ตอนที่ 50 รนหาที่ตาย

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ชายผมสีม่วงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นฉินหร่านเข้า เขาถือบุหรี่ในมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เธอมองหาอะไร…” 

 

 

ทุกฉากฉายผ่านในความคิดของเธอ เสียงกรีดร้อง ระเบิด เลือดไหลนองชุ่มทั้งโลก… 

 

 

ฉินหร่านถอดหูฟังกับเครื่องแบบแล้วโยนทิ้งไป เธอมองไปที่คนที่เรียกกันว่าพี่สวีอย่างเย็นชาและร้ายกาจ “สวี่เซิ่น จำที่ฉันเคยบอกนายได้ไหมว่าให้อยู่ห่างๆ ฉัน” 

 

 

เธอก้าวเท้าไปข้างหน้า ยื่นมือออกไปคว้ามีดในมือของสวี่เซิ่น 

 

 

เลือดไหลออมาจากฝ่ามือของเธอทำให้กลุ่มวัยรุ่นกลัว จากที่เคยก้าวร้าวก็สงบลงเมื่อทั้งหมดมองเห็นเธอ 

 

 

สวี่เซิ่นตกใจและถอยหลังไป 

 

 

เขาสังเกตเห็นสีหน้าเธอหม่นลง ดุร้ายและความก้าวร้าวแสดงออกมาบนใบหน้าของเธอ 

 

 

เขาลดมีดลงแล้วตั้งท่าแบบเทควันโด 

 

 

ขวับ… 

 

 

ฉินหร่านสะบัดมือของเขาอย่างไว มีดเล่มนั้นหล่นลงพื้นและสั่นเล็กน้อย 

 

 

เธอก้าวถอยหลังมา เพิ่มระยะห่างของเธอ แล้วเตะตวัดไปที่หน้าอกของสวี่เซิ่ง 

 

 

โครม… 

 

 

เมื่อคนนั้นล้มลง คนอื่นก็ตอบสนองและรีบวิ่งขั้นมา ฉินหร่านยกมืออีกข้างขึ้นแล้วกดมืออีกคนไว้ แล้วเตะไปที่ท้องของเขาในเวลาเดียวกัน 

 

 

“ฉินหร่าน!” สวี่เซิ่งพยุงตัวขึ้นมาจากพื้นแล้วกระอักเลือด เขาพยายามลุกแต่ก็ไม่สำเร็จ 

 

 

เสียงไซเรนดังอยู่ไม่ไกล 

 

 

ฉินหร่านบีบมือขวาของเธอ พยายามสวมเครื่องแบบยืนอยู่ข้างสวี่เซิ่ง เธอก้มหัวลงและไม่ได้รูปซิป เพราะอย่างนี้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอจึงชุ่มไปด้วยเลือดแดงฉาน 

 

 

เธอนั่งยองๆ พร้อมกับเหยียบมือของสวี่เซิ่ง ดวงตาน่ารักของเธอหรี่เล็ก เธอยื่นนิ้วขาวๆ ของเธอออกมาบีบคอของสวี่เซิ่ง เธอลากเสียงออกมา เสียงเธอดูเพลิดเพลิน “ทำไมนายถึงไม่ฟังฉัน” 

 

 

ไม่ไกลนัก ฉินอวี่ที่เดิมทีเดินมากับหนิงฉิงและหลินหว่าน แต่เธอหาหนังสือที่อาจารย์หลี่ไอ้หรงต้องการไม่ได้ 

 

 

เธอให้คนขับรถจอดตรงทางแยก 

 

 

เธอลงมาเพื่อซื้อหนังสือ และคนขับก็ไปส่งหนิงฉิงที่โรงแรมใกล้ๆ นี่ก่อนแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วฉินอวี่จึงมองไปรอบๆ และไม่ได้ไปที่ร้านหนังสือ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหนิงฉิง 

 

 

“แม่คะ” ฉินอวี่มองเห็นรถตำรวจที่จอดอยู่ไม่ไกล “พี่สาวเหมือนกำลังต่อสู้กับใครอยู่และกำลังจะไปที่กองความมั่นคงสาธารณะ” 

 

 

ในอีกด้านหนึ่งของสายโทรศัพท์ หนิงฉิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป 

 

 

เธอก้าวออกจากโรงแรมหลังจากมั่นใจว่าหลินหว่านกับหลินฉีไม่ได้ยินเธอ เธอกระซิบว่า “นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” 

 

 

ฉินอวี่ก็ยังไม่แน่ใจ เธอเลยพูดได้ไม่กี่คำที่ฟังแล้วดูคลุมเครือ 

 

 

“อย่าบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับอารู้นะ เดี๋ยวแม่จะไปที่สน.ก่อน” 

 

 

** 

 

 

สถานีตำรวจอวิ๋นเฉิง 

 

 

ตำรวจหนุ่มถือปากกานั่งอยู่ตรงข้างกับฉินหร่าน “ฉินหร่านบอกข้อมูลติดต่อของผู้ปกครองเธอหน่อย แล้วก็ทำไมเธอถึงไปทำร้ายเขา” 

 

 

ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วบีบมือขวาของเธอไว้ เลือดไหลซึมออกมาเปรอะเลอะเครื่องแบบของเธอ 

 

 

เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา คิ้วของเธอดูสวยยามอยู่ใต้แสงไฟ เธอไม่ได้มองไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เธอกำลังเล่นกับนิ้วมือข้างซ้ายแล้วนั่งทับขา เธอพูดอย่างสบายๆ “ฉันไม่ชอบสายตาพวกเขา” 

 

 

มีการส่งคนไปใกล้ๆ โรงเรียน ตำรวจเคยเห็นนักเรียนที่น่ารังเกียจพวกนี้มาก่อน มีคนหนึ่งชำเลืองมองฉินหร่าน เขาบอกไปว่าเธอเป็นเหมือนผู้กระทำผิดทั่วไป “เธอไปหาเรื่องเขาเพราะแบบนี้เหรอ แม่สาวน้อย เธอนี่มันน่าประทับใจ เฮ้อ” 

 

 

ไม่นานนักรายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บก็ออกมา 

 

 

ในแวบแรกตำรวจคิดว่าสวี่เซิ่งเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายหนักที่สุด คงต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลสักสองสามวัน 

 

 

เขาทุบโต๊ะ เขาเคยเห็นคดีแบบนี้มาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่ไม่แสดงอาการสำนึกผิดออกมาหลังจากทำร้ายใครสักคน เขาหัวเราะแล้วรู้สึกรังเกียจนิดหน่อย “ได้ เธอมาจากโรงเรียนอีจงใช่ไหม ฉันจะส่งรายงานไปที่โรงเรียนของเธอ ในระดับนี้ เราจะต้องคุมตัวเธอจนกว่าผู้ปกครองเธอจะมา!” 

 

 

มีคนเคาะประตูอยู่ด้านนอก “เสี่ยวหลี่ ครอบครัวพวกเขามาแล้ว” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลี่ออกมาพบกับหนิงฉิง ตำรวจหญิงยื่นรายชื่อให้หนิงฉิงกรอกข้อมูล 

 

 

เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่หลี่ หนิงฉิงก็บีบกระเป๋าของเธอ มันเป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ เธอรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก “คุณตำรวจคะ ฉันเป็นแม่ของฉินหร่าน” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลี่มองหนิงฉิงแล้วหัวเราะ “ผู้กระทำความผิดร่วม?” 

 

 

หนิงฉิงแสดงสีหน้าอับอายออกมาทันที เธอตัวแข็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “เจ้าหน้าที่หลี่ เธออยู่ที่ไหนคะ” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลี่มองเธอและหยิบรายชื่อออกมา “เธอกำลังถูกสอบสวนอยู่ข้างใน คุณเป็นแม่สั่งสอนเธอยังไง” 

 

 

หนิงฉิงอับอายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาสั่งสอนเธอ เธอยืนตัวแข็งทื่อ 

 

 

ทุกคนในสถานีตำรวจต่างมองมาที่เธอ แต่เธอเลิกสนใจเรื่องนี้ไปก่อน 

 

 

แต่หลินหว่านยังอยู่ในอวิ๋นเฉิง หลายคนในตระกูลหลินรู้ว่าเธอมีลูกสาวคนโตและต่างจ้องจะนินทาเรื่องของเธอ ถ้าเธอไม่สนใจเรื่องนี้ ข่าวที่ฉินหร่านถูกจับมาที่สถานีตำรวจก็คงรู้ไปทั่วทั้งตระกูลหลิน 

 

 

สวี่เซิ่งถูกส่งไปโรงพยาบาลด้วยอารการบาดเจ็บสาหัส และตำรวจก็ได้สอบปากคำจากคนอื่นๆ 

 

 

วัยรุ่นหลายคนได้ให้ปากคำแล้ว 

 

 

ยกเว้นพานหมิงเย่ว์ที่ยังไม่ยอมพูดอะไร 

 

 

เธอยังคงก้มหน้ากอดเข่าและไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น 

 

 

“ลูกสาวคุณยังอยู่ข้างใน ยังปากแข็งไม่ยอมรับผิด หรือไม่ให้ความร่วมมือะไรเลย เธออาจจะถูกคุมตัวต่อไปถ้ายังเป็นอย่างนี้” เจ้าหน้าที่หลี่โยนรายชื่อลงบนโต๊ะ 

 

 

หนิงฉิงสมองตื้อไปหมดและพูดว่า “คุณตำรวจคะ ขอให้ฉันเข้าไปเกลี้ยกล่อมเธอหน่อยนะคะ” 

 

 

หญิงชราที่แต่งตัวดีเดินมาจากทางเข้า โอดครวญเมื่อเข้ามาถึง “ใคร ใครทำร้ายหลานชายฉัน หลานชายฉันอยู่ไหน เขาอยู่ที่ไหน” 

 

 

เมื่อหนิงฉิงเห็นหญิงชราคนนั้นเธอตกใจ “ย่าสวี่” 

 

 

ก่อนหน้านี้เธอหาครูสอนไวโอลินให้ฉินหร่าน ย่าสวี่ก็คือแม่ของครูคนนั้น 

 

 

หญิงชรากังวลเรื่องของหลานชาย เธอได้ยินเสียงของหนิงฉิงแล้วหรี่ตามองมาที่เธอ เมื่อมองดูสักพักก็จำเธอได้ 

 

 

“ย่าสวี่คะ เราค่อยๆ คุยกันนะคะ คุณต้องการเท่าไหร่…” หนิงฉิงก้มหัวลงพร้อมถามด้วยเสียงพึมพำ 

 

 

สมองเธอนิ่งไป เธอกำลังจะเข้าคุกเหรอ 

 

 

จะให้ลบประวัติอาชญากรไปสินะ ไม่มีทาง 

 

 

“ใครต้องการเงินของเธอ” หญิงชราตอบด้วยเสียงแหลม เธอโทรหาครอบครัวของเธออีกครั้ง “แกยังมัวมองอะไรอยู่ได้ ลูกชายแกถูกทำร้าย ตอนนี้ถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้ว โทรไปที่ทำงานท่านเสิ่นเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เธอรนหาที่ตายจริงๆ 

 

 

** 

 

 

ห้องพยาบาลของโรงเรียน 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองออกไปนอกประตูแล้วจับหูตัวเอง “ทำไมฉินหร่านยังไม่มาอีก” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนชำเลืองมองเขาแต่ก็ไม่พูดอะไร 

 

 

เขาก้มลงอ่านตำราแพทย์ในมือต่อไป เห็นได้ชัดว่านิ้วของเขากำลังเขียนหนังสืออยู่ ลู่จ้าวอิ่งมองเขาอย่างหัวเสีย 

 

 

อยากจะรู้นักว่าเขาจะทนได้นานเท่าไร 

 

 

ห้านาทีต่อมาเฉิงเจวี้ยนเงยหน้าขึ้นมา วางปากกาลงแล้วปิดหนังสือในมือ 

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วมองมัน 

 

 

ไม่มีข้อความอะไรแสดงขึ้นมา มันยังมีข้อความที่ฉินหร่านส่งมาเมื่อสิบนาทีก่อน [ฉันมีธุระต้องจัดการ วันนี้ฉันขอลา] 

 

 

คำถามที่เขาถามไปเหมือนโยนก้อนหินลงในมหาสมุทร 

 

 

เฉิงเจวี้ยนขมวดคิ้ว เขาเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนตอนที่เขากำลังจะเริ่มกินอาหาร 

 

 

เขาลุกพรวดขึ้นมา 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่ถือตะเกียงอยู่ในมือถึงกับอึ้ง “คุณเจวี้ยน นี่กำลังจะไปไหนน่ะ”