เทพเจ้าแห่งความมืดหายไปแล้ว 

 

 

หายไปง่ายๆ เช่นนี้เลย?! 

 

 

วัลโดอึ้งไปราวกับเป็นคนโง่เขลา สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขาเกือบเสียชีวิตไปก็หลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็รอดชีวิตมาได้ 

 

 

“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ” เฟิงอี้เซวียนจะจับมือของแคลร์มาดู นั่นคือบริเวณที่ควันสีดำและสีแดงแปลกประหลาดหายไป 

 

 

แคลร์มองไปที่หลังมือโดยไม่พูดอะไร 

 

 

คลิฟรีบวิ่งไปมองที่หลังมือของแคลร์เช่นกัน 

 

 

“นี่มันอะไรกัน?” เฟิงอี้เซวียนตะโกนออกมาอย่างโกรธๆ ขณะที่มองไปที่หลังมือของแคลร์ 

 

 

ที่หลังมือของแคลร์มีลายดาวหกแฉกสีดำ! มันฝังอยู่ในนั้นราวกับว่าเติบโกับแคลร์มาตั้งแต่เกิด 

 

 

“ตราของเทพเจ้าแห่งความมืด…” วัลโดตัวสั่นเมื่อเห็นสิ่งนั้นและพูด “ข้า ข้าแค่เคยได้ยิน แต่ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย! เพราะนี่เป็นเพียงตำนานโบราณเท่านั้น” 

 

 

“หมายถึงอะไร? ” แคลร์ขมวดคิ้วและถามขณะมองไปที่หลังมือของตัวเองไปด้วย 

 

 

“เทพเจ้าแห่งความมืดจะใช้สิ่งนี้เป็นตราเครื่องหมายแห่งสมบัติล้ำค่าของเขา นั่นก็คือลายหกดาวหกแฉกสีดำ” วัลโดยังคงพูดอึกอัก ตราเวทย์มนตร์แห่งแสงจะเป็นดาวห้าแฉกสีทองหรือสีเงิน ในขณะที่ตราเวทมนตร์แห่งความมืดจะเป็นดาวห้าแฉกสีดำ ไม่มีดาวหกแฉกมาก่อน แต่วันนี้เขากลับได้เห็นเครื่องหมายในตำนานนี้บนมือของแคลร์ 

 

 

วัลโดไม่เข้าใจทำไมเทพเจ้าแห่งความมืดถึงพึงพอใจแคลร์ แคลร์เป็นปีศาจน้อย มีคนชั่วร้ายมากกว่านางตั้งมากมาย ทำไมเทพเจ้าแห่งความมืดถึงให้ความสนใจนางล่ะ? เขาคิดไม่ออกเลย 

 

 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัลโดก็จะเข้าใจในที่สุด 

 

 

การตีตราหรือ? แคลร์ครุ่นคิด ที่เทพเจ้าแห่งความมืดพูดมาหมายถึงอะไร? ยังไม่ถึงเวลา ถ้าเวลามาถึง เขาจะมารับเครื่องสังเวยไปงั้นหรือ?? จะเอาชีวิตของนางงั้นหรือ? 

 

 

“นี่มันอะไรกัน!” เฟิงอี้เซวียนโกรธมาก เขาไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็รู้แล้ว เฟิงอี้เซวียนเช็ดรอยดำที่หลังมือของแคลร์ด้วยนิ้วของเขาซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถเช็ดออกได้ 

 

 

ใบหน้าของคลิฟคร่ำเคร่งจนเป็นสีเทาไปแล้ว 

 

 

เขารู้ว่านี่คืออะไร แคลร์ได้รับการยกย่องให้เป็นเครื่องบูชาจากเทพเจ้าแห่งความมืด! แม้ว่าตอนนี้จะไม่คุกคามชีวิตของแคลร์ แต่…. แต่ในอนาคตล่ะ?! 

 

 

วันหนึ่งเทพเจ้าแห่งความมืดจะมาเอาชีวิตแคลร์ คลิฟไม่สามารถปกป้องแคลร์ได้ เขาไม่สามารถปกป้องศิษย์ที่มีค่าของเขาได้เลย 

 

 

เกลียด! เป็นครั้งแรกที่คลิฟเกลียดที่เขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาอยู่ในตำแหน่งจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์มาหลายปีแล้ว แต่เขาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่การเป็นพระเจ้าได้ หากเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นพระเจ้าได้ เขาก็อาจต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งความมืดได้ มันต้องเป็นไปได้สิ! 

 

 

“อาจารย์ ไม่ต้องกังวลหรอก เรื่องต่างๆ อาจไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้” แคลร์พูดเบาๆ พลางดึงมือออกจากเฟิงอี้เซวียน แคลร์รู้ได้ทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของคลิฟ อาจารย์ของนางก็ดูเหมือนจะรู้ที่มาของเครื่องหมายนี้เช่นกัน 

 

 

“แคลร์…” ดวงตาของคลิฟเต็มไปด้วยความสับสน 

 

 

“อาจารย์ โชคชะตาของข้าจะอยู่ในกำมือของข้าเอง” จู่ๆ แคลร์ก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ 

 

 

คลิฟมองไปที่รอยยิ้มของแคลร์อย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นพลังที่มุ่งมั่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็พุ่งเข้ามาในใจของเขา ใช่แล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็แสดงว่ามันยังไปไม่ถึงจุดนั้น มันยังเปลี่ยนแปลงได้ จะมองโลกในแง่ร้ายไปทำไม? ตนเองต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะก้าวไปสู่การเป็นเทพเจ้าแห่งเวทมนตร์และต้องปกป้องแคลร์ให้ได้ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนมองชายชราตรงหน้าเขาอย่างสงสัย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ใบหน้าของเขาที่ดูเหมือนกำลังจะตายในตอนแรก ในตอนนี้กลับเปล่งประกายขึ้นมา 

 

 

“อาจารย์ เจดีย์กระดูกของแบนิมยังอยู่ตรงนั้น” แคลร์ชี้นิ้วไปที่ยอดแหลมสีขาวที่อยู่ห่างออกไปในป่า 

 

 

“จริงสิ แล้วใครเป็นคนฆ่าแบนิมล่ะ?” จู่ๆ คลิฟก็นึกเรื่องนี้ได้ 

 

 

แคลร์จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกไปโดยไม่ปิดบัง 

 

 

“อะไรนะ เจ้าขนปุยตัวน้อยนี่หรือ” คลิฟอุทาน “ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดู” 

 

 

แคลร์หยิบไป๋ตี้ที่หลับใหลออกจากกระเป๋าของนางแล้วถือมันไว้ในอุ้งมืออย่างระมัดระวังเพื่อให้คลิฟดู 

 

 

คลิฟแตะคางของเขาและเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง ไป๋ตี้กำลังนอนหลับด้วยท่าทางไร้เดียงสา มันหลับไปโดยมีอุ้งเท้าขนปุยสองข้างวางอยู่ที่หัวของมัน 

 

 

คลิฟส่ายหัวเล็กน้อย แต่ยังนึกไม่ออกว่าเจ้าตัวเล็กนี่คือตัวอะไร แต่สิ่งที่แน่นอนคือเจ้าตัวน้อยนี้ไม่ธรรมดาเลย! สิ่งที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นไม่ใช่สัตว์เวทย์ มีเพียงสัตว์ประหลาดระดับสูงหรือสัตว์ปีศาจเท่านั้น! แต่เขายังไม่ทราบชนิดของสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ปีศาจตัวนี้เลย 

 

 

“เจ้าตัวน้อยนี้ไม่มีความผันผวนของเวทย์มนตร์ในตอนนี้ มันคงจะออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น มันต้องพักผ่อนตลอดเวลา และไม่สามารถอยู่ในร่างมนุษย์ได้ตลอด” คลิฟมองไป๋ตี้ในมือของแคลร์และวิเคราะห์ 

 

 

“คงจะเป็นเช่นนั้น” แคลร์พยักหน้า 

 

 

“เจ้าเด็กผมแดง ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? ” คลิฟนึกได้อย่างรวดเร็วแล้วหันไปที่เฟิงอี้เซวียน 

 

 

“ข้ากลับมาหาผู้หญิงของข้าไม่ได้หรือ?! ” เฟิงอี้เซวียนพูดพร้อมกับยืดอก 

 

 

“โอ้ นี่เจ้าจีบสาวหรือ? ” เมื่อคลิฟได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววกระอักกระอ่วน เขายื่นมือไปแตะไหล่ของเฟิงอี้เซวียน “มาเถอะ เรามาคุยกันตรงนี้ดีกว่า” 

 

 

แคลร์กระตุกมุมปากของนาง มองคลิฟและเฟิงอี้เซวียนที่เดินไปยังเจดีย์กระดูกและคุยกันไปด้วยโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“เหอะๆ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนิสัยเสียกับชายชราเจ้าชู้นี่จะคุยกันถูกคอนะ” วัลโดพูดอย่างเหยียดหยาม จากนั้นน้ำเสียงของวัลโดก็เปลี่ยนเป็นกังวล “แคลร์ เราจะทำอย่างไรดีในอนาคตล่ะ?” 

 

 

แคลร์ยิ้มจางๆ คำพูดของวัลโดทำให้แคลร์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “กว่ารถจะไปถึงภูเขาได้ก็ต้องมีหนทางสิ ไม่ต้องกังวลหรอก ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ก่อนจะถึงวันที่เทพเจ้าแห่งความมืดจะมารับข้า ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าดูเหมือนคนที่จะอยู่เฉยๆ รอใครสักคนมาฆ่าหรือไง?” 

 

 

“ก็จริง เจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้นแน่นอน” วัลโดพยักหน้าทันที แต่เขาก็ยังคงกังวลอยู่ในใจ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเทพเจ้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ธรรมดาเลย 

 

 

แคลร์ลูบไป๋ตี้ที่หลับใหลบนฝ่ามือของนางและใส่ไป๋ตี้กลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง 

 

 

คลิฟและเฟิงอี้เซวียนจัดการเจดีย์กระดูกและทำลายมันทิ้ง เมื่อทั้งสองคนปรากฏตัวต่อหน้าแคลร์อีกครั้ง พวกเขาก็อารมณ์ดีมาก 

 

 

เรื่องราวต่างๆ คลี่คลายไปเช่นนี้ 

 

 

ภัยพิบัติในเมืองเนียร์เกิดจากแบนิม แต่เมื่อแบนิมได้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์คลิฟผู้ชาญฉลาด แบนิมก็ถูกคลิฟฆ่าตาย ศิษย์ของอาจารย์คลิฟ…. แคลร์ ฮิลล์ผู้เป็นเจ้าเมืองเนียร์คือผู้ที่ค้นพบร่องรอยของแบนิมชายผู้ชั่วร้ายผู้นั้น นางจึงช่วยให้ปรมาจารย์คลิฟกำจัดเขาได้ จากนั้นโรคระบาดจึงถูกกำจัดไป 

 

 

ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองเนียร์ ทุกคนต่างยกย่องเจ้าเมืองและปรมาจารย์คลิฟ รวมทั้งบุตรแห่งแสงที่ทำเพื่อพวกเขา 

 

 

ในสวนด้านหลัง แคลร์กำลังมองเฟิงอี้เซวียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เขาดื่มชาและพูดคุยกับคลิฟอย่างมีความสุข นางกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วถามออกไปตรงๆ “เจ้าวางแผนจะทำอะไร? “ 

 

 

“ติดตามเจ้า ปกป้องเจ้า เชื่อมความสัมพันธ์จนแต่งงานกับเจ้า สุดท้ายก็พาเจ้ากลับบ้านไปด้วยกัน” สิ่งที่เฟิงอี้เซวียนพูดออกมาเรียกได้ว่าตรงมาก คิ้วของคลิฟเลิกขึ้นแล้วยิ้ม แถมยังตบไหล่เฟิงอี้เซวียนอย่างชื่นชมด้วย 

 

 

แคลร์มองเฟิงอี้เซวียนที่พูดใบหน้าที่เรียบเฉย และคลิฟที่มีรอยยิ้มน่าสังเวช ทันใดนั้นแคลร์ก็รู้สึกถึงเหงื่อที่ชุ่มท้ายทอยของนาง 

 

 

สองคนนี้เป็นพวกที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลในความเป็นจริงเลย ความสัมพันธ์ระหว่างอันพาแกรนด์และบ้านเกิดของเฟิงอี้เซวียนนั้นละเอียดอ่อนมาก แต่ตอนนี้เฟิงอี้เซวียนจะอยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวของเฟิงอี้เซวียนจะอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่หรือ? 

 

 

“เฟิงอี้เซวียน ขอบคุณมากที่เจ้าช่วยชีวิตข้า หากเมื่อใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน แต่มันคงดูไม่เหมาะสมหากเจ้าจะอยู่ที่นี่” แคลร์พูดอย่างจริงจัง 

 

 

“เจ้าจะตอบแทนข้าหรือ? ” เฟิงอี้เซวียนเลิกคิ้ว 

 

 

“ยกเว้นเรื่องหัวใจ” แคลร์เข้าใจว่าชายผู้นี้ต้องการจะพูดอะไรจึงสกัดคำพูดของเฟิงอี้เซวียนในทันที 

 

 

“ช่างเถอะ ข้านับว่าเจ้าเป็นหนี้ไปก่อนก็ได้” เฟิงอี้เซวียนจับผมสีแดงของเขาและกลอกตา “จริงสินะ ผู้ชายที่อ่อนโยนและหล่อเหลาเช่นข้าดูโดดเด่นไปหน่อย” 

 

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก มาๆ ไอ้หนุ่ม ข้าจะจัดการให้ ข้าจะย้อมสีผมของเจ้าและเปลี่ยนสีดวงตาของเจ้าด้วยเพื่อไม่ให้ใครจำเจ้าได้ เจ้าสามารถเลือกสีใดก็ได้เลย” คลิฟยิ้มและพูดอย่างมีความสุข 

 

 

ทั้งสองเดินไปด้วยกันอย่างไร้ยางอาย 

 

 

แคลร์พูดไม่ออก ชายชราผู้นี้เป็นใครกันแน่? ตกลงว่าเขากำลังช่วยนางหรือเฟิงอี้เซวียน? 

 

 

ผมสีแดงดั้งเดิมของเฟิงอี้เซวีนนถูกย้อมเป็นสีดำ แต่ดวงตาสีดำเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ตอนนี้เขาดูไม่โดดเด่นมาก แต่สิ่งต่อไปที่ทำให้แคลร์เอือมระอามากก็คือเฟิงอี้เซวียนเริ่มตามติดนางทุกย่างก้าว และมาทุกครั้งที่ถูกเรียก ราวกับเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายคอยทำหน้าที่ป้องดูแลภรรยาในอนาคต 

 

 

กลางวันนี้ สาวใช้ในห้องโถงกำลังยุ่งวุ่นวายกัน 

 

 

แคลร์ปวดหัวเล็กน้อย นางนั่งอยู่บนเก้าอี้และมองห้องโถงที่เต็มไปด้วยของขวัญขอบคุณ ตอนนี้นางควรจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรดี? 

 

 

นอกจากนี้ นางควรจัดการผู้ชายผมสีดำรูปงามที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังไงดีล่ะ? ชายผู้นี้ตามนางอยู่ตลอดและมองมาที่นางด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมาเสมอ 

 

 

ในเวลานี้ เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็เดินเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยจินเหยียนที่มีสีหน้าว่างเปล่า จินเหยียนติดตามอยู่ข้างๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋นเพื่อปกป้องเขาตามที่แคลร์สั่ง 

 

 

“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” เมื่อแคลร์เห็นเหลิ่งหลิงยวิ๋นมาก็ลุกขึ้นทักทาย 

 

 

“ดีขึ้นมากแล้ว คุณหนูแคลร์ ขอแสดงความยินดีด้วยที่โรคระบาดได้หายไปแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มและพูดเรียบๆ 

 

 

…………………………………………………………………………….