“ประธานเชี่ยน ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ? จะไปเจอใครเหรอ?”
สืออวี้เดินวนรอบเสี่ยวเชี่ยนไปๆมาๆ
เสี่ยวเชี่ยนก้มมองสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง “มันแปลกเหรอ?”
“มันดูเป็นทางการมาก เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนใส่ชุดขาวแล้วให้ความรู้สึกเย็นชา มองเธอแล้วรู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”
เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าสืออวี้ “สมกับที่เรียนด้านศิลปะ เซ้นส์เป๊ะมาก”
เธอต้องการทำตัวสร้างแรงกดดันให้อาหญิง เดี๋ยวเธอกำลังจะไปจัดการกับอาหญิงให้รู้เรื่อง
“แปลกจัง ต้าอีอยู่หอก็ชอบใส่เดรสขาว ทำไมให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเธอใส่เลยล่ะ?” สืออวี้พูดด้วยความสงสัย
เสี่ยวเชี่ยนสวมเสื้อกันลมตัวยาวสีขาวยี่ห้อOnly ข้างในสวมเสื้อเชิ้ตงานดีสีเดียวกัน กางเกงสูทขากระบอกแฟชั่น รองเท้าส้นสูง8เซนติเมตร ผมปล่อยยาวสยายลงมา สวมแว่นกันแดดสีชา ไปยืนที่ไหนไม่เพียงแต่จะดูสง่าแล้ว ยังดูมีบุคลิกที่ข่มคนข้างๆได้อย่างง่ายดาย ยิ่งถ้าเอามือเสยผมยิ่งให้ความรู้สึกอีกแบบ
“ที่เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาเป็นเพราะช่วงนี้เธอเป็นกังวลเรื่องตัวเองกับพี่ชายไง สีที่ต่างกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับคนในแต่ละอารมณ์ สีขาวให้ความรู้สึกเย็นชา สร้างแรงกดดัน สีแดงทำให้คนคิดมากกับรู้สึกหงุดหงิดใจ วันนี้ถือว่าฉันเมตตาอยู่นะที่ไม่ใส่สีแดงไปเจอเขา”
นักจิตวิทยาค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องการใช้สี เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“ฉันกลับรู้สึกว่าคนหุ่นไม่ดีใส่สีขาวไม่เพียงแต่จะทำให้คนอื่นเครียดแล้วยังจะทำให้ดูเผละด้วย ช่วงนี้ฉันน้ำหนักขึ้นตั้งโลกว่า แต่ฉันคิดดูแล้วพี่เฉียวเจิ้นคงไม่แคร์เรื่องฉันอ้วนหรอก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่สนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก”
สืออวี้เพ่งความสนใจไปที่หุ่นของเสี่ยวเชี่ยน ประธานเชี่ยนหุ่นดีจริงๆ เอวเล็กมาก
เนื่องจากความสัมพันธ์ของเธอกับพี่เฉียวเจิ้นคืบหน้าไปมาก เธอจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ชอบกินจุกจิก แล้วทุกอย่างก็ไปลงที่หุ่น เนื้อหนังมากองเป็นภูเขา จะไม่ให้อ้วนได้ไง
“เลิกหาข้ออ้างกินจุกจิกได้แล้ว เป็นผู้หญิงต้องโหดๆกับตัวเองหน่อย ใส่เสื้อผ้าที่แพงที่สุดที่เธอซื้อได้ รักษารูปร่างให้เพอร์เฟคที่สุด การจะรักคนๆหนึ่งเริ่มที่รูปร่างหน้าตา ตามมาด้วยรสนิยม ถ้าพี่เธอหน้าตาเหมือนดาวตลกเธอยังจะชอบเขาไหม? เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเธออ้วนถึงร้อยโลเขายังจะซื่อสัตย์กับเธออยู่อีกสักเท่าไรกัน? ต่อไปถ้าจะจึ๊กกันต้องปิดไฟ แล้วพอเขาคลำเจอห่วงยางรอบตัวเธอ ไม่แน่อาจคิดว่านั่นเป็นหน้าอกเธอนะ…”
“อ๊า ปากร้ายมาก” สืออวี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง
นึกถึงภาพนั้นแล้วก็อดขนลุกไม่ได้
เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าสืออวี้ แล้วมองน่องไก่ทอดที่วางอยู่บนเตียงสืออวี้อย่างสื่อความหมาย จากนั้นก็ส่ายหน้า
“จากมุมมองทางจิตวิทยาการมองคนที่รูปร่างหน้าตานับเป็นเรื่องที่อยู่ในหลักการ ภาพลักษณ์ของเธอเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติตัวเอง และก็ให้เกียรติคนอื่น ในฐานะที่เป็นผู้หญิงการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันก็ถือเป็นการให้เกียรติชีวิตเราเองด้วยนะ”
พอเสี่ยวเชี่ยนไปแล้วสืออวี้ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ส่องกระจกของโรงแรมอยู่อย่างนั้น แล้วดึงพุงน้อยๆของตัวเองเล่น
“คิดว่าเนื้อตรงท้องเป็นนมงั้นเหรอ? นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ประธานเชี่ยนปากร้ายจริงๆ”
ตอนที่สืออวี้เอาน่องไก่เก็บขึ้นเพราะเป็นอุปสรรคในการลดน้ำหนัก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ประธานเชี่ยนจะไปพบใครกันเธอยังไม่ได้ถามเลย
จะว่าไปดูเหมือนช่วงนี้บุคลิกประธานเชี่ยนจะกู่ไม่กลับแล้ว รู้สึกว่าหลังจากที่ได้เจอกับหัวหน้าอวี๋ครั้งล่าสุดประธานเชี่ยนก็ดูสุขุมนิ่งมากขึ้น
เสี่ยวเชี่ยนใจนิ่งลงไปมาก ไม่ค่อยหงุดหงิด มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ความสัมพันธ์กับอวี๋หมิงหลางมั่นคง บวกกับการได้อยู่กับศาสตราจารย์หลิวทำให้เธอมีความคิดที่แตกต่างออกไปจากเดิมในด้านอาชีพ ดังนั้นพลังจึงเต็มเปี่ยมขึ้นทุกวัน
เรื่องบางเรื่องที่คิดไม่ตกมาตลอด พอเจอทางออกก็ทำให้รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นมา แล้วอาหญิงดันเข้ามาหาเรื่องในช่วงที่เสี่ยวเชี่ยนพลังร้ายกาจขั้นสุดพอดี
ถือว่าซวยมาก
เสี่ยวเชี่ยนไปยังโรงแรมที่อาหญิงกบดานอยู่ตามที่อยู่ที่เจิ้งซวี่ให้มา อาหญิงที่สวมชุดนอนมาเปิดประตูออกอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมเป็นแก?”
“ค่ะ ฉันเอง”
เสี่ยวเชี่ยนดันตัวอาหญิงออกแล้วเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทางเชิ่ดๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เธอทำตัวตามสบายจนอาหญิงโมโห
“ยัยเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ฉันอนุญาตให้เธอเข้ามาแล้วหรือไง? แม่เธอสอนเธอมายังไง พวกเด็กบ้านนอกไร้มารยาทจริงๆ” อาหญิงมองเหยียดเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด มองหน้าหาเรื่อง
“คนผู้รากมากดีอย่างคุณก็ใช่ว่าจะดีเด่มาจากไหน เรื่องที่แทงฉันลับหลังยังไม่ได้รับอนุญาตจากฉันเลยนะคะ จริงไหม?”
“แก” อาหญิงนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกล้ามาหาเรื่องถึงที่ และที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือเสี่ยวเชี่ยนมาถึงก็งัดไพ่ใบสุดท้ายออกมาทันที
พอนึกถึงลูกชายที่ยังอาการหนักในใจก็หงุดหงิดขั้นสุด อาหญิงอยากไปดูลูกแต่สามีไม่อนุญาต ความโกรธแค้นนี้จึงมาลงที่เสี่ยวเชี่ยน ดังนั้นอาหญิงจึงพูดจาอย่างไม่เกรงใจ มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างดูถูก แล้วพูดจายโสใส่
“ฉันแทงแกข้างหลังไปแล้ว แกเตรียมลาออกได้เลย ฉันทนแกไม่ไหวมานานแล้ว เพราะการปรากฏตัวของแกทำให้ครอบครัวที่สงบของฉันเกิดเรื่องขึ้นมากมาย นี่เป็นผลจากการกระทำของแก”
“ตอนฉันห้าขวบฉันชอบจอมยุทธ์คิ้วขาวมาก หวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะได้พิทักษ์ความยุติธรรมแบบจอมยุทธ์คิ้วขาวบ้าง”
เสี่ยวเชี่ยนพูดคนละเรื่อง เล่นเอาอาหญิงถึงกับงง
“แกมาบอกฉันทำไม?”
คุยกันอยู่ดีๆก็ลากยาวไปเรื่องความเพ้อฝันในวัยเด็ก?
“ฉันหมายความว่า มนุษย์มักจะคิดแต่เรื่องที่สวยงาม ใครๆต่างก็มีความปรารถนา แต่โลกนี้มักไม่เป็นไปตามที่เราหวัง เพราะคุณไม่ใช่พระเจ้า คุณไม่มีอำนาจตัดสินชะตาคนอื่น คุณคิดจะ ‘ให้ผลจากการกระทำ’ กับฉันก็เหมือนกับที่ฉันอยากเป็นจอมยุทธ์คิ้วขาวในวัยเด็กนั่นแหละ แต่ตอนฉันห้าขวบน่ะยังไร้เดียงสาอยู่เลย คุณอายุปูนนี้แล้วทำไมยังคิดเพ้อเจ้ออยู่อีกนะ?”
“แก” อาหญิงชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยนด้วยความโมโห พูดไม่ออกอยู่นาน
เสี่ยวเชี่ยนแสยะยิ้ม “ความไร้เดียงสาของคุณ ความไม่รู้จักโตของคุณ ความหวังลมๆแล้งๆของคุณ ทำให้คุณทำคนอื่นเดือดร้อนเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ แต่คุณไม่เพียงแต่จะไม่สำนึกยังคิดหาทางลงมือกับคนที่ฉลาดกว่าคุณมีคนหนุนหลังแข็งยิ่งกว่าคุณ รู้ไหมว่าแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร? หาเรื่องให้คนอื่นเขาดูถูกไง”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้” อาหญิงมีแต่คนเอาใจมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้ใส่
“ก็สิทธิ์ที่ฉันมีวุฒิภาวะกว่าไง ฉลาดกว่า มีคนสนับสนุนมากกว่า ฉันพูดแบบนี้แล้วจะยอมได้ยัง?”