ตอนที่ 30 พิธีรำลึก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 30 พิธีรำลึก

ชีวิตหลังจากนั้นแสนสงบและราบรื่น

หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนแห่งเมืองหลินเจียงนั้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ผู้คนล้วนเปลี่ยนทัศนะมุมมองไปจากเดิม ยิ่งเหตุผลนั้นคือคุณชายฟู่ถูกทุบตีบริเวณศีรษะจนได้รับบาดเจ็บและส่งผลกระทบตามมา

หากว่าโชคร้ายอาจจะทำให้กลายเป็นคนโง่งม แต่หากโชคดีจะเป็นการเปิดประตูแห่งความสามารถ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสามารถแต่งกวีที่ไพเราะดึงดูดผู้คนได้เยี่ยงนี้

บทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนให้บ่าวรับใช้นำไปมอบเมื่อครั้งงานกวีที่ซ่างหลินโจวได้รับการยกย่องและแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบรรทัดที่กล่าวว่า ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน เป็นกลอนที่สตรีทั้งหลายล้วนหลงใหล ใฝ่ฝันปรารถนายิ่งนัก

ขณะเดียวกันบทกวีที่ชาวบ้านนิยมนำมาขับร้องยังมี “ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน” บทนั้น ซึ่งประพันธ์โดยถังซูยวี่ หนึ่งในสี่ของผู้มีพรสวรรค์ ขับร้องครั้งแรกโดยแม่นางไป๋ชิวแห่งหอฉวินฟาง

ส่วนหยู๋ฝูจี้ตรอกฉือปาหลี่นั้น ในทุกวันยังมีผู้คนมากมายต่อแถวแต่เช้าตรู่ และจบการค้าขายลงในเวลา 1 ชั่วยาม แน่ชัดว่าผู้ที่รอต่อแถวแต่มิได้สุรากลับไปนั้นย่อมไม่พอใจ ฉ้ายหลงจู๊ต้องอธิบายแก่พวกเขาอย่างชัดเจนว่าสุรานี้แต่ละวันผลิตได้เพียงเท่านี้ คุณชายของพวกเขากำลังเร่งแก้ไขปัญหาและค้นคว้าหาวิธีใหม่อยู่ คาดว่าเมื่อค้นหาวิธีได้ ทุกคนจะซื้อหาได้อย่างเพียงพอ

ผู้คนไม่น้อยที่ได้ลิ้มลองรสชาติสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุนแล้วนั้น เมื่อดื่มสุราชนิดอื่นก็ไร้ซึ่งรสชาติ อีกทั้งบรรดาเหล่าปัญญาชนเมื่อสังสรรค์กัน พวกเขามักจะนำสุราชั้นยอดออกมาเพื่อดื่ม เว้นแต่สุราทั้งสองชนิดนี้ที่ไม่สามารถหาได้ ส่งผลให้สุราทั้งสองชนิดนี้มีการโก่งราคาสูงขึ้นในตลาดทั่วไป

บางคนที่สามารถซื้อสุราทั้งสองชนิดนี้ไปได้ก็นำไปสร้างกำไรได้ไม่น้อยทีเดียว

อย่างเช่น สุราเซียงเฉวียน 1 ตำลึงราคา 50 อีแปะ ถูกขายต่อไปในราคา 100 อีแปะ อีกทั้งสุราเทียนฉุนที่มีรสเลิศและราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งสุราชนิดนี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสุราเทียนเซียงได้ 1 ตำลึงราคา 300 อีแปะนำไปขายต่อได้ในราคา 1 ตำลึง 600 อีแปะ อีกทั้งยังมิสามารถหาซื้อได้ในตลาดทั่วไป

เช่นนั้นพ่อค้ารายใหญ่จำนวนมากที่ประสงค์จะดื่มสุรานี้ จะส่งบ่าวรับใช้ไปต่อแถวรอที่หน้าประตูหยู๋ฝูจี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ร้านจำหน่ายสุราชีชื่อที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่ชีชื่อเข้าใจดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ที่นิยมเพียงชั่วคราว หากจำนวนผลิตของหยู๋ฝูจี้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เขาก็คงจะมิได้เดือดร้อนเช่นนี้

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย หลายวันมานี้นอกจากการเดินทางไปพบปะท่านอาจารย์ฉิน ณ สำนักศึกษาหลินเจียงในครั้งนั้นแล้ว เขาหาได้ออกจากจวนอีกไม่

กาลเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ

พริบตาเดียวทุกอย่างได้ดำเนินมาถึงเดือนหกวันที่สิบ

ในวันนี้คือวันที่เขาจะจัดพิธีระลึกถึงการจากไปของมารดาฟู่เสี่ยวกวน ซึ่งฟู่ต้ากวนได้เชิญซินแสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งเมืองหลินโจว มาเป็นผู้กำหนดวันในการจัดพิธี

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตื่นแต่เช้าตรู่ดังเดิม หลังจากฝึกฝนร่างกาย อาบน้ำชำระร่างกายและรับประทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้นั่งอยู่อย่างสงบภายในศาลาเหลียงถิง

เรื่องราวเกี่ยวกับมารดานั้น ภายในความทรงจำของเขาไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก เพียงแค่สามารถนำเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันเท่านั้น จากเมื่อครั้นมารดาสิ้นชีพลง บัดนี้นับได้สิบปีแล้ว

เมื่อยามรุ่งสาง ฟู่เสี่ยวกวนพาชุนซิ่วเดินออกไปนอกจวน ด้านหลังยังมีซูม่อติดตามไป จวบจนบัดนี้ทั้งสองยังคงมิได้เอ่ยคำใด ๆ ต่อกัน

ภายนอกจวนปรากฏรถม้าจอดรออยู่ 5 คัน อีกทั้งยามรักษาความปลอดภัย 20 นาย

ฟู่ต้ากวนอยู่ที่นั่น แต่ฉีซื่อกลับทำเหมือนมองไม่เห็นเขา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำมาใส่ใจ เนื่องจากฉีซื่อเป็นสตรีมีครรภ์ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นคงไม่ดีนัก

เมื่อสองคนพ่อลูกขึ้นรถเรียบร้อย ผู้ดูแลหวงก็ได้นำขบวนและกำลังพลเดินทางไปยังทิศเหนือ

ภูเขาลูกนี้ไม่มีชื่อและมิได้สูงตระหง่าน แต่ต้นไม้บนภูเขายังคงเติบโตแผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่นได้เป็นอย่างดี  สุสานของสวี่หยุนชิงอยู่ในภูเขาแห่งนี้

ที่แห่งนี้ช่างเงียบสงบเสียจริง

ต้นไม้บริเวณรอบถูกโค่นออกจนโล่งเตียน ไม่มีแม้กระทั่งต้นหญ้าสักต้นหนึ่ง บนพื้นถูกปูด้วยหินซึ่งผ่านการขัดเงาเสียจนมันวาว

หลุมศพนั้นถูกทำขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวแสนโอ่อ่า ด้านหน้าเป็นแท่นสำหรับเซ่นไหว้สิ่งของซึ่งทำมาจากหินอ่อนสีขาวเช่นกัน

บรรดาผู้รับใช้ได้นำสิ่งของเซ่นไหว้บูชายกมาวางไว้บนแท่นหินอ่อนด้านหน้าอย่างเป็นระเบียบ

ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยที่เชิญมาได้พานักบวชลัทธิเต๋าหลายสิบคนนั่งลงยังหน้าแท่นบูชา เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่ถือแส้ไว้ในมือก็โบกมือไปมา จากนั้นเขาก็เริ่มทำการสวดมนต์

ฟู่เสี่ยวกวนหาได้ฟังออกไม่ อีกทั้งยังไม่เข้าใจ สายตาของเขาจ้องไปยังป้ายหน้าหลุมฝังศพ บนนั้นปรากฏตัวอักษรมากมาย

“สวี่หยุนชิง ภรรยา  ฟู่ต้ากวน สามี  ฟู่เสี่ยวกวน บุตร”

“ข้าพบเจอภรรยาผู้นี้ครั้งแรกที่ฉินหวาย ต้นไทรเพิ่งผลิใบ สายฝนโปรยปราย หยุนชิงสวมใส่ชุดสีม่วงเดินเข้ามาพร้อมร่มคันหนึ่งในมือนาง เส้นผมโบกปลิวไปตามแรงลม กระโปรงพลิ้วไสวคล้ายกำลังเต้นรำ”

“ต่อมาเราทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้งที่หลานถิง ดอกไม้ฤดูร้อนผลิบาน แสงแดดทอเจิดจ้า หยุนชิงสวมใส่ชุดขาว ในมือถือพัดปักลายประณีตยืนอยู่ที่หัวเรือเพียงลำพัง สายตานางแลมา ช่างเจิดจ้ายิ่งนัก”

“……เพียงพบเจอนางได้ 2 ครั้ง จิตใจเราทั้งสองก็ตรงกัน มุ่งมั่นตั้งอนาคตร่วมกัน บิดาของข้าเป็นผู้เดินทางไปสู่ขอ หากแต่ตระกูลสวี่มิยินยอม ข้าจึงได้แต่รอคอยอยู่ด้านนอกจวนสวี่ กระทั่งฝนเทลงมาห่าใหญ่……”

“……รัชสมัยไท่เหอปีที่ 43 ฤดูหนาว หิมะตกหนักอีกทั้งมีลมพายุ ในคืนนั้นหยุนชิงปีนข้ามกำแพงออกมา ข้าและหยุนชิงเดินเคียงคู่กัน หยุนชิงหันหลังกลับไปแลดูจวนสวี่อีกครั้ง พบว่าเล็กลงไปทุกที น้ำตานางไหลอาบหน้า”

“รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 44 ฤดูใบไม้ผลิ ดอกรักของข้าและหยุนชิงได้บานสะพรั่ง เราสองให้กำเนิดบุตรชายในฤดูหนาว หยุนชิงตั้งชื่อเขาว่าฟู่เสี่ยวกวน  นางกล่าวว่าตัวข้านั้นมิเคยได้รับตำแหน่งใดในข้าราชการ บุตรของข้าหากได้ตำแหน่งแม้น้อยนิดตามชื่อของเขา ก็จะมีความสุขเสียจนล้นพ้น”

“……หยุนชิงได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า แต่ฟ้าหามีตาไม่!รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 49 หยุนชิงป่วยหนัก ข้าและภรรยาเดินทางกลับไปยังเมืองจินหลิง เพียงเพราะภรรยาข้าปรารถนาจะเห็นประตูจวนสวี่อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“เราสองสามีภรรยาพร้อมทั้งบุตรชายคุกเข่าอยู่หน้าจวนสวี่เป็นเวลานาน แต่หาได้รับการอภัยจากจวนสวี่ไม่ ภรรยาข้า……จากไปในรัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 50 ฤดูใบไม้ผลิ อายุได้ 25 ปี”

“หยุนชิงที่รัก โปรดจงรอข้าเถิด สักวันข้าจะมาพบเจ้า ณ ที่นี้ ปกป้องเจ้าทุกชาติไป”

“ฟู่ต้ากวน คารวะ”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปนาน เขาคาดไม่ถึงว่าบิดาและมารดาของเขานั้นผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันถึงเพียงนี้ อีกทั้งคาดไม่ถึงว่าในความทรงจำของเขานั้นไม่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่แม้แต่น้อย

สิ่งนี้หมายความว่า ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมนั้นมิเคยเดินทางมาคารวะหลุมศพมารดา หรืออาจจะเคยมา แต่มิได้ใส่ใจแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพ ช่างอกตัญญูไร้คำจะเปรียบเปรย!

เขามองไปยังบิดาที่นั่งจุดเทียนเผากระดาษอยู่หน้าแท่น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าชายอ้วนผู้นี้ช่างมีความยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่ที่สามารถรักและปกป้องสตรีนางหนึ่งในยุคสมัยนี้ได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังรู้สึกชื่นชมนับถือสตรีผู้ที่เขา มิเคยมีโอกาสได้พบหน้าผู้นั้นอีกด้วย นางสามารถหนีออกจากบ้านมาในคืนที่พายุหิมะกระหน่ำ เพียงเพื่อชายผู้นี้ นางต้องมีความกล้าหาญสักเพียงใด!

เขามิอาจทราบได้ว่าตระกูลสวี่เป็นอย่างไร แต่จากป้ายหน้าหลุมศพนี้ เขารับรู้ได้ว่ามารดานั้นเป็นสตรีที่มีความสามารถหรืออาจจะเป็นบุตรีในตระกูลข้าราชการ แต่ตระกูลฟู่นั้นเป็นพ่อค้าที่ดิน จึงได้ถูกตระกูลสวี่ปฏิเสธการแต่งงานในครานั้น

เขามิได้โกรธเคืองด้วยเหตุผลนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนโกรธคือมารดาของเขาป่วยหนักแต่กลับไปที่จวนสวี่พร้อมกับครอบครัวเพื่อคุกเข่าขออภัยอยู่หน้าจวน แต่กลับมิได้รับการอภัย สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย เลือดเย็น ช่างไร้น้ำใจเสียจริง

สิ่งนั้นคงเป็นความปรารถนาเดียวในชีวิตอันแสนสั้นของมารดา

เขาสูดหายใจเข้าลึก มือของเขากำหมัดแน่นโดยมิรู้สึกตัว

หลังจากฟู่เสี่ยวกวนมายังโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง อย่างแท้จริง มิใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อสตรีผู้เข้มแข็งและน่ายกย่องที่นอนอยู่ในหลุมศพนี้

เขาเดินหน้าขึ้นมา รับธูปจากมือของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยแล้วนำไปปักลงหน้าหลุม คุกเข่าทำความคารวะ จากนั้นก็นั่งลงเผากระดาษเงินกระดาษทองเช่นเดียวกับฟู่ต้ากวน

เปลวไฟลุกขึ้นร้อนแรง

ฟู่ต้ากวนเอ่ยขึ้นว่า “ลูกชายข้า เจ้าจงดูเถิด มารดาเจ้ารับรู้ถึงการกลับตัวกลับใจของเจ้าแล้ว นางต้องดีใจมากเป็นแน่”