ตอนที่ 87 ทำลายความสงบ! + ตอนที่ 88 มีแต่พวกเศษสวะ! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 87 ทำลายความสงบ!
“ซี๊ด!”
ผู้คนต่างสูดหายใจเข้า มองภาพตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อเล็กน้อย
มู่หรงอี้เซวียนได้สติกลับมา หลังจากเห็นผึ้งพวกนั้นบินวนหึ่งๆ อยู่ด้านบนสักพัก ในที่สุดก็จากไป ถึงจะเร่งรีบเดินไปด้านหน้า ดึงนางขึ้นจากน้ำ แล้วใช้เสื้อนอกตัวเองคลุมนางไว้
“ชิงเกอ เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” มู่หรงอี้เซวียนตื่นตกใจอยู่บ้าง เห็นทั้งบนมือบนหน้านางล้วนบวมเป่งขึ้นมา ก็ทุกข์ใจและรู้สึกผิดอย่างอดไม่ได้
ตอนก่อนออกมายังรับปากท่านอาเซียวว่าจะปกป้องนางให้ดี แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้ถูกผึ้งไล่ต่อย ซ้ำยังกระโดดลงสระน้ำไปอย่างหมดหนทางหนี ทำให้ต้องอับอาย
เฟิ่งชิงเกอไม่พูดจา เพียงก้มหัวลงน้อยๆ ร่างกายสั่นเทิ้มอยู่บ้าง
มีคนเพ่งเล็งนาง!
เป็นกลิ่นหอมนั่น! ใครกัน? ใครจงใจทำร้ายนาง?
นึกถึงที่ตัวเองวิ่งไปทั่วป่าต้นท้อเพราะถูกผึ้งไล่ตามอย่างน่าอับอาย และยังโดดลงไปหลบผึ้งพวกนั้นในน้ำ ก็โกรธเสียจนสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างแล้ว
มู่หรงอี้เซวียนนึกว่าตัวนางเปียกปอนสั่นเทิ้มเพราะความหนาว จึงรีบอุ้มนางขึ้น แล้วพาไปยังทิศทางรถม้าอย่างรวดเร็ว
เห็นมู่หรงอี้เซวียนอุ้มเฟิ่งชิงเกอจากไป นักท่องเที่ยวที่ชมดอกไม้อยู่รอบๆ ก็กระซิบกระซาบกันขึ้นมาเสียงเบา
ไม่มีใครสังเหตุเห็น ว่าบนต้นดอกท้อไม่ไกล มีเงาร่างสีแดงกำลังนอนยิ้มอ่อนอยู่บนกิ่งไม้…
เวลาต่อมา เงาร่างนางแวบไป โผผ่านกลางป่าต้นท้อราวกับนางฟ้าท่ามกลางดอกไม้ ก่อนจะหายตัวไปในป่าต้นท้อทันที
กลับมาถึงรอบใน นางเก็บผ้าคลุมหน้าลงพลางฮัมเพลงด้วยอารมณ์เปรมปรีดิ์ กระโดดเหยียบเบาๆ ไปบนหินปูทางที่ใต้เท้า เมื่อมาถึงด้านใน พบชายชราท่านนั้นยังกวาดพื้นอยู่ จึงหยุดลงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเหยียบหินเข้าไปด้านในต่อ
รอเงาร่างสีแดงนั้นเดินไปด้านใน ชายชราที่กวาดพื้นอยู่ถึงเงยหน้าขึ้น มองไปทางนางแวบหนึ่ง แววตาสั่นไหวน้อยๆ ทว่าท่าทางกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนจะก้มหน้ากวาดพื้นต่อไป
ในตอนเที่ยงเหลิ่งซวงก็กลับมาแล้ว ราวกับไม่วางใจที่ปล่อยนางอยู่ในเวิ้งสวนท้อตัวคนเดียว ด้วยเหตุนี้ หลังจากส่งข่าวจึงรีบกลับมาแทบจะทันที
เฟิ่งจิ่วทิ้งเพลงกระบี่ให้นางไว้เล่มหนึ่ง ให้นางหมั่นเพียรฝึกฝนวิชา ส่วนตัวเองก็ย้ายพวกยาเข้าห้องแล้วปิดประตู บางคราพอปิดประตูทีหนึ่ง ก็ปิดไปเลยทั้งวัน แม้แต่ข้าวยังไม่ยอมออกมากิน
ชีวิตในเวิ้งสวนท้อผ่านไปอย่างเงียบสงบสบายใจ บางเวลาเฟิ่งจิ่วก็บดผสมยา บางเวลาก็ฝึกฝนวิชา วันคืนจึงผ่านไปอย่างวุ่นวายและมั่งคั่ง
ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่นางมาถึงเวิ้งสวนท้อ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนวรยุทธ์ก็ก้าวหน้าถึงระดับปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลางแล้ว
คนอื่นๆ ต้องเสียเวลากันเป็นสิบปีหรือมากกว่านั้น ถึงจะได้ระดับที่ฝึกฝน เธอแค่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ก้าวหน้าขึ้นหลายขั้นติดต่อกัน
ทว่าเธอในตอนนี้กลับไม่รู้ ว่าในเรือนที่กวนสีหลิ่นกับเหลิ่งหวาอยู่ มีฉากการสังหารเข้ามาทำลายซึ่งความสงบที่รักษากันไว้…
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? ไยจึงบุกมาเรือนข้า!”
กวนสีหลิ่นที่สวมเพียงชุดซับในสีขาว ในมือถือกระบี่ไว้ พลางมองชายชุดดำสิบกว่านายที่บุกรุกเข้าเรือนมา ค่ายอาคมในเรือนถูกคนพวกนี้ทำลายสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาที่นอนอยู่ต่างตื่นตกใจ
เหลิ่งหวาเร่งรีบสวมเสื้อผ้าออกมา เมื่อเห็นชายชุดดำสิบกว่านายที่ถือกระบี่ยาวอยู่ด้านนอก ก็ตกใจสะดุ้งโหยง ที่จริงแล้ว เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้พอเห็นคนชุดดำพวกนั้นล้อมพวกเขาไว้ ประจันหน้ากับกระบี่ยาวกระหายเลือด จึงหวาดกลัวไม่สิ้นสุด
เรือนร่างสวมชุดคลุมสีดำมือไพล่หลังเดินออกมาจากด้านหลัง แววตาดุร้ายถลึงมองกวนสีหลิ่น พลางยิ้มเย็นเยือกน่าสะพรึง
“ฆ่าคนของตระกูลสวี่ข้า พวกเจ้าคิดว่าจะซ่อนตัวได้อีกรึ?”
ชายชราชุดเทาที่ติดตามอยู่ข้างกายเขากวาดตามองกวนสีหลิ่นกับเหลิ่งหวาแวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยเสียงทุ้มเข้ม “ใครกันที่วางค่ายกลกระบี่นั่น?”
…………………………………………………….
ตอนที่ 88 มีแต่พวกเศษสวะ!
“ที่แท้ก็เป็นท่านผู้นำตระกูลสวี่”
ได้ฟังคำพูดของชายวัยกลางคนชุดดำ กวนสีหลิ่นถึงจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร ตระกูลสวี่ก็เหมือนกับตระกูลกวน ในเมืองอวิ๋นเยวี่ยเป็นได้แค่วงศ์ตระกูลขั้นกลาง แต่ตระกูลสวี่กับตระกูลกวนไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกัน ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคยพบท่านผู้นำตระกูลสวี่ ทว่าตระกูลสวี่แห่งเมืองอวิ๋นเยวี่ยจัดอยู่ในอันดับต้นๆ และมีเพียงตระกูลเดียว
“ท่านผู้นำตระกูลสวี่บอกว่าข้าฆ่าคนของพวกท่านอะไรกัน? หรือว่าเรื่องนี้จะเข้าใจผิดอะไรไปหรือไม่?”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ในใจกลับหวนคิดอย่างรวดเร็ว เดาว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวจิ่วไปไม่ได้เลย แต่ตอนนี้กลับไม่อาจยอมรับ
ส่วนชายชราชุดเทาก็น่าแปลกยิ่งนัก กวนสีหลิ่นไม่เคยเห็นคนผู้นั้น แต่เขากลับทำลายค่ายกลกระบี่ของเสี่ยวจิ่วได้ พอคิดดูแล้ว คงไม่ธรรมดาเช่นกัน
นึกถึงตรงนี้ เขาก็ขยับเข้าใกล้เหลิ่งหวาด้านหลัง พูดกดเสียงเบาว่า “เจ้าหาโอกาสหนีไปซะ! อย่าให้พวกเขาจับได้”
แม้ในใจเหลิ่งหวาจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ก็สงบลงมาแล้ว
ช่วงนี้สุขภาพเขาได้รับการฟื้นฟู ร่างกายก็ดีขึ้น แต่ยังไม่เคยฝึกฝนวิชา จึงไม่อาจต่อกรกับคนพวกนี้ได้แน่ หากเขายังอยู่ต่อ เกรงว่าจะทำให้คุณชายว้าวุ่นใจ ไม่สู้หนีออกไป แล้วค่อยคิดหาวิธีรายงานนายท่านกับท่านพี่ยังดีกว่า
นึกถึงตรงนี้ เขาก็ถอยหลังไปน้อยๆ
“เข้าใจผิดรึ? ฮะๆๆๆ! ช่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ!”
ท่านผู้นำตระกูลสวี่หัวเราะดังลั่น ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลง ก่อนจะถลึงตามองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึมกระหายเลือด “ลูกชายข้า น้องชายคนรองข้า แม้กระทั่งท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่าของตระกูลสวี่ข้าล้วนตายในเงื้องมือนังเด็กเหลือขอนั่น เจ้าคิดว่าแค่บอกเข้าใจผิดแล้วจะจบเรื่องได้รึ? จะใสซื่อเกินไปหน่อยกระมัง!”
กะแล้วเชียว!
หัวใจกวนสีหลิ่นดังตึกตัก เป็นเสี่ยวจิ่วที่ฆ่าคนของตระกูลสวี่อย่างที่คิดไว้เลย แต่ว่า นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน? ไยเขาจึงไม่รู้เรื่อง?
“นังเด็กเหลือขอนั่นเล่า? รีบเรียกนางออกมารับความตายซะ!” ท่านผู้นำตระกูลสวี่ตะเบ็งเสียงทุ้มเข้ม สายตากวาดมองไปรอบๆ กลับเห็นว่า ที่เคลื่อนไหวกันอึกทึกขนาดนี้ ในเรือนนอกจากกวนสีหลิ่น ก็มีเพียงเด็กหนุ่มที่ไร้วรยุทธ์อีกคนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านผู้นำตระกูลสวี่ พวกเราตกลงกันแล้ว หากจับตัวได้อย่าเพิ่งฆ่า กระผมยังต้องลองถาม ว่าค่ายกลกระบี่ของนางไปเรียนมาจากที่ใด!” น้ำเสียงชายชราชุดเทาทุ้มหนัก ราวกับเป็นคนที่ตีฝ่าค่ายกลกระบี่ของเฟิ่งจิ่วออกมา
“เรื่องที่รับปากใต้เท้า ข้าจะต้องทำได้แน่ แต่ตอนนี้ ต้องรีบถามถึงที่อยู่ของนังเด็กเหลือขอนั่นเสียก่อน” สิ้นสุดน้ำเสียง เขาก็ให้สัญญาณ “จับพวกมันมาให้ข้า!”
“หนีเร็ว!” กวนสีหลิ่นตะโกน แล้วผลักเหลิ่งหวาไปด้านหลัง ส่วนตัวเองก็ขัดขวางการโจมตีเพื่อเขา
“แกร๊ง!”
“ฟิ้ว!”
เสียงคมกระบี่กระทบกันดังกังวานขึ้นในยามค่ำคืน กลิ่นอายอันรุนแรงตวัดฟิ้วๆ ผ่านไป มือกวนสีหลิ่นจับกระบี่ยาวขึ้นขัดการโจมตีของชายชุดดำพวกนั้น เพื่อยื้อเวลาเพิ่มให้เหลิ่งหวามีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ใช่เฟิ่งจิ่ว ถึงแม้กำลังต่อสู้จะก้าวหน้าขึ้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนที่ท่านผู้นำตระกูลสวี่คัดเลือกมาอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้อยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ที่ต้องสู้คนเป็นสิบด้วยตัวคนเดียว เพียงไม่นานนัก ชุดซับในสีขาวบนร่างก็มีรอยเลือดแต่งแต้ม
แต่ชายชุดดำพวกนั้นจะต้องจับเขาโดยห้ามคร่าชีวิตเขา ช่างลำบากอยู่เล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น ท่านผู้นำตระกูลสวี่ที่มองมาสักพักจึงตวาดเสียงเข้ม
“มีแต่พวกเศษสวะทั้งนั้น!”
เขาลอยตัวออกไป และฝ่ามือที่แฝงด้วยกลิ่นอายพลังเร้นลับคละคลุ้งก็เข้าโจมตี
“ปัง!”
“พุ่ง!”
กวนสีหลิ่นถูกฝ่ามือเขาโจมตีกระเด็น ขณะที่ร่างลอยไปก็กระอักเลือดสดๆ ออกมา ก่อนจะล้มลงบนพื้น ยังไม่ทันได้ลุกยืนขึ้น กระบี่ยาวเกือบสิบเล่มก็จี้อยู่ตรงลำคอ ทำให้เขาไม่อาจขยับตัวแม้แต่เสี้ยววิ
…………………………………………………….