ตอนที่ 59 ห้องพระคลังเคลื่อนที่

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 59 ห้องพระคลังเคลื่อนที่

ตลอดทาง เจียงป่าวชิงดูออกว่าป๋ายรุ่ยฮัวใจลอยอยู่เล็กน้อย ตอนที่พูดคุยกับนาง  ป๋ายรุ่ยฮัวเพียงพูดสั้น ๆ และก้มหน้าลงทั้งอย่างนั้น ซึ่งเจียงป่าวชิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่อมาถึงด้านนอกของกำแพงเมือง ป้าตู่ยังไม่วายใช้สายตาทิ่มแทงป๋ายรุ่ยฮัวอย่างโหดเหี้ยมอยู่เช่นเดิม จากนั้นนางถึงจะบิดเอวลงจากรถและจงใจพูดอวดให้คนที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินถ้วนทั่วกัน “ข้าจะไปบ้านลูกเขยข้า ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟังว่าบ้านที่ลูกเขยข้าพักอาศัยอยู่น่ะใหญ่โตโอ่อ่าอย่างมาก บางคนชีวิตหนึ่ง ๆ อาจจะไม่ได้เห็นเลยสักครั้ง”

นางยืดเอวและเดินจากไป

เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานลงจากรถ เดิมทีเจียงป่าวชิงอยากจะทักทายป๋ายรุ่ยฮัวสักนิด แต่กลับเห็นนางกอดเฟิ่งเอ๋อร์ไว้แน่น ขณะเดียวกันก็แบกถุงผ้าเล็ก ๆ ถุงนั้นและรีบเดินเข้าไปในเมืองอย่างรีบเร่ง ท่าทางของนางดูเหมือนกำลังหลบซ่อนอะไรบางอย่างอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงจึงต้องเข้าไปในเมืองกับพี่ชายแทน

บริเวณด่านเก็บค่าเดินทางเข้าเมือง พลทหารที่เฝ้าประตูเมืองรู้จักเจียงหยุนชานและรู้ว่าเจียงหยุนชานเป็นนักเรียนที่โรงเรียนในอำเภอ เขาจึงไม่เก็บเงินเจียงหยุนชานและเก็บเงินเจียงป่าวชิงเพียงหนึ่งสลึงเท่านั้นก่อนจะก็ปล่อยให้พวกเจียงป่าวชิงเข้าไปในเมือง

เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ นางทอดถอนใจเล็กน้อย เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ความรู้คือพละกำลัง พละกำลังนำพาเงินทองมาให้ และหากว่ายิ่งรอมากเท่าไหร่ ความรู้ก็จะนำพาเงินทองมาให้มากเท่านั้น

นี่ประหยัดค่าเข้าเมืองไปตั้งหนึ่งสลึงแน่ะ ก็เท่ากับว่าได้กำไรเลยน่ะสิ

เจียงป่าวชิงคิดอย่างมองโลกในแง่ดี นางกับเจียงหยุนชานเดินไปที่โรงเรียนด้วยกัน

ทว่าทั้งสองเพิ่งมาถึงตรงทางเข้า เจียงหยุนชานกลับหยุดฝีเท้าลง จากนั้นเขาก็เร่งเจียงป่าวชิงด้วยความกังวลเล็กน้อย “เอาล่ะป่าวชิง ข้าก็ใกล้จะถึงแล้ว เจ้ารีบไปดูเถอะว่าจะซื้ออะไรและอย่าพลาดเวลากลับไปที่หมู่บ้านในช่วงบ่ายล่ะ”

เจียงป่าวชิงมองเจียงหยุนชานนิ่ง ๆ ลมหายใจของเจียงหยุนชานหยุดชะงักไปเล็กน้อย แต่เขายังคงรักษาสีหน้าให้คงเดิม ไม่อย่างนั้น เขากลัวว่าเจียงป่าวชิงจะเห็นอะไรบางอย่างที่เขาพยายามเก็บงำเอาไว้

ผ่านไปสักครู่ เจียงป่าวชิงถึงจะยิ้มแย้มและพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “พี่ยังคงเข้าใจข้าเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นข้าไปซื้อของก่อนนะเจ้าคะ”

เจียงหยุนชานถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นเขาก็รีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “ได้ รีบไปเถอะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

เจียงป่าวชิงหมุนตัวกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในตอนที่หันหลังให้เจียงหยุนชานแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็จางลงอย่างรวดเร็ว  นางมั่นใจว่าเจียงหยุนชานมีเรื่องอะไรบางอย่างปิดบังอยู่ แต่นางเคารพการตัดสินใจของเจียงหยุนชาน

เจียงป่าวชิงกำหมัดแน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

เจียงหยุนชานยืนมองเจียงป่าวชิงเดินจากไปอยู่ตรงทางเข้า จนกระทั่งเงาของเจียงป่าวชิงหายไปจากจุดสิ้นสุดของถนนแล้ว ใจของเขาถึงจะผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง  เขามองไปในทิศทางของโรงเรียน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปที่โรงเรียนด้วยสีหน้าแน่วแน่

แต่ใครจะไปคิดว่าที่ตรงทางเข้าโรงเรียน เขาจะเจอกับกลุ่มคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดเข้าให้

คนเหล่านี้แต่งกายด้วยผ้าดิ้นเงินดิ้นทองซึ่งดูสูงส่งและร่ำรวยมาก ตรงกันข้ามกับเสื้อรอยปะที่ซักจนแทบจะขาวซีดของเจียงหยุนชาน มันดูเหมือนจะแตกต่างกันมากจริง ๆ

พวกเขายืนขวางอยู่ตรงทางเข้าโรงเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแป้น มีบางคนผิวปากและจงใจส่งเสียงตกใจออกมา “ไอ้โย! พวกเจ้าดูสิ ไหนบอกว่าเจ้าขอทานนี่ลาออกจากโรงเรียนไปแล้วไม่ใช่รึ ? ทำไมถึงยังมีหน้ากลับมาเรียนได้อีก ?”

จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะพรืดตามมา

เจียงหยุนชานเพียงอธิบายสั้น ๆ ว่า “ข้าไม่ได้ลาออก” เขาคิดจะเดินอ้อมคนพวกนี้ แต่คนที่เป็นหัวโจกกลับยื่นแขนมาขวางเจียงหยุนชานไว้เสียก่อน

คนที่เป็นหัวโจกคนนั้นเป็นชายหนุ่มร่ำรวย เขาเลิกหางตาขึ้นและแสดงความรังเกียจออกมาทางสีหน้า ท่าทางเช่นนี้ขาดก็แต่คำว่า ‘อันธพาล’ ประทับอยู่บนใบหน้าเขาเท่านั้น

เขาเอียงตามองและหัวเราะเยาะ “ไหน ? ให้ข้าดูหน่อยสิว่าเป็นใคร ? นี่ไม่ใช่ไอ้ขอทานเจียงที่ขึ้นชื่อว่าเรียนดีที่สุดหรอกรึ ? ไอ้โย! แม้แต่การสอบเซี่ยนชื่อก็ยังสอบไม่ผ่าน แล้วยังมีหน้ามาเรียนอีก จุ๊ ๆ ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าคงจะอับอายจนไม่กล้ามาเจอคุณครูแล้ว ที่ในอำเภอของเราถูกลดระดับของโรงเรียนลงก็เพราะมีคนจนที่ขอข้าวกินไปวัน ๆ อย่างเจ้ามาเรียน! หัดรู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรซะบ้าง รีบไสหัวกลับไปซะ และอย่ามาทำให้ที่ดินของโรงเรียนต้องแปดเปื้อนอีก”

พวกเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างกายเขาพากันหัวเราะและพูดขึ้นเสียงดัง “รีบไสหัวไป รีบไสหัวไปเลย!”

เจียงหยุนชานหน้าแดง ร่างกายอ่อนแอที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยรอยปะสั่นเทาเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ระงับอารมณ์ให้นิ่งลงได้ และทำเพียงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสั่นคลอน “หานอิงฉี หากพวกเจ้าไม่หลีกทาง ข้าจะเรียกคุณครูแล้วนะ”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘หานอิงฉี’ ถ่มน้ำลายใส่เจียงหยุนชาน “ไอ้ขอทานที่ขอข้าวกินไปวัน ๆ อย่างเจ้า อย่าบังอาจใช่คุณครูมาข่มข้า! พี่เขยข้าเป็นขุนนางอยู่ในอำเภอ เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรืออย่างไร ?!” พูดเสร็จเขาก็ผลักเจียงหยุนชานอย่างแรง ทำให้เจียงหยุนชานเกือบกลิ้งตกลงจากบนขั้นบันไดของโรงเรียน

“พวกเจ้ากำลังทำอะไร ?” จู่ ๆ ก็มีเสียงน่าเกรงขามดังขึ้น

หลังจากที่เจียงหยุนชานยืนนิ่งแล้ว เขาก็เช็ดหน้าตัวเองและทำความเคารพคนผู้นั้น “คุณครูขอรับ…”

คนผู้นั้นคือหวู่ซิ่วฉายที่ไปพูดกล่อมเจียงหยุนชานให้กลับมาเรียนหนังสือต่อเมื่อวานนี้

เมื่อหานอิงฉีเห็นหวู่ซิ่วฉายเดินตรงมาที่นี่ เขาก็ส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็เดินนำคนอื่น ๆ เข้าไปในโรงเรียนด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

หวู่ซิ่วฉายมองแผ่นหลังของคนพวกนี้พลางส่ายหน้าอย่างระอาและหันไปตบไหล่เจียงหยุนชานเบา ๆ “เจ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ”

เจียงหยุนชานหลับตาลง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ข้าทราบแล้วขอรับครูหวู่”

……

เจียงป่าวชิงไม่รู้เรื่องต่าง ๆ ในโรงเรียน หลังจากที่นางแยกจากพี่ชายแล้วก็ตรงไปที่ตลาดนัดทันที

อาจจะขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าจริง ๆ นั่นแล วันนี้เจียงป่าวชิงสวมใส่ชุดกระโปรงชุดใหม่ที่ทำให้นางดูเหมือนเด็กสาวงดงามคนหนึ่ง แม้ว่านางจะเข้าไปในร้านค้าเพื่อถามราคาเพียงอย่างเดียว ก็ไม่ถูกพวกพนักงานกลอกตาใส่และขับไล่ออกจากร้านเหมือนครั้งก่อน นี่ทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้น

เจียงป่าวชิงพึงพอใจมาก นางจำราคาพวกนี้ไว้ในใจ จากนั้นก็ทำการเปรียบเทียบและเลือกของจำพวกของดีราคาถูกมา

ทว่าตอนที่เจียงป่าวชิงเตรียมตัวเพื่อจะไปซื้อของ นางกลับถูกใครคนหนึ่งขวางไว้ตรงกลางถนนเสียก่อน

คนที่ขวางนางเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าจะอายุสิบห้าหรือสิบหกปีประมาณนั้น หน้าตานางมีความหยิ่งยโสอยู่เล็กน้อย และนางกำลังมองเจียงป่าวชิงเสมือนอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า “นี่! เจ้าซื้อชุดนี้มาจากที่ไหนรึ ?”

เจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็สังเกตฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าคนถามเป็นสาวใช้ ข้างหลังนางยังมีเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวสวยกว่านี้ยืนอยู่ ซึ่งหน้าตาไม่ได้สวยหรือขี้เหร่อะไร เพียงแต่นางแค่แต่งหน้าสวยเท่านั้นเอง บนศีรษะของนางมีหวีสีทองปักไว้ ทั้งยังใส่ตุ้มหูสีทองสวยงามไว้ข้างหู และบนข้อมือก็มีกำไลสีทองเช่นกัน นางดูเหมือนห้องพระคลังเคลื่อนที่อย่างไรอย่างนั้น

ในอำเภอเล็ก ๆ ที่ไม่อาจกล่าวได้ว่าร่ำรวยอะไรนี้ ที่ห้องพระคลังเคลื่อนที่คนนี้ยังกล้าเดินกรีดกรายไปตามท้องถนนได้นั้น สามารถอธิบายปัญหาได้สองข้อด้วยกันคือหนึ่ง หากว่าไม่ใช่การรักษาความปลอดภัยของอำเภอฉือเจียแห่งนี้ดีเป็นพิเศษ ก็แสดงว่าสถานะของเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

เมื่อสังเกตดูดี ๆ หน้าตาของห้องพระคลังเคลื่อนที่คนนี้เย่อหยิ่งกว่าสาวใช้ที่หยิ่งยโสคนนั้นเล็กน้อย เจียงป่าวชิงคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่นางจะเป็นทายาทของตระกูลใดสักตระกูล และในสังคมที่มีระบบลำดับชั้นที่เข้มงวดเช่นนี้ เจียงป่าวชิงก็ไม่คิดจะมีความขัดแย้งใด ๆ กับคนชั้นบนอยู่แล้ว

เพราะคนชนชั้นล่างไม่มีสิทธิมนุษยชนที่จะพูดคุยกับพวกนาง

ท่าทางของเจียงป่าวชิงอ่อนโยนมาก “ไม่ได้ซื้อ ข้าทำเองเจ้าค่ะ”

สาวใช้ที่เป็นคนถามสังเกตเจียงป่าวชิงด้วยความสงสัย “หืม ? เจ้าทำเองอย่างนั้นรึ ?”

ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะอายุสิบสามขวบ แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้นางกินอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอมาเป็นเวลานาน จึงดูผอมกว่าเด็กรุ่นเดียวกันเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ครอบครัวข้านั้นยากจน ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าจึงต้องทำเอง”

สาวใช้มองเจียงป่าวชิงอย่างรังเกียจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เดินกลับไปพูดกับห้องพระคลังเคลื่อนที่สองสามคำ

ห้องพระคลังเคลื่อนที่มองเจียงป่าวชิงด้วยท่าทางเย่อหยิ่งระคนรังเกียจและนางเบะปาก