขึ้น ก่อนจะค่อยๆ นำม้วนภาพวาดที่ตกกระจัดกระจายวางกลับเข้าไปในตระกร้าไม้ไผ่
ทว่าขณะที่เธอหยิบม้วนภาพสุดท้ายขึ้นมา ภาพนั้นตอนตกลงมาเปิดออกเล็กน้อย จึงปรากฎภาพด้านในออกมา จนดึงดูดสายตาของเล่อเหยาเหยา และสร้างความประหลาดใจให้เธอ
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงหยิบภาพวาดนั้นขึ้นมา ก่อนจะคลี่ออก
สิ่งที่ปรากฎต่อสายตาเล่อเหยาเหยาคือเอวคอดเล็ก ส่วนหน้าอกที่แบนราย และคอเรียวยาว
เห็นชัดว่านี่คือภาพวาดของสาวแยกแย้มที่งดงามผู้หนึ่ง
เรื่องนี้ทำให้เล่อเหยาอดตะลึงในใจไม่ได้
“อี๋ ห้องหนังสือของพญายมเพราะเหตุใดถึงมีภาพวาดผู้หญิงได้ ทุกคนพูดว่าพญายมไม่ชื่นชอบผู้หญิง กระทั่งในวังอ๋องล้วนไม่มีสาวใช้ นอกจากนี้แม้อยู่ด้านนอก เขาก็ไม่อนุญาตผู้หญิงคนใดเข้าใกล้ แต่เพราะเหตุใดกลับมีภาพผู้หญิงอยู่ที่นี่? ผู้หญิงในภาพ ความจริงเป็น…”
คนที่อยู่ในใจพญายม!?
ความคิดที่โผล่ขึ้นในใจ ทำให้เธอตกตะลึง คิดจะคลี่เปิดม้วนภาพออก ดูลหน้าตาของหญิงสาวในภาพ อันที่จริงคนในใจของพญายม นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ หลังเธอดูเสร็จต้องไปนินทากับเสี่ยวมู่จื่อสักนิดถึงจะดี
ใครบอกว่าพญายมไม่ชมชอบผู้หญิงกัน!? สิ่งที่อยู่ในมือเธอคือหลักฐาน!
ยิ่งคิด ในใจเล่อเหยาเหยายิ่งตื่นเต้นดีใจมากขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เพราะถึงอย่างไรคนในใจของพญายม เป็นสิ่งที่ทำให้คนตื่นเต้นที่สุด!
ทว่าเล่อเหยาเหยาที่กำลังตื่นเต้น ค่อยๆ คลี่ภาพวาดนั้นเปิดออก สายตามองอย่างอยากเห็นรูปโฉมของผู้หญิงในภาพวาดนั้น คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะไม่เห็นใจ น้ำเสียงแหบพร่าที่คุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหลังเธอ
“เจ้ากำลังทำอันใด!?”
น้ำเสียงแฝงความแหบพร่าเจ็ดส่วน เกียจคร้ายสามส่วน ความรู้สึกและคุ้นชินเช่นนี้ คงไม่ใช่ท่านอ๋องที่ไม่ควรปรากฎตัวตอนนี้ผู้นั้น!
“เอ้อ”
เมื่อได้ยินเสียงดังจากทางด้านหลัง เล่อเหยาเหยาสั่นเทิ่มไปทั้งตัว พลันนำภาพวาดในมือที่ยังไม่ได้ดูและภาพวาดที่ตกอีกสองสามอันขึ้นมา ก่อนวางกลับเข้าไปในตะกร้าไผ่
จากนั้นเล่อเหยาเหยาหมุนตัว ก้มหน้าก้มตาลง ทำท่าทางของบ่าวรับใช้ ก่อนจะเขย่งขา โค้งตัวลงเอ่ยปากอย่างนอบน้อมกับชายหนุ่มตรงหน้า
“ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“อืม”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตอบรับเพียงเบาๆ กับการทำความเคารพของเล่อเหยาเหยา ก่อนจะมองไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ข้างตัวเธอ
เล่อเหยาเหยาเดิมทีว้าวุ่นใจเพราะการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของเขา สังเกตเห็นสายตาที่มองยังตะกร้าไม้ไผ่ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ คล้ายหวาดกลัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยปากอธิบายทันที
“คือ เมื่อครู่บ่าวไม่ระวังทำตะกร้าไม้ไผ่ล้ม ของด้านใน บ่าวไม่เห็นอะไรเลยนะขอรับ!”
กลัวว่าพญายมจะโมโหหลังรู้ว่าตนเห็นภาพวาดม้วนนั้น เล่อเหยาเหยาจึงรีบอธิบาย แต่หลังเอ่ยจบ จึงรู้สึกว่าตนเวลานี้ราวอยากปกปิด ทว่ากลับกลายเป็นเปิดเผยให้เขารู้ พลันหงุดหงิดขึ้นมา
แก้มสองข้างแดงจางๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวเธอดูขาวอมชมพู ราวดอกเหมยฮัวรอเบ่งบาน น่ามองยิ่งนัก!
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋สองมือกอดอก ท่าทางดูผ่อนคลาย สายตาเย็นชามองขันทีน้อยอยู่อย่างเงียบๆ เห็นสีหน้าสับสนของขันทีน้อย รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา
อันที่จริง ภายในตะกร้าไม้ไผของเขาไม่ได้วางสิ่งของใดที่ไม่ควรดู แม้เขาจะเห็นมันก็ไม่มีอันใด
แต่เขาคิดสนุก รู้สึกสนใจท่าทีของขันทีน้อยผู้นี้
แม้จะดูสับสน ราวทำสำนึกผิดในเรื่องที่ทำ
นอกจากนี้เพราะเหตุใดเขาถึงขี้ขลาดเช่นนี้!?
วันก่อนเขายังกล้าทำร้ายคุณชายของรองเสนาบดีแห่งกรมพิธีการมิใช่หรือ? เพราะเหตุใดเมื่อเผชิญหน้ากับตน จึงดูราวกระต่ายน้อยขี้ตกใจ!?
อืม กระต่ายน้อย!?
คำนี้เหมาะสมกับเขาเสียจริง!
ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดในใจ ทันใดนั้นยื่นมือลูบคางของตนอย่างเด็ดเดี่ยว สายตาเย็นชาที่งดงามหรี่ลงเล็กน้อย ภายในปรากฎประกายความสนุกขึ้นมา
เห็นขันทีน้อยตรงหน้าสูงเพียงหน้าอกตน สวมชุดขันทีสีน้ำเงิน เข้ากับผิวขาวราวหิมะ และรูปร่างเล็กอ้อนแอ้น
ทว่าบนใบหน้าเล็กที่ขนาดเท่าฝ่ามือของเขา สองแก้มอมชมพู ทำให้เขาอดเข้าไปกัดไม่ได้
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดที่สุดคือ นัยน์ตาดำขลับสวยงามที่ทั้งกลมและโตคู่นั้นของเขา
นัยน์ตาดำขลับงดงามคู่นั้น คล้ายกับรวบรวมแสงสุกใสบนโลกนี้เอาไว้ทั้งหมด และสดใสราวเทพเซียน งดงามจนทำให้คนใจเต้น
ทว่าเวลานี้สายตาแฝงด้วยความสับสน ทำให้เขาราวกระต่ายน้อยอกสั่นขวัญแขวน สายตาที่มองยังเขา ราวกระต่ายน้อยพบเจอกับหมาป่าตัวใหญ่!
เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของตน เหลิ่งจวิ้นอวี๋รู้สึกน่าขันยิ่งนัก
อารมณ์ยิ่งดียิ่งขึ้น
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีความสุข เล่อเหยาเหยาเวลานี้กลับกังวลอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะการสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดที่พญายมมองยังตน ทำให้เธอหนังศีรษะชาวาบ เกิดอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
สุดท้ายเธอจึงไม่เอ่ยปากใดๆ นอกจกานี้เธอไม่รู้ว่าตนยังสามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก จึงก้มหน้าลง มองเท้าของตน
อันที่จริงทุกครั้งที่เธอพบกับพญายม ความกล้าหาญที่มีก่อนหน้านี้พลันว่างเปล่าไปทั้งหมด
มิน่าทุกคนจึงมักพูดว่า ‘ของอย่างหนึ่งยอมพิชิตอีกอย่างหนึ่งได้’ อาจเพราะการมีพญายม สามารถพิชิตเธอได้