บทที่ 41

“ขอให้โชคดีนะท่านแม่ทัพซงเจิ้น” พูดจบอู่เหมยก็ขอตัวเดินลงมาจากหอคอย

ถึงเห็นแบบนี้ ทว่าถังหยินก็ยืนคงอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อเห็นท่าทีดื้อด้านของชายหนุ่ม ชิวเจิ้นจึงดึงแขนเสื้อเขา “พวกเราก็ไปกันเถอะ”

ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว

เขาพยักหน้าให้ชิวเจิ้น แล้วบอกให้อีกฝ่ายรอก่อน จากนั้นก็หันไปบอกกับกู่เยว่และหลีเทียน “พวกเจ้าทั้ง 2 มากับข้า!”

“หา?” กู่เยว่และหลีเทียนประหลาดใจ เพราะว่าพวกเขาคือทหารของที่นี่ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามไปด้วยได้ไม่ใช่หรือ ?

เมื่อเห็นรอยเลือดและแผลบนร่างกาย ถังหยินก็ตอบ “พวกเจ้าบาดเจ็บอยู่ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย แม้แต่เดินก็ทำไม่ไหวแล้ว”

กู่เยว่โมโหที่ได้ยินแบบนี้ “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตายหรือไงกัน? แม่ทัพซงเจิ้นเลือกที่จะปกป้องประตูหน้าด่านตง แล้วจะให้ข้าคิดหนีไปงั้นเหรอ ? ! ”

ถังหยินเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าการฆ่าตัวตายแบบโง่ ๆ นับเป็นการสละชีพเพื่อแคว้นงั้นหรือ?”

“เจ้า…” ยศของถังหยินไม่ได้สูงไปกว่าเขาเลย กู่เยว่อยากจะพุ่งเข้าไปซัดหน้าชายหนุ่มสักสองหมัด แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงผลที่จะตามมาต่อจากนี้หรอกนะ

อู่เหมยที่กำลังลงจากหอคอยเองก็ได้หยุดเช่นกัน นางหันมามองถังหยินอย่างสงสัย หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินที่เป็นคนเย็นชาถึงได้พาทั้ง 2 มาด้วย

แท้จริงแล้วถังหยินมีแผนของเขาอยู่

ตั้งแต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเข้ากองทัพ ดังนั้นเขาจึงต้องการทำมากกว่านั้น

แม้ว่าอู่เหมยจะให้ตำแหน่งเขาในระดับแม่ทัพกองพันที่ 2 แต่มันก็เป็นแค่งานเปล่าที่ไม่มีอำนาจจริง ๆ กองทัพดั้งเดิมถูกกวาดล้างไปในการรบที่เฮอตงแล้วต้องรอให้กลับไปถึงเมืองหยานถึงจะได้รับการเสริมกำลังใหม่ซึ่งคนที่จะถูกเกณฑ์เข้ามาก็เป็นใครที่ไม่อาจทราบได้ ทว่าเขาอยากจะได้คนที่เก่งกาจอย่างหลีเทียนกับกู่เยว่ ดังนั้นจึงคิดที่จะพาคนทั้ง 2 ไปด้วย

อู่เหมยไม่เข้าใจว่าถังหยินคิดอะไรอยู่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาสู้ร่วมกับทั้ง 2 คนนั้นมาตลอดวัน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทนได้ที่ต้องเห็นพวกเขาตายที่นี่กันนะ ?

นางส่ายหัวและหัวเราะ “พวกเขาเป็นคนของแม่ทัพซงเจิ้น อย่าบังคับเขาสิ ! ”

กู่เยว่และหลีเทียนไม่ได้เข้ารวมกองทัพมานานเท่าไหร่ ตำแหน่งจึงยังไม่สูงมานัก พวกเขาเป็นแค่หัวหน้าที่มีทหารเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น และซงเจิ้นก็ไม่อาจจดจำพวกเขาได้ด้วย เมื่อเห็นถังหยินจะพาพวกเขาออกไปด้วยกัน ประกอบกับได้เห็นบาดแผลแบบนั้น ซงเจิ้นจึงได้พูดขึ้นว่า “แม่ทัพถังพูดถูก ข้าเห็นแผลพวกเจ้าแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นตามแม่ทัพถังไปซะ ! ”

“แม่ทัพซงเจิ้น…” กู่เยว่และหลีเทียนคุกเข่าแล้วพูดพร้อมกัน “ข้านั้นไม่กลัวความตายหรอก!”

“ข้ารู้” ซงเจิ้นหัวเราะ “จริง ๆ แล้ว แม่ทัพถังก็พูดถูกนะ เรื่องที่การเสียสละอย่างไร้ประโยชน์น่ะ ถ้าเกิดพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป สักวันหนึ่งในอนาคตพวกเจ้าจะต้องล้างแค้นให้ข้าได้แน่ ! ”

“ท่านแม่ทัพซงเจิ้น…”

“ไม่ต้องพูดมาก พวกเจ้าไปซะ!” จากนั้นก็หันมาพูดกับบอู่เหมย “ข้าก็ไม่คิดจะรบกวนท่านแม่ทัพอู่หรอกนะ แต่ว่าที่นี่มีคนเจ็บมากเกินไป ข้ารบกวนท่านช่วยพาพวกเขาออกไปด้วยได้หรือไม่?”

นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ารำคาญพอตัว เพราะทางด้านอู่เหมยเอง ก็มีทหารไม่มากพอที่จะพาพวกเขาไปด้วยกันทั้งหมดได้ด้วย จะให้นางทำได้ยังไงกันล่ะ ? “เราจะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”

“ข้าต้องรบกวนท่านด้วยนะแม่ทัพอู่”

“ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้นก็ได้ ท่านแม่ทัพซงเจิ้น”

และด้วยเหตุนี้ อู่เหมยกับคนอื่นจึงพากันเดินทางออกจากเขตประตูตง ส่วนถังหยินเองก็พาตัวกู่เยว่และหลีเทียนไปด้วยกันได้ในที่สุด ซึ่งในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้พาทหารที่บาดเจ็บนับร้อยติดไปด้วย

ระหว่างทางไปยังเมืองหลวง กู่เยว่และหลีเทียนต่างก็รู้สึกเศร้าและหม่นหมองมาก เมื่อรู้ว่าทั้งคู่กำลังไม่สบายใจ ถึงแม้ถังหยินจะไม่ได้สนใจอะไร แต่เขาก็ยังคงเดินเข้าไปหาทั้งสอง “อย่าคิดว่าการเสียสละชีพแบบไร้สาระนั่นจะมีเกียรติเลย มีพวกชนชั้นสูงมากมายที่ไม่กลัวตายแบบพวกเจ้าอีกเยอะ และรู้ไว้ด้วยว่าการตายแบบนี้มันโง่เขลาสิ้นดี!”

ชายหนุ่มพูดตรง ๆ โดยไม่เกรงกลัวความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ทั้งสองได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งตีหน้าขรึมมากขึ้นไปอีก

“ถ้าพวกเขาคิดว่าตายซะก็ยังดีกว่ามีชีวิตอยู่… หากพวกเจ้าเลือกอย่างหลังละก็ ข้าจะไม่ห้ามหรอกนะ ที่นี่ไม่ได้ไกลจากประตูตงมากนัก จะกลับไปก็ย่อมทำได้ ! ” อันที่จริงแล้วชายหนุ่มอยากจะบอกว่าความตายนั้นสำคัญมากกว่าภูเขาไท่ซานเสียอีก แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง เขาก็นึกได้ว่าทั้งสองน่าจะไม่รู้จักภูเขาไท่ซานแน่ ๆ จึงไม่ได้พูดอะไรไป

กู่เยว่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็โกรธมากจนไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ จริง ๆ แล้วที่ถังหยินพูดมาก็ไม่ผิด ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหากยังอยู่ที่ประตูตงต่อยังไงก็มีแต่ตายกับตาย

สิ่งที่ทำให้พวกเขาเจ็บปวดที่สุดก็คือการที่ถังหยินบังคับพวกเขาให้ทำตามสิ่งที่ถังหยินต้องการ ซึ่งนั่นทำให้ทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างมาก

หลังจากก้มหัวอยู่นาน กู่เยว่ก็กัดฟันพูดขึ้นมาได้ “ขอบคุณจริงๆ”

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถังหยินช่วยพวกเขาทั้งคู่ไว้ ทั้ง 2 คนคิดว่าชายผู้นี้ควรจะได้รับคำดังกล่าว ถังหยินมองไปที่กู่เยว่ มุมปากของเขายกขึ้น

“ในภายภาคหน้า พวกเจ้าจะต้องติดตามข้า!” เขาบอกก่อนที่จะเดินจากไป

“ถึงข้าจะขอบคุณ แต่ก็ไม่ได้คิดจะยอมรับใช้เจ้าหรอกนะ ! ” ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดอีกด้วย ถึงจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา กู่เยว่ก็ยังคิดปฏิเสธเขาอยู่ดี

ชายหนุ่มหันมาหัวเราะให้ และโบกมือแทน “ถ้าพวกเจ้าคิดว่าถ้าออกจากกองพันข้าไปแล้วมีอนาคตที่ดีกว่า ข้าก็ไม่ห้ามหรอกนะ”

“เจ้า…” กู่เยว่ชี้หลังหัวของถังหยิน แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

นี่คือความรู้สึกที่เขามีต่อถังหยิน

ไม่นานนักหลังจากที่ถังหยินออกไป ชิวเจิ้นก็กลับมาพร้อมมอบขวดยาให้กับเขา มันคือยาห้ามเลือดและยาแก้ปวดที่ถังหยินขอมาจากอู่เหมย

ชายหนุ่มไปขอยานี่มาก็เพราะว่าชิวเจิ้นบอกให้เขาทำหรอก

เขาอยากจะให้ทั้ง 2 คนนั้นยอมรับ ซึ่งทางด้านชิวเจิ้นเองก็พร้อมจะสนับสนุน เพราะถ้าหากถังหยินต้องการจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้างั้นแล้วเขาก็ต้องพึ่งพากำลังคนที่ช่วยงานได้

ตามเส้นทางนั้น พวกเขาไม่ได้เจอกองทัพอื่นที่กำลังมุ่งหน้าไปยังประตูตงแม้แต่กองเดียว ไม่รู้เลยว่าเหลียงฉีกำลังนำกองทัพเคลื่อนพลไปที่ไหนกันแน่ อู่เหมย อู่อิงและคนอื่นรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ชายผู้นี้ทำมากทีเดียว เป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าไม่มีกำลังเสริม ประตูตงจะต้องพ่ายแพ้ให้กับพวกหนิงอย่างแน่นอน !

สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวหลังจากที่เสียที่นั่นไปแล้วก็คือ มันจะยิ่งอันตรายสำหรับพวกเขาที่จะกลับไปทวงคืน ถ้าทำไม่ได้ ราชสำนักจะถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา และแคว้นเฟิงก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

อู่เหมยภาวนาให้สถานการณ์ที่ประตูตงดีขึ้น พร้อมทั้งจัดตั้งหน่วยม้าเร็วเพื่อให้นางทราบข่าวที่เกิดขึ้น ณ ประตูหน้าด่านได้ตลอดเวลา

วันต่อมา

หน่วยสอดแนมกองแรกกลับมาถึงพร้อมกับบอกว่าพวกหนิงเข้าโจมตีอีกครั้งในตอนเช้า ข่าวนี้ทำให้อู่เหมยถึงกับหวาดวิตก

เวลาที่ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า แถมการป้องกันที่ประตูตงก็แตกพ่ายไปแล้ว ทำให้พวกหนิงเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ทางด้านซงเจิ้น เขาได้พาพลทหารทุกนายกลับเข้าไปในตัวเมืองและต่อต้านพวกหนิงตามท้องถนนแทน

เมื่อพวกหนิงเข้ามาในเมืองได้ มันก็เหมือนกับได้เสียประตูตงไปแล้ว ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างก็เงียบกริบ หลังจากนั้นพวกสายลับก็กลับมารายงานเรื่องที่นั่นอยู่เนือง ๆ

หลังจากที่พวกหนิงเข้าไปในเมืองได้ พวกเขาก็เริ่มการสังหารหมู่โดยไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นทหารหรือประชาชนคนธรรมดา

ซงเจิ้นที่ต่อสู้ในเมืองก็ถูกล้อมไปด้วยพวกหนิง ชายผู้นี้สู้จนสุดแรงกล้าและพาพวกทหารเฟิงที่เหลืออยู่ไปยังทางตะวันตกของเมืองและทำการโจมตีกลับอีกครั้ง

การสู้รบดุเดือดมาก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ซงเจิ้นพาคนของเขาและทำให้พวกหนิงถอยร่นกลับไปยังทางตะวันออกของเมืองได้ หลังจากนั้นพวกหนิงก็เริ่มทุ่มกำลังทหารมากขึ้นเพื่อชิงพื้นที่คืนมา

บอกได้เพียงคำเดียวว่า “ทุกพื้นที่ตารางนิ้วของเมืองตงนั้นแลกมาด้วยเลือดทุกหยดของนายทหารผู้กล้าพวกนั้น”

ท้ายที่สุดซงเจิ้นก็ไม่อาจต้านทานศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าได้ พวกเขาจำใจต้องถอนตัวออกจากประตูตงจากนั้นก็ได้มีบางสิ่งเกิดขึ้น เมื่อพวกหนิงที่กำลังจะยึดเมืองตงและสังหารคนที่นั่นพวกทหารเฟิงนับแสนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นและภายใต้การนำของเหลียงฉีเอง

ทางตะวันออกของประตูตงเป็นเขตของพวกหนิง กำแพงจึงสูงและหนา มีการป้องกันที่แน่นหนา ทว่าทางตะวันตกนั้นเป็นกำแพงธรรมดาที่ป้องกันอะไรไม่ได้เลย

ความได้เปรียบของพวกเฟิงก็คือการต่อสู้ระยะประชิดด้วยพละกำลังของพวกเขา เช่นเดียวกับการต่อสู้เพื่อแคว้นของตนเอง ถึงแม้ว่าเมืองตงจะไม่ใหญ่มากและพวกหนิงจะมีไม่เยอะนัก แต่พวกเขาก็ไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ถ้าหากไม่ผ่านทางกำแพงเมือง

อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของกองทัพเฟิงทำให้พวก หนิงไม่ทันระวังตัว พวกมันต่างโยนหมวกกับเกราะทิ้งด้วยความเหนื่อยล้า การต่อสู้ที่ยาวนาน 2 ชั่วยามเพื่อการเข้ามาในเมืองบีบคั้นให้พวกหนิงต้องล่าถอยออกไป ในตอนนี้ผู้คุมประตูตงคือเหลียงฉี และทหารทั้งหมดก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นกองทัพส่วนตัวของตระกูลเหลียงไปเสียสิ้น

สำหรับซงเจิ้น เขาโชคดีมากที่หนีมาได้ อย่างไรก็ตามเหลียงฉีกลับคิดจะลิดรอนยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหมดออกไปจากตัวของแม่ทัพวัยกลางคนผู้นี้

ในที่สุดที่ทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุม นายน้อยใหญ่เหลียงฉีผู้นี้ได้ทำคุณงามความดีอย่างมากในศึกครานี้ นั่นจึงทำให้ทุกคนยอมยกเครื่องกีดขวางออกจากประตูเมืองเพื่อเตรียมการโต้กลับพวกหนิงที่นอกเมืองตามคำสั่งของคนผู้นี้

การต่อสู้ที่ประตูตงอาจบอกได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนแม้แต่พวกหนิงเองก็ตะลึงเช่นกัน ใครจะไปคิดล่ะว่าเหลียงฉีจะโผล่มาในวินาทีสุดท้ายแบบนี้ ?