ตอนที่ 58-3 องค์หญิงหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์

ชายาเคียงหทัย

อยู่ดีๆ ท่านหญิงหรงหวาที่นั่งอยู่ข้างองค์หญิงเจาหยางก็เลิกคิ้วขึ้นหัวเราะ แล้วถามว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดอะไรที่ทำให้พระชายาติ้งอ๋องเห็นด้วยหรือ” 

 

 

           เยี่ยหลีถอนใจน้อยๆ “ข้าเสียมารยาทเช่นนี้ ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องและท่านอ๋องต้องเสียหน้า ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องอาจเขียนจดหมายหย่าขาดให้ข้าก็เป็นได้ ตำแหน่งพระชายาติ้งอ๋องนี้อาจต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว” 

 

 

           ฮองเฮาร้องขึ้นเสียงเบา “ไร้สาระ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ติ้งอ๋องจะไร้เหตุผลเช่นนั้นได้อย่างไร” 

 

 

           ม่อซิวเหยาที่นั่งดูละครเฉยอยู่ พยักหน้ารับด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ฮองเฮากล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แล้วหันไปยิ้มกับเยี่ยหลี “อาหลีวางใจเถิด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าก็คือชายาเอกแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่แต่งงานเข้ามาอย่างมีเกียรติ ใครที่กล้าสงสัยในตัวอาหลีก็ถือว่าสงสัยในตำหนักติ้งอ๋องของข้า!”  

 

 

องค์หญิงเจาหยางยิ้มตาม “ซิวเหยาพูดเช่นนี้ถูกแล้ว ใครที่กล้าสงสัยในตัวชายาติ้งอ๋องจะถือว่าไม่ถูกกับข้า ชายาติ้งอ๋องวางใจเถิด เรื่องวันนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจ้าถูกรังแก” 

 

 

           “ท่านอ๋อง พระชายา น้องข้าไม่รู้ความทำให้เข้าใจพระชายาผิดไป ข้าน้อยต้องขอโทษแทนนางด้วย ขอพระชายาได้โปรดให้อภัย” 

 

 

           เยี่ยหลีหลุบตาลงไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแสดงสีหน้าว่าให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินเท่านั้น 

 

 

           ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ซื่อจื่อ เรื่องการขอโทษนี้ให้เจ้าตัวเป็นคนพูดเองดูจะจริงใจเสียกว่า ท่านว่า ถูกหรือไม่”  

 

 

เหลยเถิงเฟิงอึ้งไปถนัด ม่อซิวเหยาต้องการให้หลิงอวิ๋นเอ่ยขอโทษด้วยตนเองเช่นนี้ เท่ากับเป็นการตบหน้าหลิงอวิ๋นชัดๆ เรียกได้ว่าไม่ยอมไว้หน้ากันเลย เหลยเถิงเฟิงหันมองเยี่ยหลีเหมือนคิดอะไรอยู่ “หลิงอวิ๋นอายุยังน้อย เป็นเพราะข้าที่เป็นพี่ใหญ่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนให้ดี จึงควรเป็นข้าน้อยที่เป็นคนขอโทษ”  

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นซื่อจื่อควรที่จะสอนองค์หญิงให้ทำผิดต้องยอมรับผิด แล้วยังเรื่องจะรับผิดชอบผลของการกระทำของตนอย่างไร เรื่องวันนี้…ข้าสามารถมองว่าแคว้นซีหลิงต้องการที่จะยั่วยุตำหนักติ้งอ๋องได้หรือไม่” เมื่อองค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกคนที่ตนมีใจให้มาตลอดต่อว่าต่อหน้าเช่นนี้ จึงตาแดงขึ้นอย่างน่าสงสาร 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงใจเต้นขึ้นทันที หากเขารู้ว่าท่าทีของม่อซิวเหยาจะแข็งกร้าวเช่นนี้ เขาจะบังคับให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นยอมขอโทษเสียตั้งแต่ทีแรก เสียหน้าอย่างไรก็ดีกว่าเสียชีวิต! อย่างไรหลิงอวิ๋นก็ต้องอยู่ที่ต้าฉู่นี่ หากนางไปล่วงเกินม่อซิวเหยาเข้า ตอนที่ตนยังอยู่ต้าฉู่ก็ยังคงพอช่วยนางได้บ้าง แต่หากเขาไปแล้วเกรงว่าแม้แต่นางตายไปอย่างไรก็คงไม่รู้ เรื่องวันนี้เหลยเถิงเฟิงเชื่อว่าหลิงอวิ๋นต้องการจะหาเรื่องชายาติ้งอ๋อง แต่หากจะว่าชายาติ้งอ๋องคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด เหลยเถิงเฟิงไม่เชื่ออย่างแน่นอน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือม่อซิวเหยาพูดเสียจนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างแคว้นซีหลิงกับตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ตอนนี้ม่อซิวเหยาจะพิการ แต่พลังอำนาจของตำหนักติ้งอ๋อง สามารถทำให้สีของใต้หล้าเปลี่ยนไป จนแม้แต่สีของเมฆดำก็ยังไม่เหลือได้เลยทีเดียว หากท่าทีของม่อซิวเหยาอ่อนข้อกว่านี้สักหน่อยยังพอว่า แต่นี้ม่อซิวเหยากลับแข็งกร้าวเช่นนี้ทำให้เขาถึงกับขนพองสยองเกล้า แคว้นซีหลิงยังไม่ต้องการสงครามในตอนนี้ 

 

 

           “หลิงอวิ๋น! ขอโทษพระชายาติ้งอ๋องเสีย!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นในทันที 

 

 

           “อะไรนะ จะให้ข้าขอโทษนาง!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงแหลมขึ้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขมวดคิ้ว แม้แต่ท่านหญิงหรงหวายังอดเบ้ปากอย่างเย้ยหยันไม่ได้ ต่อให้นางได้ชื่อว่าเป็นท่านหญิงที่ทะนงตนที่สุดในเมืองหลวง แต่คงไม่เสียมารยาทในสถานการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน องค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิงได้รับการเลี้ยงดูมาเช่นไรคงต้องพิจารณากันใหม่เสียแล้ว 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธแค้น “เหตุใดข้าจะต้องขอโทษนางด้วย ข้าเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งซีหลิง ให้ข้าขอโทษนาง นางควรได้รับหรือ” 

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ที่องค์หญิงไม่ยอมขอโทษเพราะดูถูกฐานะข้าเช่นนั้นหรือ” 

 

 

           “เจ้ามีอะไรให้ข้าต้องชื่นชมล่ะ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง พร้อมปรายตามองเยี่ยหลี หลายวันนี้นางสืบเรื่องเยี่ยหลีมาหมดแล้ว ก็แค่คุณหนูจวนเจ้ากรมคนหนึ่งที่ถูกมองข้ามมาหลายปี ทั้งยังเป็นคุณหนูผู้โด่งดังเรื่องไร้คุณสมบัติทั้งสามของเมืองหลวง ไร้ซึ่งความสามารถ คุณธรรม และความงดงาม แม้แต่หลีอ๋องยังอดทนรับชื่อเสียงของนางไม่ได้จนต้องทิ้งนางไป นางก็เพียงโชคดีหน่อยที่ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้กับติ้งอ๋อง ส่วนเรื่องที่นางเป็นผู้ชนะในงานบุปผานานาพรรณนั้น สำหรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้วเรื่องนั้นไม่คู่ควรที่จะต้องใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เยี่ยหลีก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น 

 

 

           นัยน์ตาเยี่ยหลีมีประกายเย็นเยียบ ได้แต่เอ่ยปลอบตนเองในใจไม่หยุดว่า นางยังเด็ก อย่าได้ไปทำตัวเช่นเดียวกับนาง…ช่างเรื่องนางยังเด็กเถิด! เด็กคนนี้ขาดการอบรมยิ่งนัก หากยังอยู่ในหน่วยทหาร คนที่ไม่รู้จักอะไรควรไม่ควรเช่นนี้คงถูกนางถลกหนังไปแล้ว “เช่นนี้…องค์หญิงดูถูกข้าหรือดูถูกฐานะชายาแห่งตำหนักติ้งอ๋องกันหรือ” เยี่ยหลีถาม 

 

 

           “เจ้าไม่คู่ควรกับฐานะชายาติ้งอ๋องแต่แรกแล้ว!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นตะโกนขึ้น เยี่ยหลียกมุมปากขึ้น มององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทุกคนต่างนึกชื่นชมนางว่าเป็นคนใจเย็นและควบคุมตนเองได้ดี “เช่นนั้นองค์หญิงเห็นว่าใครที่เหมาะกับฐานะชายาติ้งอ๋องหรือ” หากเจ้ากล้าพูดว่าหญิงคนนั้นเป็นตนเอง…ข้าก็จะยอมให้เจ้าเลย 

 

 

           องค์หญิงหลิงอวิ๋นสะอึกไป รีบหันมองม่อซิวเหยาอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่เป็นความชื่นชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ม่อซิวเหยากำลังยิ้มน้อยๆ มองชายาที่นั่งอยู่ข้างกายตน โดยไม่แม้แต่จะสนใจสายตาตัดพ้อขององค์หญิงหลิงอวิ๋น ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะประกาศต่อหน้าเยี่ยหลีว่า ตนมีเป้าหมายที่ตำแหน่งชายาติ้งอ๋อง แต่ก็ยังไม่มีหน้าพอที่จะเอ่ยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ว่ามีเพียงตนที่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง ขณะที่เยี่ยหลีนึกแปลกใจกับสีหน้าเจ็บปวดของนางมาก เด็กสาวคนนี้ไม่เคยพบม่อซิวเหยามาก่อน เพียงแค่การพบหน้ากันครั้งแรกกลับแสดงความรู้สึกได้อย่าง…ลึกซึ้งเช่นนี้…หากเป็นเมื่อแปดปีก่อนยังพอจะบอกได้ว่าเป็นรักแรกพบ แต่ม่อซิวเหยาในตอนนี้ดูจะขาดคุณสมบัติที่ทำให้คนเกิดรักแรกพบต่อเขาได้อย่างสิ้นเชิง การเทิดทูนวีรบุรุษจะทำให้เด็กสาวคนหนึ่งลุ่มหลงได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ควรที่จะเทิดทูนวีรบุรุษแห่งแคว้นตนเองเสียมากกว่ากระมัง 

 

 

           หรือว่าองค์หญิงท่านนี้เป็นคนไม่มีเขตแคว้น 

 

 

           “หากเป็นเมื่อก่อน องค์หญิงจะดูถูกข้าก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ตอนนี้…ข้ามิอาจทำให้บรรพบุรุษแห่งตำหนักติ้งอ๋องต้องขายหน้าเพราะข้าได้” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมจ้องหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋น  

 

 

องค์หญิงหลิงอวิ๋นยังคงพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “ข้าจะไม่มีทางขอโทษคนที่สู้ข้าไม่ได้เป็นอันขาด!”  

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ก่อนหน้านี้องค์หญิงจะบังคับให้ข้าประลองกระบี่ ข้าได้ปฏิเสธไป เช่นนั้นพวกเรามาประลองกันตอนนี้อีกทีดีหรือไม่ หากข้าแพ้ เรื่องในวันนี้…ก็ให้ถือเสียว่าเป็นข้าที่ผลักองค์หญิง ยินดีให้องค์หญิงลงโทษข้าได้ตามสบาย แต่หากองค์หญิงแพ้…” 

 

 

           “ไม่มีทาง!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางแพ้เจ้า!” 

 

 

           เยี่ยหลีไม่สนใจนาง กลับพูดต่อว่า “ข้าต้องการให้องค์หญิงคุกเข่าขอโทษข้าต่อหน้าขุนนางและฮูหยินทุกท่านในงานเลี้ยง” 

 

 

           “เจ้า! ได้ ข้ารับปาก” เหลยเถิงเฟิงยังไม่ทันได้เอ่ยทัดทาน หลิงอวิ๋นก็พูดเสียงดังขึ้นเสียแล้ว “หากเจ้าแพ้ข้าต้องการให้เจ้าคำนับสามครั้งกราบเก้าครั้งตั้งแต่หน้าประตูวังไปจนถึงจุดที่คนคึกคักที่สุดในเมืองหลวง จากนั้นยอมรับต่อหน้าทุกคนว่า เจ้าไม่เหมาะสมจะเป็นชายาติ้งอ๋อง!” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ “คำไหนคำนั้น” 

 

 

           “ช้าก่อน!” องค์หญิงเจาหยางลุกยืนขึ้น “ข้าจำได้ว่าชายาติ้งอ๋องไม่เป็นเพลงกระบี่” 

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “องค์หญิงพูดถูกแล้วเพคะ ดังนั้นพวกเราจึงจะไม่ประลองกระบี่ แต่จะประลองธนู ข้าเชื่อว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นคงยิงธนูเป็นเป็นแน่ใช่หรือไม่” 

 

 

           “ห๊ะ! เจ้าจะแข่งยิงธนูกับข้า!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเหมือนได้ฟังเรื่องตลก มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าดูหมิ่นก่อนหัวเราะออกมา “ข้าเรียนยิงธนูตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ สิบขวบข้าก็ยิงเข้าเป้าได้ทุกดอก เจ้า…ง้างธนูไหวหรือ” 

 

 

           เยี่ยหลียิ้มอย่างสุภาพ “ความหมายขององค์หญิงคือจะไม่ประลองแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

           “ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักประเมินความสามารถตนเองเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามใจเจ้าก็แล้วกัน เจ้าว่ามาเลย จะประลองอย่างไร” 

 

 

           เยี่ยหลียิ้มด้วยความพอใจ ลุกยืนขึ้นเอ่ยกับม่อจิ่งฉีและฮองเฮาว่า “เช่นนั้น ขอรบกวนให้ฝ่าบาทและฮองเฮาช่วยเป็นพยานด้วย”  

 

 

ม่อจิ่งฉีถามนางว่า “ชายาติ้งอ๋อง เจ้าตัดสินใจแน่แล้วหรือ ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนนะ”  

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ขอฝ่าบาทได้โปรดอนุญาตด้วยเถิดเพคะ เกียรติของตำหนักติ้งอ๋องไม่ควรถูกเหยียบย่ำเช่นนี้” 

 

 

           ม่อจิ่งฉีสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ได้ ข้าอนุญาต” 

 

 

           เยี่ยหลีโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อม “เป็นพระกรุณาของเยี่ยหลีที่ฝ่าบาททรงอนุญาตเพคะ” จากนั้นจึงได้หันไปยิ้มให้องค์หญิงหลิงอวิ๋น “องค์หญิง เชิญ” 

 

 

           “เหอะ!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นหมุนตัวเดินออกไปจากตำหนักก่อน เยี่ยหลียิ้มอย่างอ่อนหวานและเยือกเย็น แล้วค่อยๆ เดินตามออกไป 

 

 

           เหลยเถิงเฟิงที่เดินตามมาข้างหลังมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงและแน่วแน่ของหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้เหตุใดในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก