ค่อนข้างมีเหตุผล โดย ProjectZyphon
หลี่ไหวหันหน้าไปมองด้วยความมึนงงเล็กน้อย ลาขาวตัวนั้นก่อเรื่องแล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะเด็กดวงซวยคนนั้นรู้สึกว่าสนุกเลยวิ่งไปหยอกล้อลาขาว ทว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเจ้าอารมณ์อย่างมาก แม้จะไม่ทำร้ายคนให้บาดเจ็บ แต่อย่างไรก็คงต้องข่มขู่เจ้าเด็กน้อยที่กล้ามากระตุกหางเสือแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้มันกำลังยกกีบเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงบนพื้นเรือหนักๆ หลายครั้ง ทำเอาเด็กที่นั่งอยู่บนพื้นตกใจจนไม่กล้าร้องไห้อีก
เฉินผิงอันพลันวางมีดและไม้ไผ่ลง เดินเร็วๆ เข้าไปหาแล้วประคองเด็กคนนั้นให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยืนมือไปตบลาขาวสองที ฝ่ายหลังที่พอเห็นท่ามือของเฉินผิงอัน แม้ลาขาวจะยังฉุนเฉียวอยู่บ้าง แต่ก็ยอมวางเท้าลงแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ
เด็กผู้นั้นสวมชุดผ้าแพรต่วน เขาเอามือทั้งสองปัดป่ายไปทั่ว พยายามสลัดให้หลุดจากการประคองของเฉินผิงอัน พอเห็นว่าผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองกำลังรีบเดินลงมาจากบันไดชั้นสองของเรือก็พลันแผดเสียงร้องดังลั่น ชายฉกรรจ์สวมชุดดำเรือนกายล้ำสันแข็งแรงคนหนึ่งเดินพรวดๆ มาอย่างรีบร้อน พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายเด็กชาย จึงย่อตัวลงนั่งถามเสียงเบา “คุณชายอวี๋ เป็นอะไรไป? ใครรังแกท่าน ข้าจะจัดการมันผู้นั้นให้เอง!”
เฉินผิงอันหันไปกวักมือให้หลี่ไหวที่พยายามจะย่องหนี ฝ่ายหลังทำคอย่น หลังจากประสานสายตากับเฉินผิงอันก็ไม่กล้าทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดองอีก จึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไหล่ลู่คอตก เอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ลาขาวน้อยของข้าไม่มีทางกัดคนส่งเดชแน่ ข้าไม่โกหกหรอก เฉินผิงอัน…”
เฉินผิงอันอืมหนึ่งที แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ควรขอโทษพวกเขา”
หลี่ไหวเงยหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ “อาศัยอะไร? เจ้าเด็กนั่นเป็นฝ่ายหาเรื่องลาขาวน้อยก่อนเอง แถมเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บเสียหน่อย ทำไมข้าต้องขอโทษด้วย เจ้าเด็กไม่รู้ความคนนั้นต่างหากที่ต้องขอโทษข้าถึงจะถูก”
เฉินผิงอันกำลังจะอธิบายให้หลี่ไหวฟัง
หลี่เป่าผิงกลับวิ่งปรู๊ดมาจากที่ไกลๆ มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน หลินโส่วอีเองก็ลุกขึ้นยืน แต่ว่ายังยืนอยู่ที่เดิม จำเป็นต้องช่วยเฝ้าตะกร้าไม้ไผ่ให้กับเฉินผิงอันก่อน
ในบรรดาคนกลุ่มนั้นมีคนผู้หนึ่งตวาดขึ้นมาด้วยเสียงทรงพลัง “เจ้าสัตว์เดรัจฉานสามหาว! บังอาจทำร้ายคนเชียวรึ?!”
ที่แท้ก็เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยมาดของขุนนาง เขากวาดตามองไปบนร่างของคนทั้งสี่ด้วยสีหน้าดำทะมึน “ผู้อาวุโสของพวกเจ้าล่ะ เรียกออกมา!”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ “หลี่ไหว”
หลี่ไหวที่หลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันเกินครึ่งตัวเอ่ยเสียงขลาด “ทำให้เด็กในตระกูลของพวกเจ้าตกใจ เป็นเพราะข้าไม่ได้ดูแลลาขาวน้อยของข้าให้ดี ข้าขอโทษ”
หลังจากเอ่ยขอโทษพวกคนแปลกหน้าจบ หลี่ไหวก็เริ่มสะอื้นในลำคอ
อาเหลียงเคยพูดล้อว่าเจ้าลูกหมาน้อยตัวนี้เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเอง อยู่ในบ้านวางตัวเป็นท่านปู่ แต่ออกนอกบ้านกลับแสร้งเป็นหลาน นับว่าไม่ได้ใส่ร้ายหลี่ไหวเลยจริงๆ
เฉินผิงอันลูบศีรษะหลี่ไหวเบาๆ จากนั้นก็มองไปยังชายวัยกลางคนผู้นั้น “มีอะไรที่พวกเราทำให้ได้บ้างไหม?”
ชายวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด “เป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก แต่กลับพูดจาวางโตนัก ไปเรียกพ่อแม่หรือผู้อาวุโสของเจ้ามาคุย!”
สตรีแต่งงานแล้วท่วงท่าสง่างามที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสารอุ้มเด็กชายขึ้น พอได้ยินบุตรชายในอ้อมอกเอ่ยฟ้องไม่หยุด คิ้วตาของนางก็ยิ่งเป็นประกายเฉียบกร้าว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินลูกชายตนบอกว่าถูกลาตัวนั้นพุ่งชน พอเห็นหน้าเขาก็อ้าปากจะกัดคน ดุร้ายอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะตนวิ่งเร็วคงต้องถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกัดแขนข้างหนึ่งขาดเป็นแน่ สตรีแต่งงานแล้วก็โกรธจนมุมปากระตุก กล่าวด้วยฉุนเฉียว “ทำไมเจ้าไม่จัดการซะที?! ว่างงานอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งหลายปี กว่าจะหาสถานที่ดีๆ เจอไม่ใช่เรื่องง่าย นี่บุตรชายของตัวเองยังต้องถูกสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งรังแก่ เจ้าไม่ขายหน้า แต่ข้าที่เป็นเพียงสตรีกลับอับอายแทนเจ้า!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก มองชายวัยกลางคนที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เอ่ยเนิบช้า “ผู้อาวุโสของพวกเราไม่ได้เดินทางมาด้วย ทุกเรื่องข้าจึงเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
สตรีแต่งงานแล้วย้ายสายตาเย็นชามองมาทางเฉินผิงอัน พูดเสียดสี “ขนาดสัตว์เดรัจฉานสี่ขายังดูแลได้ไม่ดี คนสองขาจะดูแลได้ดีสักแค่ไหนกัน? เจ้าพวกเศษสวะมีพ่อให้กำเนิดแต่ไม่มีแม่สั่งสอน!”
หลี่เป่าผิงโกรธจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าแดงก่ำ “ลาขาวน้อยของพวกเราว่านอนสอนง่ายจะตายไป เมื่อทำผิด พวกเราก็ยอมรับ! แต่เรื่องที่ไม่ผิด พวกเจ้าก็ห้ามสาดโคลนมั่วซั่ว! แน่จริงพวเจ้าก็ถามเด็กนั่นดูอีกรอบสิ ถามต้นสายปลายเหตุให้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดจาหยาบคายวิจารณ์คนอื่น!”
หลินโส่วอีสีหน้าดุดัน สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในสาบเสื้อ
ยันต์กระดาษเหลืองปึกนั้นมีการแบ่งระดับสูงต่ำไว้พิเศษยิ่ง ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่เพิ่งเดินบนเส้นทางในการฝึกตนของหลินโส่วอีตอนนี้ก็ได้แค่ใช้ยันต์สามแผ่นระดับต่ำที่สุด ยกตัวอย่างเช่นยันต์น้ำที่มีชื่อว่าไข่มุกกลางอ่างที่เหมาะสมจะนำมาใช้ในเวลานี้ที่สุด
เฉินผิงอันรีบหันมามองหลินโส่วอีใช้สายตาแฝงความนัยสอบถามอีกฝ่าย ฝ่ายหลังพยักหน้าให้ สายตาบอกเป็นนัยให้รู้ว่าเทพหยินตนนั้นอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาติดต่อหาอีกฝ่ายได้แล้ว เทพหยินจึงสามารถปราฎตัวได้ทุกเมื่อ
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาแล้วพูดกับชายผู้นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง “หวังว่าฮูหยินท่านนั้นจะขอโทษพวกเรา”
ชายวัยกลางคนที่เป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นคงจะรู้สึกว่าทะเลาะกับเด็กกลุ่มหนึ่งเป็นการลดค่าตัวเอง แล้วก็พอจะรู้นิสัยของบุตรชายตัวเองดี พอไฟโทสะก่อนหน้านี้กลับลงท้องไปอีกครั้ง เขาก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว พอได้ยินคำพูดเหลวไหลของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงรู้สึกว่าน่าขันอย่างมาก เพียงมองว่าเด็กหนุ่มบ้านนอกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อพวกเจ้าก็ขอโทษแล้ว อีกทั้งพวกเจ้ายังไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย ข้าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นทำร้ายคนอีก ข้ารู้สึกว่าทางที่ดีที่สุดควรสังหารมันซะ หาไม่แล้วรอจนมันทำร้ายคนเข้าจริงๆ ก็คงยากจะเก็บกวาดผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆ อย่างพวกเจ้าจะรับผิดชอบได้ไหวเลย”
สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงเย็น “จิ้งฟู่! แค่หลักการนายอัปยศขุนนางตาย เจ้าก็ไม่เข้าใจหรือ?”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ชุดดำกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบหันกลับไปโค้งตัวให้กับนายหญิงของตระกูล
เด็กชายพลันหันมากระซิบกระซาบที่ข้างหูนาง ชี้นิ้วไปยังพี่สาวตัวน้อยที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ เอ่ยยิ้มๆ “ใช่แล้ว หลังจากทุบสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นให้ตายแล้วโยนลงน้ำ จำไว้ว่าต้องสั่งสอนเจ้าเด็กสามคนนั่นด้วย ส่วนแม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้น ข้าค่อนข้างถูกชะตา เอามาเป็นสาวใช้ข้างกายของอวี๋เอ๋อร์ข้าก็ไม่เลว ถือว่าเป็นโชควาสนาของนางเช่นกัน”
หลี่ไหวหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด คว้าชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น “พวกเขาจะตีข้าด่าข้าก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามให้ลาขาวน้อยตายนะ ข้าจะยอมรับผิดกับพวกเขาอีกครั้ง ข้าสามารถยกหนังสือเล่มนั้นชดใช้ให้พวกเขาก็ได้ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าหนังสือเล่มนั้นมีค่ามาก ห้ามทำหายน่ะ…”
เฉินผิงอันยื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชายแรงๆ ไม่ให้หลี่ไหวพูดต่อ “ยอมรับผิดกะผีน่ะสิ ตอนนี้เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรแล้ว”
หลี่ไหวอึ้งงันอยู่ที่เดิม
มืออีกข้างหนึ่งของเฉินผิงอันยื่นไปวางลงบนศีรษะของหลี่เป่าผิง เอ่ยเสียงแผ่ว “อาจารย์อาน้อยจะลองดูว่าจะระบายความโกรธแทนเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้”
หลินโส่วอีเผยอปากจะพูด แต่เฉินผิงอันส่ายหน้าให้เขาเบาๆ สุดท้ายมองไปยังชายวัยกลางคนที่มองดูคล้ายจะเข้าใจอะไรง่ายและมีเหตุผล แล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อไม่พูดจากันด้วยเหตุผลก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนหงุดหงิดวุ่นวายใจเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดกับใครอยู่?”
บุรุษโบกมือ เอ่ยสั่งความชายชุดดำข้ารับใช้ข้างกาย “ฆ่าลาทิ้งซะ!”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
พลังอำนาจของทั้งร่างเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนไป
อาเหลียงเคยสอนวิชาโคจรลมปราณสิบแปดหยุดให้กับเขา เฉินผิงอันเคยทดลองหลายครั้ง มากสุดเจ็ดหยุดก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานยากระงับ ต้องรู้ว่าระดับความอดทนต่อการเจ็บปวดของเฉินผิงอันเหนือกว่าคนวัยเดียวกันมาก มีเพียงครั้งเดียวที่ทนประคองตัวไปถึงเจ็ดหยุดก็เกือบจะทำให้เฉินผิงอันลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นแล้ว แต่หากเป็นหกหยุด แม้ว่าเฉินผิงอันที่มีร่างกายเทียบเท่ากับขอบเขตที่สองของวิถีวรยุทธ์ก็พอจะเดินไปสุดปลายทางของหกหยุดได้อย่างราบรื่น
เห็นได้ชัดเจนว่าระหว่างหกหยุดกับเจ็ดหยุดมีเส้นแบ่งเขตที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างมากอยู่เส้นหนึ่ง
แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว สามารถประมือกับจูเหอที่เป็นขอบเขตห้าขั้นสูงสุดบนยอดเขาฉีตุนโดยที่ยังมีพลังการต่อสู้เหลือ อีกทั้งสองฝ่ายยังเคยต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง แม้ก่อนที่จะสู้กันจูเหอจะบอกแล้วว่าจะระงับลมปราณให้อยู่แค่ขอบเขตที่สามเท่านั้น แต่จูเหอไม่เคยเดินเข้าสู่ยุทธภพอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่มากนัก
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารจากเขาเจินอู่ที่เคยไปเยือนเมืองเล็กเท่านั้นที่สามารถมองออกในปราดเดียวว่า การฝึกเดินนิ่งริมธารน้ำที่เรียบง่ายและไร้ความพิถีพิถันอย่างถึงที่สุดของเด็กหนุ่มเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานแห่งหมัดมาตั้งนานแล้ว
ฝึกหมัดไม่จริงจัง ผีสิงร่างสามปี ฝึกหมัดอย่างจริงจัง หนึ่งหมัดต่อยเทพตาย
จูเหอย่อมต้องรู้สองประโยคนี้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตที่หก ไม่เคยชมทัศนียภาพในจุดที่สูงกว่าเดิมบนวิถีแห่งการต่อสู้ จึงไม่ตระหนักรู้ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่
จูเหอถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอบเขตปลายทางที่เขาเชื่อมั่นศรัทธาคือขอบเขตที่เก้า แต่เหนือขอบเขตนี้ขึ้นไปยังมีขอบเขตที่สิบอย่าง “สูงสุดแห่งขุนเขา—คือข้าเป็นยอดเขา” ในตำนานอีกด้วย
บนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์ หลังจากอาศัยพรสวรรค์และโชควาสนาข้ามผ่านธรณีประตูมาได้แล้ว ทนความลำบากได้เท่าไหร่ก็เสวยสุขได้มากเท่านั้น นี่คือความยุติธรรมที่สุด
ไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนอยู่บนยอดเขาจะดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เป็น “ชนชั้นล่าง” แค่ไหน แต่เมื่อหมัดกระแทกลงบนศีรษะของเทพเซียนพวกนี้อย่างแท้จริง นั่นก็คือความเจ็บปวดจริงๆ เช่นกัน
ชายร่างบึกบึนชุดดำก้าวยาวๆ มาข้างหน้าเลยร่างของเจ้านายตัวเอง แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าจงถอยไปซะ”
เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินออกไปหนึ่งก้าว เสียงกระดานเรือดังทุ้มหนัก คนนอกเห็นว่าท่วงท่าของเขาธรรมดา อย่างมากก็คงเป็นแค่ความเดือดดาลของเด็กหนุ่มที่หุนหันพลันแล่นเท่านั้น
ท่าเดินนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขามีทั้งหมดหกก้าว แบ่งแยกเล็กใหญ่ หลังจากที่เฉินผิงอันจำวิชาสิบแปดหยุดได้อย่างแม่นยำแล้วก็เคยทดลองเดินหนึ่งก้าวหนึ่งหยุดด้วยตัวเอง
และยามใดที่เฉินผิงอันงัดข้อกับตัวเองขึ้นมา นั่นก็ไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เพียงแค่คำพูดเดียวของแม่นางหนิงเหยา เฉินผิงอันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง และนับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยขี้เกียจหรือละเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แม้ชายฉกรรจ์ชุดดำที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามจะเห็นเด็กหนุ่มยากจนซึ่งพบกันโดยบังเอิญเดินด้วยท่วงท่าเหมือนคนเป็นวิชาหมัดแล้วแปลกใจเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่คิดจะระวังตัว กลับยังรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรซะหากหลังจากฆ่าลาแล้วยังต้องรังแกเด็กๆ พวกนี้ เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน บนเรือลำนี้มีคนบนวิถีทางเดียวกันที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของตระกูลใหญ่อยู่ไม่น้อย
หลังจากเดินท่าหมัดหกก้าวจบลงอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันพลันเพิ่มพละกำลังในก้าวสุดท้าย แผ่นกระดานใต้ฝ่าเท้าถึงกับลั่นดังเปรี๊ยะ ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะพุ่งไปตรงหน้าชายร่างสูงใหญ่ในเสี้ยววินาทีดุจลูกธนู
ชายฉกรรจ์ปากอ้าตากว้าง ได้แต่สูดลมหายใจหนึ่งครั้งอย่างฉุกละหุกแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาบังตรงหน้าอก
ท่อนแขนเกิดความเจ็บแปล๊บเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงมาหนักๆ ทั้งร่างถูกพุ่งชน ได้แต่ถอยกรูดไปข้างหลัง กว่าจะหยุดท่าทางถอยร่นหมดท่าของตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่เตรียมจะยืดแขนสองข้างที่แทบชาดิกออกให้สบายขึ้น คาดไม่ถึงว่าเงาดำนั่นจะตามติดดุจผีร้าย กระโดดขึ้นสูงแล้วใช้เข่ากระแทกเข้าที่หน้าอกของชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะเปิดช่องว่างตรงกลางเล็กน้อย
คราวนี้ชายฉกรรจ์ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยจริงๆ เสียงปั่กดังหนึ่งครั้ง ร่างทั้งร่างของเขาก็กระเด็นลิ่วออกไป