บทที่ 59 ความขัดแย้ง
“หุบปากลงไปซะ!” หลินเว่ยนั้นทนไม่ได้กับเสียงบ่น ดังนั้นเขาจึงรีบร้องตะโกน
“อา….” ราชาหนูศิลาขาวปิดปากลงทันทีและมองไปที่หลินเว่ยด้วยแววตาเศร้าสร้อย ใบหน้าของเขาแสดงอาการราวกับคนท้องผูกมานาน
“ดูเหมือนว่า เจ้ากับพวกหนูศิลาพวกนั้นจะพูดรู้เรื่องอยู่เหมือนกัน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว หลินเว่ยพูด พลางลูบปลายคางของตนเอง
“ปู่เจ้าสิ! บ้านเจ้าเป็นหนูทั้งตระกูล ข้าคือตำนานในโลกของหนู อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับหนูสกปรกพวกนั้น” เมื่อได้ยินหลินเว่ยเปรียบเทียบมันกับหนูธรรมดา ๆ มันโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว หนวดหลายอันบนมุมปากของมันสั่นระริก
“ตุ๊บ!” โดยไม่รอให้ราชาหนูศิลาขาวพูดจบมันก็ถูกตบหัว แทนที่จะพูดคุยกันดี ๆ แต่หลินเว่ยนั้นสั่งสอนอีกฝ่ายถึงวิธีการทำตัวดี ๆ ในฐานะสัตว์เลี้ยง
“เอาล่ะ เสี่ยวไป๋! ในฐานะที่เจ้านั้นอาศัยอยู่ที่นี่มานาน เจ้าพอจะมีของดีเอาออกมาให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?” หลินเว่ย ถูมือทั้งสองข้างของเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ……ไม่…..ไม่มี” ในตอนแรกเขากำลังจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงของหลินเว่ยที่เรียกมันว่าเสี่ยวไป๋ทำให้มันตื่นตะลึง และราชาหนูศิลาขาวกำลังจะโกรธ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินครึ่งหลังของประโยค
มันก็หวาดกลัวและถอยกลับครั้งแล้วครั้งเล่า หัวเล็ก ๆ ของมันสั่นราวกับกำลังสะอื้น
“ไม่มีหรือ?” หลินเว่ยเห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกสงสัย และถามเพื่อความแน่ใจ
“ไม่…ข้ากินไปหมดแล้ว” ราชาหนูศิลาขาวหรือที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวไป๋ ตอนนี้มีอาการมึนหัวและสั่นอีกครั้ง
“เอาล่ะ! กินแล้วก็แล้วไป พาข้าไปหาผู้คุมวิญญาณ” เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายแน่วแน่มาก หลินเว่ยก็ล้มเลิกความคิดชั่วคราว จากนั้นเขาก็หยิบหนูศิลาขั้น 4 ขึ้นมา แล้วเริ่มก่อไฟและย่างเนื้อ
……….
ณ เมืองเฮยสุ่ย ค่ายผู้ลี้ภัย เขตแดนค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์
ในเวลานี้เป็นเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนที่หลินเว่ยออกจากค่ายไป
ในตอนเช้าตรู่ตอนรุ่งสาง และผู้คนยังคงนอนหลับใหลอยู่ แขกที่ไม่ได้รับเชิญสองสามคน บุกทำร้ายทหารสองสามนาย จนได้รับบาดเจ็บ และบุกเข้ามาพร้อมข่มขู่ว่าต้องการพบหัวหน้าของที่นี่
“เจ้าเป็นใครกันจึงกล้ามาสร้างปัญหา ในกองทหารรับจ้างโลกันตร์และทำร้ายคนของข้า เจ้ากำลังต้องการจะลงไปนอนในหลุมฝังศพใช่หรือไม่ เข้ามาที่นี่ก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วกัน ” เถาจุนมองไปที่คนสองคนที่บุกเข้ามา
ใบหน้าของเขาโกรธ และเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“พวกเราเป็นใคร…ฮ่าฮ่า! อย่าให้ขำหน่อยเลย เมืองเฮยสุ่ย ตระกูลซุย อย่าบอกว่าเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ข้าคือผู้อาวุโสลำดับที่สี่ของตระกูลซุย ตอนนี้เรียกหัวหน้าของเจ้ามา ข้ามีเรื่องที่จะต้องตกลงกับผู้นำที่นี่ ”
ชายที่อ้าปากค้างหัวเราะตรงหน้าคือชายร่างกำยำ ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้อาวุโสคนลำดับที่สี่ของตระกูลซุย ความสำเร็จของเขาเทียบเท่ากับเถาจุน นอกจากนี้คนที่เขาพาเข้ามาด้วยนั้นมีนักรบขั้นสี่ระดับสาม ทั้งสองคน สวมชุดเครื่องแบบเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้คุ้มกัน
“ตระกูลซุย?” เมื่อได้ยินคำว่า “ตระกูลซุย” ดวงตาของเถาจุนก็หดตัวลงในทันที และเขาก็ขบคิดกับตัวเองว่า “พวกเจ้าถูกส่งมาจากตระกูลซุย ในนามของซุยฮ่าวงั้นหรือ?”
“ข้าคือหัวหน้ากองทหารรับจ้างโลกันตร์ ถ้าเจ้ามีอะไร โปรดพูดบอกมาทันที” เถาจุนขมวดคิ้วและมองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวังและถามขึ้น
“เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ อา…ใช่แล้ว เจ้าเป็นนักรบขั้นที่สี่ที่ยอดเยี่ยม และความสำเร็จของเจ้าก็ไม่เลว เมื่อได้ยินว่าเถาจุนยอมรับว่าเขาเป็นผู้นำของกองทหารรับจ้างโลกันตร์ เขามองไปที่เถาจุนอย่างระมัดระวัง
เมื่อเขาพบว่า เขาพลังอยู่ในขั้นนักรบขั้นสี่ เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“โอ้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสำรวจพลังในร่างของตนเอง เถาจุนก็แสดงออกว่าเขานั้นไม่พอใจ แต่ชายตรงหน้ากับชี้ไปที่เถาจุนและพูดว่า “เมื่อเป็นนักรบขั้นสี่ นั่นหมายความว่าเจ้าเหมาะสม
โดยไม่รอให้เถาจุนพูดอะไร ผู้อาวุโสลำดับสี่ของตระกูลซุย ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ถูจมูกมองไปที่เถาจุน และกล่าวอย่างหยิ่งผยองว่า “ตระกูลของข้าซุยฝูกำลังขาดแคลนทหารยาม ข้าคิดว่ากองทหารของเจ้านั้นดีมาก ข้าอยากให้เจ้ามารับใช้ที่ตระกูล ”
“โอ้” เมื่อได้ยินคำพูดของซุยฝู เถาจุนก็อดไม่ได้ที่จะอุทาน เขาหัวเราะและมองอีกฝ่ายเหมือนคนโง่
“เจ้ามาจากตระกูลซุยเพื่อสร้างความสนุกสนานงั้นเหรอ?” เถาจุนถามด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่าอย่างไร” เมื่อได้ยินคำพูดของซุยฝู สมองของเถาจุนก็คิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอย่างคนโง่เขลา
“แท้จริงแล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร เถาจุนมองไปที่ซุยฝู ด้วยความรังเกียจและเริ่มด่าทอตรง ๆ
“เจ้ากล้าด่าข้าอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเป็นใคร” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน ใบหน้าของซุยฝู เปลี่ยนเป็นแดงจากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาเอื้อมมือชี้ไปที่เถาจุนและถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“โอ้! เจ้าเพิ่งจะบอกว่า เจ้าเป็นอาวุโสตระกูลซุยอันยิ่งใหญ่ ไม่ทันไรก็หลงลืมไปในชั่วพริบตา ท่าทางเจ้าจะสติไม่ดี” เถาจุนหัวเราะเยาะและพูดด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม ความปากร้ายของเถาจุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสุขปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา
“ฮ่าๆ……..เสียสติก็รีบไปดื่มยาซะเถอะ ได้เวลากินยาแล้ว”
เหล่านายทหารในค่ายกองทหารรับจ้างโลกันตร์ที่ยืนอยู่บริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกขบขันกับท่าทางของหัวหน้าของเขาและร่วมเข้ามาผสมโรงกลั่นแกล้งตระกูลซุย
“ข้านำฉี่มาให้….. ท่านอาวุโสโปรดดื่มฉี่ของผู้เยาว์ด้วยเถอะ”
“ไปให้พ้น อย่าดูถูกฉี่ของเด็กน้อย สติไม่ดีขนาดนี้ สมควรต้องกินอุจจาระ”
ทุกคนในปัจจุบัน กลัวว่าเหตุการณ์นี้มันจะไม่ยิ่งใหญ่พอ เมื่อเห็นความไร้มารยาทของซุยฝู ทหารใต้บัญชาของเถาจุน ก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี อีกทั้งอีกฝ่ายเคยทำร้าย ทหารในค่ายตนมาก่อนจึงรู้สึกโกรธ
“เจ้า…” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน ซุยฝูก็โกรธแทบกระอักเลือดตาย ปากของเขาสั่นระริกและหายใจหอบหนัก เขาชี้ไปที่เถาจุนและพูดไม่ออกเป็นเวลานาน ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
“วอนหาเรื่องตาย!” ใบหน้าของซุยฝูเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเขียว และความแข็งแกร่งของร่างกายก็ปรากฏขึ้นด้วยการระเบิดพลังออกมา แรงกดดันของนักรบขั้นสี่พลุ่งพล่าน ร่างของเขาระเบิดพลังและพุ่งไปที่เถาจุน มือขวาของเขากำหมัดและชกไปที่หน้าอกของเถาจุน
ด้วยการเหวี่ยงหมัดเพียงครั้งเดียวก้อนหินก็แตกกระจาย และอากาศก็ระเบิดออกมาเล็กน้อย กระแสพลังปราณที่เกิดขึ้นจากซุยฝูตัดผ่านใบหน้าและทำให้รู้สึกเสียดแทง
นักรบขั้นสี่ระดับสี่ที่เต็มไปด้วยด้วยความโกรธจัด แม้ว่าคู่ต่อสู้จะไม่ได้ใช้ทักษะศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามพลังของกำปั้นนี้
ดังนั้นเถาจุนจึงชักดาบออกมาโดยตรง มันเป็นอาวุธธรรมดา ๆ ชั้นยอดซึ่งแหลมคมมาก จากนั้นเขาก็ใช้พลังปราณห่อหุ้ม และใช้ศิลปะการต่อสู้ที่หลินเว่ยสอนเขา เป็นทักษะระดับกลางคือพลังการฟาดฟัน
ด้านหนึ่งคือการฟาดฟันด้วยความโกรธ แต่มันจะเน้นเพียงความแข็งแกร่งของพลังปราณในกำปั้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่งใช้ทักษะและอาวุธมีคมในมือ
ดังนั้นผลลัพธ์จึงถึงคราวที่ซุยฝูพ่ายแพ้ย่อยยับ เละเทะ และผู้คนไม่กล้ามองตรงไปที่เขา เพราะเกรงว่าเขาจะได้รับความอับอาย
ในตอนแรกซุยฝูรู้สึกสับสนด้วยความโกรธ แต่ในระหว่างนั้นเขาเกิดเสียใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นท่วงท่าของศิลปะการต่อสู้ของเถาจุน ทำให้เขาเกือบจะฉี่ราด
แม้ว่าสมองของเขาจะยังคงแจ่มชัดแต่มันก็สายเกินไป ในช่วงเวลาสำคัญซุยฝูพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านมัน เขาใช้แขนเพื่อขวางการโจมตี แม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ แต่แขนทั้งสองข้างของเขาก็ไร้ความรู้สึก
ไม่เพียงแค่นั้นยังมีบาดแผลที่หน้าอกของเขาอีกด้วย บาดแผลมีสีเข้มและเต็มไปด้วยกลิ่นของเนื้อ