บทที่ 41 นอกเสียจากท่านจะเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 41 นอกเสียจากท่านจะเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก
การตกแต่งของห้องลับปิดตายแห่งนี้ดูเรียบง่าย ประกอบไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอนและฟูก บนโต๊ะยังมีชุดกาน้ำชาตั้งอยู่หนึ่งชุด

แต่หลังจากผ่านเวลามาอย่างยาวนาน น้ำชาได้แห้งไปหมดแล้ว

สิ่งที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงคือตรงกลางของฟูกบนเตียงมีรูปปั้นหินนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งองค์

พื้นผิวของรูปปั้นหินองค์นี้ดูเรียบเนียน ชายเสื้อพริ้วไหวตามสายลม รูปร่างบอบบาง

ส่วนของใบหน้าได้รับการแกะสลักอย่างประณีตราวกับมีชีวิต

หลังจากทุกคนเดินเข้ามาในห้องลับ ด้านหน้าของรูปปั้นหินมีภาพเงาของผู้หญิงปรากฏขึ้นหนึ่งร่าง

ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้คล้ายคลึงกับรูปปั้นหินมาก สวมชุดกระโปรงสีน้ำเงิน ใบหน้าสง่างาม

รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวหลิงเซียน

ถึงขั้นยังมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์และสง่างามแฝงอยู่หลายส่วน ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกยำเกรง

ร่างเงาลอยอยู่กลางอากาศ เหลือบมองมาทางเสิ่นเทียนและคนอื่นด้วยสายตาที่เฉยเมยแวบหนึ่ง

หลังจากที่เห็นเสิ่นเทียน ภาพเงาร่างนี้ราวกับหยุดชะงักไปสิบกว่าวินาที

นางเอ่ยปากกล่าวอย่างเชื่องช้า “ผู้มาสามารถผ่านประตูนี้มาได้ คิดว่าจิตของข้าคงดับสูญไปแล้ว”

“ข้าคือผู้ผู้อาวุโสเก้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก มีนามว่าผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง”

“ผู้มาเยือนใช้เลือดเปิดห้องหินถ้ำเซียน แสดงว่าจักต้องเป็นทายาทรุ่นหลังของเผ่าข้า”

“ก้าวออกมาโขกหัวคำนับ จักได้รับการสืบทอดจากข้า”

……

ภาพเงากล่าวแจ้งชื่อพรรคสำนักของตนเอง ทำให้ทุกคนตกใจจนพูดไม่ออกทันที

ผู้อาวุโสเก้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก?

สถานะนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!

แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็นับว่าจัดอยู่ในรายนามอันดับต้นๆ

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสเก้าของของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก สถานะอยู่ใต้เพียงเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์

สามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลระดับแนวหน้าสุดของดินแดนบูรพา

นึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเสี่ยวหลิงเซียนแวบหนึ่ง

คาดคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง

ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีเพียงนางสามารถเปิดประตูถ้ำเซียน

“พี่เสิ่น นางสั่งให้ข้าโขกหัวคำนับ”

เสี่ยวหลิงเซียนมองภาพเงา กล่าวถาม “ข้าควรจะทำตามหรือไม่”

เสิ่นเทียนยิ้มแล้วยิ้มอีก “ในเมื่อเป็นผู้อาวุโสของเผ่าเดียวกับเจ้า แสดงความเคารพต่อนางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เสี่ยวหลิงเซียนพยักหน้า เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้ารูปปั้นหินอย่างเชื่อฟัง

นางโขกหัวคำนับสามครั้งให้กับรูปปั้นหินผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง

ภาพเงาพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว ไม่เลว ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง”

“เด็กน้อย เจ้ามานี่”

เสี่ยวหลิงเซียนเดินเข้าใกล้ภาพเงาอย่างเชื่อฟัง

อีกฝ่ายเหลือบมองเสิ่นเทียนแวบหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วชี้ออกไปแตะกลางหว่างคิ้วของเสี่ยวหลิงเซียน

ทันใดนั้นภาพเงากลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนกระจายออก ถาโถมเข้าไปในร่างกายของเสี่ยวหลิงเซียน

เสียงของผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิงดังก้องอยู่ในห้องลับ

“เด็กรุ่นหลังจงจำไว้ให้ดี ข้าและผู้อาวุโสชื่ออวี่หยวนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพเมฆามีนัดประลองห้าร้อยปี

ปัจจุบันข้าถึงคราวดับสูญ แต่การนัดหมายไม่เป็นอันโมฆะ

ผู้ที่ได้รับการสืบทอดจากข้า ต้องกราบไหว้เป็นลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ในวันข้างหน้าท้าประลองสู้กับทายาทของผู้อาวุโสชื่ออวี่หยวน การต่อสู้ครั้งนี้แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!”

……

ทันทีที่สิ้นเสียง จุดแสงก็หายไปทั้งหมดด้วย

เสี่ยวหลิงเซียนลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ

ในขณะเดียวกัน วงรัศมีเหนือศีรษะของนางก็สว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

วงรัศมีสีแดงขนาดใหญ่ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอย่างร้อนแรง

ตรงขอบบางส่วนของวงรัศมีเต็มไปด้วยแสงสีทองล้อมรอบ ถึงขั้นดูสว่างไสวยิ่งกว่าวงรัศมีของฉินเกา

ส่วนร่างกายของเสิ่นเทียนก็เบาลงชั่วขณะ ราวกับกำลังจะล่องลอยเหมือนเทพเซียน

เห็นได้ชัด นี่เป็นการสืบทอดที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!

เห็นสายตาของเสิ่นเทียนจ้องตนเอง ใบหน้าของเสี่ยวหลิงเซียนแดงเล็กน้อย

นางรีบกล่าว “อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ข้าสองแขนง แขนงแรกเป็นทักษะลับค้นวิญญาณ ‘เคล็ดวิชามองลอดวิญญาณสวรรค์’ อีกแขนงหนึ่งคือ ‘คัมภีร์จักรพรรดิธารหยก’ เป็นวิชาก่อนระดับหลอมรวมเทพ

แต่ว่าต้องขอโทษพี่เสิ่นด้วย ตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ข้าได้พูดเอาไว้

‘เคล็ดวิชามองลอดวิญญาณสวรรค์’ เป็นโชคลิขิตที่อาจารย์ได้รับมา นางอนุญาตข้าถ่ายทอดให้ท่านส่วนหนึ่ง ขอเพียงพลังบำเพ็ญของข้าฝ่าทะลวงถึงระดับสร้างฐาน ก็จะสามารถฝึกบำเพ็ญวิชาแขนงนี้พร้อมกับท่าน

แต่ว่า ‘คัมภีร์จักรพรรดิธารหยก’ เป็นวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก จำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จึงจะสามารถฝึกบำเพ็ญ

นอกเสียจากท่านกลายเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ไม่เช่นนั้นข้าไม่สามารถถ่ายทอดให้ท่าน”

……

กลายเป็นคนของคัมภีร์จักรพรรดิธารหยก

แต่คัมภีร์จักรพรรดิธารหยกรับเฉพาะผู้หญิงไม่ใช่หรือ

ได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลิงเซียน เสิ่นเทียนจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง “ไม่เป็นไร”

ภาพเงาเมื่อกี้น่าจะเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิง

เสี่ยวหลิงเซียนเป็นทายาทรุ่นหลังของเผ่านาง ดังนั้นจึงสลายดวงจิตอนุเคราะห์เสี่ยวหลิงเซียน

ส่วนเสิ่นเทียนและคนอื่นไม่ใช่ลูกศิษย์ของคัมภีร์จักรพรรดิธารหยกด้วยซ้ำ

ไม่ว่าด้วยความสัมพันธ์หรือเหตุผล ย่อมไม่มีทางได้รับการถ่ายทอดมรดกสืบทอดของคัมภีร์จักรพรรดิธารหยก

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยโชคของเสิ่นเทียนในปัจจุบัน แม้ได้รับการถ่ายทอดคัมภีร์จักรพรรดิธารหยกก็ไม่กล้าฝึกบําเพ็ญ!

แค่ฝึกวิชาพื้นฐานของของระดับหลอมปราณยังถูกธาตุไฟเข้าแทรกถึงแปดสิบแปดครั้ง

หากฝึกบำเพ็ญคัมภีร์จักรพรรดิที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ร่างไม่ระเบิดเป็นดอกไม้ไฟหรอกหรือ

ยังคงยืนกรานคำเดิม…ศีรษะไม่เขียวห้ามฝึกลมปราณ!

……

เห็นเสิ่นเทียนไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ เสี่ยวหลิงเซียนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

จากนั้นนางหันไปมองเสิ่นเทียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

“พี่เสิ่น ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดท่านจึงช่วยผู้อื่นค้นวิญญาณประเมินแร่แล้ว”

เสิ่นเทียนอึ้งเล็กน้อย เจ้ารู้อีกแล้ว?

เขายิ้มแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ “หือ ลองพูดมาให้ฟังหน่อยซิ”

เสี่ยวหลิงเซียนกล่าวอย่างจริงจัง “ ‘เคล็ดวิชามองลอดวิญญาณสวรรค์’ เป็นทักษะค้นวิญญาณประเมินแร่ที่ลึกซึ้งแขนงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญสามารถควบแน่นดวงจิตให้กลายเป็นแสงม่านตา ตรวจสอบหินแร่วิญญาณ ผลบรรลุยิ่งสูงเท่าไร ความสามารถในการตรวจสอบหินแร่วิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น

แต่ช่วงต้นของวิชานี้มีการกำชับเป็นพิเศษ วิชาแขนงนี้จะใช้บ่อยไม่ได้เด็ดขาด”

บนใบหน้าของเสิ่นเทียนปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่ลึกลับ กล่าวถาม “หือ เพราะอะไรล่ะ”

เสี่ยวหลิงเซียนเข้าใจว่าเสิ่นเทียนกำลังทดสอบนาง จึงกล่าวอย่างหนักแน่น “เพราะในหินแร่วิญญาณมีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่!

หลังจากหินแร่วิญญาณผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนาน จะก่อเกิดพลังอัปมงคลขึ้น

พลังอัปมงคลเช่นนี้สามารถปนเปื้อนจิตวิญญาณ และปนเปื้อนเข้าสู่ในร่างกาย

การใช้ทักษะลับค้นวิญญาณตรวจสอบหินแร่วิญญาณ ย่อมต้องปนเปื้อนพลังอัปมงคล จำเป็นต้องใช้พลังจิตจำนวนมากในการขจัด”

เสี่ยวหลิงเซียนเริ่มกล่าวสาธยายส่วนสำคัญของ ‘เคล็ดวิชามองลอดวิญญาณสวรรค์’

“แต่ผู้ที่บรรลุทักษะลับค้นวิญญาณระดับสูง สามารถเรียนรู้วิธีลับบางอย่าง โดยใช้วิธีลับเหล่านี้มอบสิ่งของที่เปิดออกมาจากหินแร่วิญญาณให้ผู้อื่น

เมื่อแบ่งผลและกรรมให้กับผู้มีวาสนาเช่นนี้ แรงกดดันที่นักชีพจรวิญญาณแบกรับก็จะลดต่ำลงมาก ส่วนพลังอัปมงคลที่ติดตัวผู้มีวาสนาเหล่านั้นก็จะหายไปตามกาลเวลาทีละนิด

เมื่อเป็นเช่นนี้ นักชีพจรวิญญาณก็จะสามารถตรวจสอบหินแร่วิญญาณได้มากขึ้น และไม่ต้องคำสาปด้วย”

เสิ่นเทียนจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง แค่เปิดแผงลอยทำตัวลึกลับก็ถูกเข้าใจผิดได้?

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ทักษะลับค้นวิญญาณที่พูดถึงก็ไม่เท่าไร!

เสิ่นเทียนช่วยผู้อื่นค้นวิญญาณประเมินแร่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของอัปมงคล และมีอัตราสำเร็จร้อยต่อร้อย

เมื่อเทียบกันแล้ว ทักษะลับค้นวิญญาณที่พูดถึงแทบเทียบไม่ติด!

เสิ่นเทียนกล่าวถาม “ถ้าหากไม่สามารถขจัดพลังอัปมงคลได้ทันเวลา ผลจะเป็นอย่างไร?”

เสี่ยวหลิงเซียนกล่าว “หากไม่สามารถขจัดทันเวลา หรือถูกปนเปื้อนพลังอัปมงคลจำนวนมากในเวลาอันสั้น เช่นนั้นแล้วนักชีพจรวิญญาณอาจจะถูกพลังอัปมงคลกลืนกินอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้เลือดเนื้อเปลี่ยนเป็นหิน กลายเป็นรูปปั้นหินโดยสมบูรณ์”

กล่าวถึงตรงนี้ ราวกับเสี่ยวหลิงเซียนนึกอะไรขึ้นได้

นั่งหันไปมองรูปปั้นหินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ดังนั้นเป็นเพราะผู้อาวุโสเสินสุ่ยหลิงถูกพลังอัปมงคลกลืนกิน จึงกลายเป็นรูปปั้นหิน?

จากความทรงจำที่ได้รับการถ่ายทอด เสี่ยวหลิงเซียนรู้มาว่า

อาจารย์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพที่อยู่เหนือระดับดวงจิตดรุณ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าในช่วงกลางของหลอมรวมเทพ

บุคคลระดับนี้กลับกลับกลายเป็นรูปปั้นหินเพราะโดนพลังอัปมงคลกลืนกิน

แท้จริงแล้วสมัยนั้นนางไปสัมผัสสิ่งของต้องห้ามอะไรกันแน่!

นึกถึงตรงนี้ เสี่ยวหลิงเซียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนังศีรษะชา

และในตอนนั้นเอง ในห้องลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

พื้นแตกแยกออกจากกัน

…………………………………………….