โจวเสาจิ่นนอนหลับสบาย เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น จึงรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา ยังทำผมเป็นมวยย้อยลงมาอย่างตั้งอกตั้งใจ สวมที่คาดผมสีทองฝังขอบด้วยลูกปัดดอกไม้ล้ำค่า
ซือเซียงอดไม่ได้กล่าวชมว่า “คุณหนูรองแต่งตัวเช่นนี้แล้วงดงามยิ่งนัก! ท่านน่าจะแต่งตัวดีๆ เยี่ยงนี้ทุกวันมานานแล้วนะเจ้าคะ”
อัญมณีอันแพรวพราวขับให้ผิวของโจวเสาจิ่นผ่องแผ้วดั่งหิมะ ดวงตาสุกใสเปล่งประกาย
“เช่นนั้นก็ยุ่งยากเกินไป!” นางจัดแขนเสื้อ นิ้วที่ลูบอยู่บนชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหางโจวสีชมพูลายดอกบัววั่นจื้ออยู่นั้น ยิ่งเผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนละเอียด “เพียงแค่มวยผมนี้ก็ใช้เวลาหวีเกือบครึ่งชั่วยาม พอถึงช่วงพักยามบ่าย ก็ต้องปล่อยแล้วหวีใหม่อีก หากข้ามีเวลาว่างขนาดนั้น ไม่สู้ไปที่สวนดอกไม้และดูว่ามีดอกอะไรบานแล้วบ้างยังจะดีเสียกว่า…ข้าเตรียมเอาไว้ว่าหลังจากที่ปักเสื้อฤดูร้อนของข้ากับพี่สาวเสร็จแล้ว จะทำน้ำดอกไม้สกัดสักสองสามขวด ไม่แน่ว่าอาจจะทันงานวันเกิดของท่านยาย”
“ดีเจ้าค่ะ!” ซือเซียงชอบเห็นโจวเสาจิ่นที่เป็นเช่นนี้ ที่ราวกับดอกไม้ดอกแรกที่บานอยู่ท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า ไม่เพียงงดงาม แต่ยังมีพลังและมีชีวิตชีวาประเภทหนึ่งที่ทำให้ใจคนเกิดความโหยหา กระทั่งนำพาให้บรรยากาศภายในห้องรื่นเริงขึ้นมา “ถึงเวลานั้นบ่าวจะเป็นผู้ช่วยให้คุณหนูรองเอง ท่านว่าอย่างไรข้าก็ทำอย่างนั้น สัญญาว่าจะไม่ทำให้ธุระของท่านต้องล่าช้าเลยเจ้าค่ะ”
ชุนหว่านที่ถือรองเท้าเข้ามาเมื่อได้ยินแล้ว ยังไม่ทันให้โจวเสาจิ่นได้เลือกรองเท้าที่ต้องใส่ในวันนี้ ก็รีบกล่าวขึ้นแล้วว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ หากจะทำน้ำดอกไม้สกัด ต้องการให้ช่างฝีมือทำถังที่ท่านวาดวันนั้นหรือไม่เจ้าคะ ไม่รู้ว่าพ่อบ้านหม่าจะหาช่างไม้ฝีมือดีสักคนหนึ่งให้ได้หรือไม่”
“ถังนั้นมีอะไรให้ยากกัน” โจวเสาจิ่นมองสำรวจรองเท้าที่อยู่ในมือของชุนหว่าน เลือกรองเท้าส้นสูงสีฟ้าครามเรียบๆ ขอบสีชมพูเงินคู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ก็คล้ายกับเข่งนึ่งที่ใช้นึ่งหมั่นโถวของทางตอนเหนือ ช่างฝีมือส่วนใหญ่ต่างก็ทำได้ดีอยู่แล้ว หากจะยากก็ยากที่ขวดแก้ว น้ำสกัดหอมนั้นจะลอยไปตามลม หากต้องการให้คงกลิ่นหอมเอาไว้ในขวด ก็จำต้องหาช่างตีเหล็กสักคนหนึ่งมาทำฝาปิดขวดแก้ว แต่นี่คืองานฝีมือ หากทำฝาบางไป ใช้ไม่กี่ครั้งก็แตกแล้ว แต่หากทำฝาหนาไป เมื่อนำไปปิดขวดแก้ว จะทำให้ดูเหมือนกับว่าส่วนหัวหนักและส่วนเท้าเบา ไม่น่าดู ยังมีขวดแก้วอีก ก็ไม่รู้ว่าจะสั่งทำได้จากที่ใด”
ขณะที่นางกังวลอยู่นั้นชุนหว่านกลับหลงใหลไปกับคำอธิบายของนางจนดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย ถามขึ้นอย่างหน้าไม่อายว่า “คุณหนูรอง ตอนที่ทำขวดแก้วช่วยสั่งทำลูกปัดแก้วด้วยสักสองสามเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ ถึงเวลานั้นพวกข้าสามารถนำไปติดกับปิ่นปักผม เมื่อหลายวันก่อนข้าเห็นสตรีผู้หนึ่งบนถนนปักปิ่นปักผมฝังลูกปัดแก้ว ยามต้องแสงอาทิตย์ เปล่งประกายแวววาว งดงามยิ่งกว่าอัญมณีเสียอีกเจ้าค่ะ”
“นึกไม่ถึงว่าชุนหว่านจะชื่นชอบลูกปัดแก้ว?” โจวเสาจิ่นถามซือเซียง “เจ้าล่ะชอบหรือไม่ เช่นนั้นเมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็สั่งลูกปัดมามากหน่อย จะได้แบ่งให้พี่ๆ น้องๆ ในเรือนกันคนละหน่อยดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะๆ!” ชุนหว่านตบมือดีใจ
ภายในห้องของโจวเสาจิ่นทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเริงร่า
ทว่ากว่าโจวชูจิ่นจะหลับลงได้ก็เลยหลังเที่ยงคืนแล้ว ตอนเช้าจึงตื่นสายเล็กน้อย ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านของน้องสาว นางครุ่นคิดแล้วสั่งตงหว่านว่า “เจ้าไปบอกคุณหนูรองสักหน่อย ว่าตอนเช้าข้ามีธุระต้องไปหาท่านป้าใหญ่ ให้ถึงยามเฉิงเจิ้งสามเค่อ[1]แล้วนางค่อยไปคาราวะยามเช้าท่านยาย ข้าจะรอนางอยู่ที่นั่น”
ตงหว่านยิ้มแล้วนำคำไปบอกโจวเสาจิ่น
โจวชูจิ่นรับมื้อเช้าอย่างลวกๆ แล้วไปที่เรือนเฮ่อหมิง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพิ่งจะจุดธูปเสร็จ เมื่อเห็นโจวชูจิ่นเพียงคนเดียว จึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “เสาจิ่นล่ะ? หรือว่าเมื่อวานจะเหนื่อยเกินไป นางเป็นอะไรมากหรือไม่”
“เปล่าเลยเจ้าค่ะ!” โจวชูจิ่นรับถ้วยชามาจากมือของสาวใช้ จากนั้นวางเอาไว้ตรงเบื้องหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวน อยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็หยุดไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากวงจิบชาไปคำหนึ่ง จากนั้นส่งคนรับใช้ในห้องออกไป เอ่ยถามขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
โจวชูจิ่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานระหว่างโจวเสาจิ่นกับอู๋เป่าจางตั้งแต่ต้นจนจบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวงฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อฟังตามคำบอกเล่าของโจวชูจิ่น สีหน้าของนางก็ค่อยๆ คลายลง ครั้นโจวชูจิ่นเล่าจบ นางก็มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าแล้ว กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นี่เจ้ากำลังกังวลอะไรอยู่หรือ กลัวคนอื่นจะคิดว่าโจวเสาจิ่นมีจิตใจที่เจ้าเล่ห์ และจะไม่ชอบนางอย่างนั้นหรือ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มกล่าวขึ้นว่า “แต่เจ้าดูเมื่อวานนี้สิ มีเรื่องเกิดขึ้นกับเสาจิ่นหรือไม่”
โจวชูจิ่นกล่าวเสียงเบาว่า “นั่นก็เพียงเพราะว่าโชคดี…ที่สามารถดึงคนจากหลายๆ จวนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“แผนขึ้นอยู่กับคน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสวรรค์ นางโชคดีที่สามารถเอาตัวเองออกไปได้ นั่นก็เป็นโชคดีของนาง” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางตบเบาะดิ้นเงินข้างตนเอง กวักมือเรียกโจวชูจิ่นให้นั่งลงข้างนาง “จากสถานการณ์ของเสาจิ่นในตอนนั้น เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ผู้นั้นมีเจตนาร้ายแอบแฝง ยังดีที่นางคอยระแวดระวังตัว ฉวยโอกาสตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลายๆ เรือนอยู่กันพร้อมหน้า ส่งเสียงป่าวประกาศเรื่องนี้ออกมา หากเปลี่ยนเป็นสถานการณ์อื่น เกรงว่านางอาจจะไม่โชคดีขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเสาจิ่นในยามปกติจะเป็นคนที่อือออเจ้าค่ะอยู่เสมอ แต่ในยามสำคัญกลับรู้ว่าต้องปกป้องตนเองอย่างไร นี่อาจเป็นโชคที่ดีมาก เจ้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลเลย”
โจวชูจิ่นนั่งลงข้างๆ ท่านยาย กล่าวอึกๆ อักๆ ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง… สาเหตุที่คุณหนูใหญ่อู๋กล่าวเช่นนี้ เป็นเพราะนางเห็นเฉิงสวี่ไล่ตามเสาจิ่นเจ้าค่ะ” นางเล่าเรื่องเฉิงสวี่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกใจจนคางเกือบจะร่วงลงมา ถือถ้วยชาเอาไว้ไม่รู้ว่าจะจิบชาดีหรือจะวางลงดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้า เรื่องที่เจ้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ข้าเล่าให้ท่านฟังตามคำพูดที่เสาจิ่นเล่ามาเจ้าค่ะ” โจวชูจิ่นกล่าว “ไม่ได้เสริมแต่งหรือตกหล่นแม้แต่คำเดียวเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยืนขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องสองรอบ แล้วจึงค่อยๆ สงบอารมณ์ลง
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นว่า “หากว่าเรื่องนี้เป็นจริง เช่นนั้นทางด้านเรือนหานปี้ซาน… ก็อย่าเพิ่งไปสักพักใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวโดยไม่ต้องคิด “หากเป็นเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ เสาจิ่นก็เลยไม่ไปเรือนหานปี้ซานอีก หากตกอยู่ในสายตาของผู้ที่ช่างสังเกต เกรงว่าก็เป็น ‘ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง'[2] แล้ว เสาจิ่นไม่เพียงต้องไปเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้เคยวางตัวเช่นไรตอนนี้ก็ยังคงต้องวางตัวเช่นนั้น” กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าก็เปลี่ยน กล่าวขึ้นว่า “แต่ความกังวลของเจ้าก็มีเหตุผล เช่นนี้ข้าจะส่งคนไปสืบความที่เรือนหานปี้ซาน หากไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น ด้วยความฉลาดหลักแหลมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตอนนี้นางควรจะทราบเรื่องนี้แล้วถึงจะถูก ตามหลักการแล้ว นางคงจะว่ากล่าวตักเตือนเฉิงสวี่ไปชุดหนึ่ง แต่นางนั้นยามมีเรื่องมักจะเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ สุดท้ายจะจัดการอย่างไรกันแน่นั้น ข้ายังไม่แน่ใจอยู่บ้างจริงๆ”
นี่คือวัตถุประสงค์ที่โจวชูจิ่นมาพบท่านยายเพียงลำพัง
นางพยักหน้าซ้ำๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้ซื่อเอ๋อร์ไปเชิญหวังมามามา กระซิบสั่งการหวังมามาครู่หนึ่ง จากนั้นหวังมามาก็ไปที่เรือนหานปี้ซาน
ภายในเรือนหานปี้ซาน หยวนซื่อยืนคิ้วตกดูอ่อนน้อมอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นที่สลักลวดลายดอกเหมยวั่นจื้อเคลือบสีแดง ทานโจ๊กถั่วแดงอย่างช้าๆ เฉิงสวี่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่ปูด้วยหินสีคราม เข่ากดทับบนหินจนเจ็บ เขาลอบมองสำรวจมารดาและท่านย่าครั้งหนึ่ง จากนั้นขยับตัวอย่างเงียบๆ
ภายในห้องราวกับมีเสียงฟ้าคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง เป็นเสียงสบถเย็นของท่านย่าดังขึ้นมา
เฉิงสวี่รีบคุกเข่าตั้งตัวให้ตรง แต่ก็อดไม่ได้ชำเลืองมองไปที่มารดาผ่านทางหางตา
หยวนซื่อเจ็บปวดใจดั่งถูกมีดเฉือน
ราวกับก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งได้ร่วงหล่นมาจากตัวนาง เติบโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยได้รับความคับข้องใจเช่นนี้มาก่อน
กล่าวไปกล่าวมา ต้องโทษอู๋เป่าจางผู้นั้น ที่กุเรื่องขึ้นมา ยังมีโจวเสาจิ่นอีก คำเพียงไม่กี่คำดึงทึ้งทิ้งไปเสียก็พอแล้ว แต่กลับต้องการป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ไปทั่ว ไม่ใช่คนที่อดทนรอบคอบเลย
นางเงยหน้ามองไปที่แม่สามี
เห็นแม่สามีวางถ้วยโจ๊กลง คีบเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่ง หยวนซื่อรีบยื่นจานกระเบื้องใบเล็กส่งไปให้ เตือนแม่สามีด้วยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ท่านดูสิเจ้าคะ ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว คุณชายใหญ่คุกเข่ามาเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว อีกสักครู่เขายังต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกเจ้าค่ะ”
“เขาต้องไปเรียนสินะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางจานกระเบื้องใบเล็กลง กล่าวเสียงเบาอย่างช้าๆ ว่า “สิ่งที่สอนในสำนักศึกษาล้วนเป็นคำสั่งสอนของปราชญ์ เขาอยู่ในสำนักศึกษาก็ฟังมาเกือบจะสิบปีแล้วมิใช่หรือ ไม่คาดคิดว่าจะฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่ประโยคเดียว เช่นนั้นยังจะไปที่สำนักศึกษาเพื่ออะไรอีกหรือ ไปเป็นเงาอยู่ที่นั่นหรือ หรือว่าเป็นเพราะอยากรับเงินค่าหมึกและพู่กันจำนวนแปดเหลี่ยงทุกเดือนนั่นจากตระกูลอย่างนั้นหรือ”
คำพูดที่กล่าวออกมากลับเชือดเฉือนยิ่งนัก
หยวนซื่อโกรธจนปลายนิ้วสั่นเทิ้ม
แม่สามีกล่าวเช่นนี้กับคุณชายใหญ่ได้อย่างไร คุณชายใหญ่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย
ใบหน้าของเฉิงสวี่กลับแดงเถือกขึ้นมาอย่างฉับพลันราวกับจะหยดออกมาเป็นเลือดได้
เขาตะโกน “ท่านย่า” ออกมาดังลั่น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบกับสายตาอันคมกริบ เย็นยะเยือกของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เฉิงสวี่ชะงักงันอยู่ที่นั่น
ตอนที่เขายังเด็กมากก็เคยเห็นท่านย่าเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่ว่า ตอนนั้นเป็นบิดาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาอายุยังน้อย แต่ก็รู้ว่าท่านยายรักพวกบุรุษรุ่นหลังเหล่านี้ที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกกลัว ในทางตรงกันข้าม กลับอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากแทน
ตอนนี้ ผู้ที่คุกเข่าอยู่ตรงนี้เปลี่ยนเป็นเขา เขาถึงได้เข้าใจความอับอายของบิดาในตอนนั้น
เฉิงสวี่กล้ำกลืนคำพูดแก้ตัวเหล่านั้นทั้งหมดลงไป ก้มหน้าลง คุกเข่าตัวตั้งตรงยิ่งขึ้น
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้คลายลงเล็กน้อย และเริ่มทานซาลาเปา
ภายในห้องเงียบสงัดไร้เสียงคนพูดคุย เสียงเคี้ยวกับเสียงกระทบกันของถ้วยกระเบื้องดังขึ้นเบาๆ ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึดอัดเล็กน้อย
หยวนซื่อมองบุตรชายที่คุกเข่าบนพื้นอย่างเป็นกังวล
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองแต่ทำเป็นไม่เห็น จนกระทั่งรับมื้อเช้าเสร็จ เช็ดมือ ยกถ้วยชาขึ้นมา จากนั้นถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ไปเรียนเถอะ! ต่อไปก็ยกเลิกการมาคาราวะยามเย็นของเจ้าเสีย”
“ท่านแม่!”
“ท่านย่า!”
หยวนซื่อกับเฉิงสวี่มองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างพร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง จนเกิดเสียงดังกึก
นางถามเฉิงสวี่ว่า “ทำไมหรือ ข้ายังสั่งให้เจ้าไม่ขยับไม่พออีกหรือ”
“เปล่าขอรับๆ!” เฉิงสวี่รีบกล่าวอย่างร้อนรน หน้าผากผุดเม็ดเหงื่อเล็กๆ ออกมา “ข้า ข้าเพียงแต่นึกไม่ถึงว่า…”
“นึกไม่ถึง เรื่องที่เจ้านึกไม่ถึงช่างมีมากนัก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นกล่าว “ข้ามีบุตรชายสามคน แต่ไม่มีสักคนที่เหมือนเจ้า ตอนที่บิดาของเจ้าโตเท่าเจ้าในตอนนี้ ก็รู้จักรับใช้ท่านปู่ของเจ้าอยู่ในห้องหนังสือแล้ว”
ลำดับต่อไป ก็คงจะกล่าวว่านิสัยของคุณชายใหญ่ที่เป็นเช่นนี้นั้นเหมือนผู้ใดกันแน่?
ใจของหยวนซื่อเหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบรัด จนหายใจไม่ออก
เฉิงสวี่ก้มศีรษะด้วยความละอาย
ทว่าเหนือความคาดหมายของหยวนซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวถึงตรงนี้แล้วก็หยุด ไม่กล่าวต่อไปอีก แต่กลับโบกมือไล่เฉิงสวี่ กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้ากลับไปได้แล้ว!”
เฉิงสวี่ไม่กล้าอยู่ต่อ เอาเข่ายันตัวลุกขึ้นมา
หยวนซื่อเห็นบุตรชายเดินซวนเซ ก็ให้ปวดใจยิ่งนัก อยากก้าวออกไปประคองเฉิงสวี่ แต่ถูกสายตาเย็นยะเยือกของฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้ตกใจกลัวจนถอยกลับไป
เฉิงสวี่เดินกะโผลกกะเผลกออกประตูไป ฮวนสี่บ่าวข้างกายของเขารีบมารับ
“คุณชายใหญ่ ท่าน…” เขาถามไปด้วย ประคองเฉิงสวี่ไปด้วย
เฉิงสวี่นวดขาที่ชามากจนแทบจะยกไม่ขึ้น กล่าวอย่างหดหู่ว่า “อย่าพูดถึงเลย! ถูกท่านย่าสั่งสอนอย่างรุนแรงไปชุดใหญ่”
ฮวนสี่ไม่กล้าถามอีก ประคองเฉิงสวี่เดินออกไปอย่างช้าๆ
ต้าซูติดตามอยู่ข้างหลังพวกเขาไปอย่างเงียบๆ
ชายผู้นี้ทำไมถึงซื่อบื้อได้ขนาดนี้?
ฮวนสี่พึมพำอยู่ในใจ ตะคอกใส่ต้าซูว่า “ยังไม่มาประคองคุณชายใหญ่อีก!”
ต้าซูก้าวออกมาอย่างเงียบๆ ใครจะรู้ว่าเฉิงสวี่กลับยกมือห้าม กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้อง! เจ้าไม่ต้องรับใช้อยู่ที่นี่ เจ้าไปที่สำนักศึกษาแล้วช่วยข้าขอลาหยุดครั้งหนึ่งก็พอ!”
“คุณชายใหญ่!” ทั้งสองร้องครวญอย่างตื่นตระหนกออกมาพร้อมกัน
หากนี่ถูกฮูหยินรู้เข้าล่ะก็ ต้องตีขาพวกเขาจนหักแน่ๆ!
………………………………………………………………….
[1] ยามเฉิงเจิ้งสามเค่อ เวลา 8.45 น.
[2] ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เปรียบเปรยว่า อยากปกปิดซ่อนเร้น แต่กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้