ตอนที่ 119 จีตั้นปิ่ง / ตอนที่ 120 ไม่เกรงใจ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 119 จีตั้นปิ่ง

เมิ่งหนานมองเหม่อ พลางชี้ไปที่องครักษ์จินที่ปากมันแผล่บ “จะ…เจ้า…”

องครักษ์จินหัวเราะซื่อ “คุณชาย คราวนี้หมดแล้วจริงๆ…”

ทันใดนั้นในครัวพลันมีกลิ่นหอมยั่วยวนใจโชยออกมาอีกครั้ง หอมยิ่งนัก จนกระทั่งเขาดมไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไร

ราวกับว่าถูกหนอนตะกละควบคุมจิตใจ เขายัดถ้วยเปล่าในมือใส่มือขององครักษ์จิน ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปในครัว

อีกฝ่ายรีบตามไปขวาง “คุณชาย สถานที่เช่นห้องครัวนั้น ด้วยฐานะของท่านเช่นนี้ จะเข้าไปไม่ได้นะขอรับ”

เมิ่งหนานไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง มุ่งหน้าเข้าไปในห้องครัว เขาเห็นไป๋จื่อนำแผ่นแป้งทรงกลมสีเหลืองอร่ามแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากในกระทะ แล้ววางลงในจาน

ไป๋จื่อได้ยินเสียงฝีเท้า คิดว่าเป็นองครักษ์จิน จึงกล่าวโดยที่ไม่ได้หันกลับไปว่า “เติมฟืนเจ้าค่ะ ไฟอ่อนแล้ว”

เมิ่งหนานตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วไปถึงหน้าเตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เก็บฟืนสองท่อนจากบนพื้นโยนเข้าไปในเตา

คราวนี้ไป๋จื่อถึงจะพบว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่องครักษ์จิน แต่เป็นเมิ่งหนาน

นางยิ้มกล่าว “ที่แท้เป็นใต้เท้าเมิ่ง ข้าว่าใต้เท้าเมิ่งคงจะไม่เคยเข้าครัวกระมัง”

เมิ่งหนานโยนฟืนอีกท่อนหนึ่งเข้าไปในเตา ก่อนจะผุดลุกขึ้นปัดเขม่าบนมือ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเด็กๆ ข้าเคยโดนท่านพ่อทำโทษให้เอาหน้าชิดกำแพง หากหิวกลางดึกก็จะเข้าไปหาของกินในห้องครัว”

มือที่กวนผงแป้งของนางหยุดชะงัก นึกถึงชาติก่อนของตนเอง บ้านเด็กกำพร้าแรกหลังจากถูกพ่อแม่ทิ้งไป ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา มีอยู่ช่วงหนึ่งนางแทบจะไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องในทุกวัน ตกดึกหิวจนนอนไม่หลับ ก็เคยแอบเข้าไปหาของกินในครัวเช่นกัน

ครั้นถูกเจ้าของบ้านเด็กกำพร้าจับได้ นางจะถูกตีอย่างหนักเสียยกหนึ่ง จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่านางจะหิวสักเพียงใด ก็ไม่กล้าเข้าไปหาของกินในครัวอีก

เด็กสาวเก็บความรู้สึกเจ็บปวดในดวงตาไป แล้วช้อนสายตามองเมิ่งหนาน ยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้ใต้เท้าเมิ่งก็มีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน”

นางเทแป้งในชามลงไปในกระทะทีละน้อย แป้งไหลจากบนขอบกระทะสู่ด้านล่าง ครั้นถึงก้นแล้ว ก็จะเป็นจีตั้นปิ่งทรงกลมพอดิบพอดี

เมิ่งหนานมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่คืออะไรหรือ”

ไป๋จื่อนำแป้งไข่ไก่ขึ้นจากกระทะ วางใส่ในจาน พลางกล่าวเสียงเรียบ “นี่คือจีตั้นปิ่งเจ้าค่ะ เป็นสิ่งที่คนยากจนกินกัน”

“สิ่งของที่คนจนอย่างเจ้ากิน ดูแล้วน่าจะรสชาติดีกว่าสิ่งที่คนมีเงินอย่างพวกข้ากินเสียอีก” เมิ่งหนานยิ้ม

เด็กสาวเห็นเขาทำหน้าตะกละ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่าทางใต้เท้าเมิ่งจะรอไม่ไหวแล้ว ข้าจะม้วนให้ท่านแผ่นหนึ่งแล้วกันเจ้าค่ะ”

นางหยิบจีตั้นปิ่งมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะเติมหมูผักพริกที่เพิ่งผัดเสร็จลงไปด้านบนเล็กน้อย จากนั้นก็ม้วนแผ่นแป้ง สุดท้ายนางก็ส่งไปตรงหน้าของเมิ่งหนานพร้อมกับจาน “ลองชิมดูสิเจ้าคะ”

เมิ่งหนานรีบรับไป แป้งม้วนอาหาร เขาไม่เคนเห็นวิธีการกินเช่นนี้มาก่อนเลย

องครักษ์จินที่อยู่ข้างๆ เห็นเข้าก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง อยากให้ไป๋จื่อช่วยเขาม้วนสักแผ่นเช่นกัน ทว่าครั้นเห็นนางกำลังยุ่งอยู่ จึงลำบากใจที่จะเอ่ยปาก ได้แต่หยิบจานให้ตนเองหนึ่งใบ เลียนแบบท่าทางของนาง นำจีตั้นปิ่งมา แล้ววางหมูผัดพริกไว้ด้านบนเล็กน้อย เมื่อม้วนขึ้นมาก็เป็นอันเสร็จสิ้น

เขาแอบภูมิใจ ดูไปแล้วก็ง่ายทีเดียว

ขณะกำลังจะกิน เขากลับเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมา ฉวยจานในมือของเขาไป ก่อนที่มือของเขาจะกลับมาหนักอึ้งในทันที จานกลับมาแล้ว แต่กลับเป็นเพียงจานเปล่า…

“คุณชาย ข้าก็หิวมากเช่นกัน…” เขากล่าวหน้าง้ำ

เมิ่งหนานไม่สนใจเขา ยกแป้งม้วนออกไปแล้ว ส่วนไป๋จื่อเริ่มทำอาหารอย่างอื่น นางทำจีตั้นปิ่งทั้งหมดสองแผ่นเท่านั้น เขาไม่ได้ชิมแม้กระทั่งรสชาติเลยด้วยซ้ำ…

“แม่นางไป๋ ทำแป้งไข่ไก่อีกแผ่นได้หรือไม่”

“แป้งหมดแล้วเจ้าค่ะ ครั้งหน้าเถิด”

“…”

……….

ตอนที่ 120 ไม่เกรงใจ

หกคนอยู่ที่โต๊ะ กับข้าวห้าอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง น้ำแกงซี่โครงหมูและข้าวโพดก่อนหน้านี้หมดเกลี้ยงแล้ว นางจึงต้มน้ำแกงไข่มาทดแทน

ผลสุดท้าย อาหารรวมถึงน้ำแกงไข่บนโต๊ะ นางนับรวมดูแล้วกินไปไม่ถึงห้าคำ ก็ถูกเมิ่งหนาน หูเฟิง และองครักษ์จินสามคนเก็บกวาดจนเกลี้ยง ราวกับว่าเป็นผีสางที่อดอยาก

ในจานเหลือปลาผัดชิ้นสุดท้าย องครักษ์จินแย่งคีบขึ้นมา คิดอย่างชื่นมื่นว่าจะใส่เข้าไปในถ้วยของตนเอง

ทว่าเมิ่งหนานกลับกระแอมเสียงหนึ่ง พลางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “จินเสี่ยวอัน เจ้ายังกินไม่อิ่มหรือ”

จินเสี่ยวอันพลันห่อไหล่ ยิ้มแห้งๆ “กะ กินอิ่มแล้วขอรับ ข้าจะให้…” เขายังพูดไม่ทันจบ ถ้วยของหูเฟิงก็ยื่นเข้ามา ตะเกียบในมืออีกข้างหนึ่งเคาะหลังมือของเขาเบาๆ องครักษ์จินพลันมือชา ปลาที่คีบไว้โดยตะเกียบร่วงลงใส่ถ้วยของหูเฟิง ‘พอดี’

“ขอบคุณ!” หูเฟิงนำถ้วยวางตรงหน้าตนเอง ตาไม่มององครักษ์จินเลย เพียงขอบคุณเท่านั้น ทั้งยังส่งกลิ่นอายเย็นชาและห่างเหินสายหนึ่งออกมาด้วย

องครักษ์จินมึนงงเล็กน้อย เนื้อที่กำลังจะเข้าปาก ลอยหายไปเช่นนี้หรือ

เมิ่งหนานถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะวางตะเกียบในมือลง จานบนโต๊ะสะอาดสะอ้านทั้งสิ้น เขายังอยากกินอีก ทว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว

ใครใช้ให้เขาหัวช้า ทั้งยังมีท่าทางเฉื่อยชาเล่า

ไป๋จื่อกลืนข้าวในปากอย่างรวดเร็ว นางวางตะเกียบลงเช่นกัน ก่อนจะผุดลุกขึ้นไปหยิบถ่านไม้ก้อนหนึ่งที่หลังครัวมา แล้วจึงฉีกผ้าเก่าที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่มาชิ้นหนึ่ง เพื่อเขียนใบสั่งยารักษาใบหน้าเปื่อยเน่าของเมิ่งหนาน

“ใต้เท้าเมิ่ง ในบ้านไม่มีพู่กันและกระดาษ ใต้เท้ารับสิ่งนี้ไปแล้วกันเจ้าค่ะ”

เมิ่งหนานรับชิ้นผ้าที่ไป๋จื่อส่งมาให้ เขามองตัวหนังสือบนนั้นอย่างละเอียด ลายมือชัดเจน นับได้เพียงว่าชัดเจนนัก

เขาพับชิ้นผ้าอย่างดี แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ “ฝีมือทำอาหารของแม่นางไปยอดเยี่ยมนัก ความจริงแล้วข้าก็เคยกินของอร่อยมาไม่น้อย แต่อาหารที่แม่นางไป๋ กลับดีที่สุดที่ข้าเคยกิน”

ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “หากใต้เท้าชอบกิน วันหน้าหากมีเวลาว่าง ก็มาได้อีกนะเจ้าคะ”

เมิ่งหนานตาเป็นประกาย รีบพยักหน้า “เช่นนั้นก็ขอรับน้ำใจ ข้ากำลังกังวลว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสได้กินอาหารที่แม่นางไป๋ทำแล้ว ในเมื่อแม่นางไป๋มีน้ำใจเชื้อเชิญ เช่นนั้นก็ขอน้อมรับไว้”

มีน้ำใจเชื้อเชิญ นางจำไม่ได้ว่าตนเองมีน้ำใจเชื้อเชิญตอนไหน เพียงแค่เกรงใจเท่านั้น…เขาช่างไม่เกรงใจเอาเสียเลย

บัดนี้หูเฟิงกินปลาและข้าวในถ้วยหมดแล้ว เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปากอย่างตั้งใจ ครั้นได้ยินบทสนทนาของไป๋จื่อและเมิ่งหนาน จู่ๆ เขาก็พูดแทรกขึ้นว่า “หากท่านจะมากินข้าว จำไว้ว่าต้องซื้อผักมาด้วย บนโลกนี้ไม่มีอาหารที่กินได้โดยไม่ต้องเสียอะไรหรอกนะ”

เมิ่งหนานตะลึงงัน คำพูดสุดท้ายที่หูเฟิงพูดกับเขาช่าง…

ไป๋จื่อและหูจ่างหลินส่งเมิ่งหนานและองครักษ์จินไป พวกนางมองรถม้าที่งดงามเหมาะสม แล้วมองม้าที่องครักษ์จินจูงอยู่ จู่ๆ ไป๋จื่อก็กล่าวว่า “ใต้เท้าเมิ่ง ท่านให้องครักษ์จินนั่งรถม้ากลับไปได้หรือไม่”

“ทำไมหรือ” เมิ่งหนานไม่เข้าใจ

เด็กสาวชี้ม้าขององครักษ์จิน “ม้าตัวนี้ขายให้ข้าได้หรือไม่ ถึงแม้จะไม่มีม้าตัวนี้ พวกท่านก็กลับไปได้ กลับไปแล้วค่อยซื้ออีกสักตัว ส่วนม้าตัวนี้ขายให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ”

เมิ่งหนานยิ้มถาม “เจ้าอยากได้ม้าหรือ เอาไปทำอะไร”

ไป๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้ข้านั่งรถเทียมวัวไปที่ศาลาว่าการ ฟ้าเพิ่งสว่างก็ต้องออกเดินทางจากหมู่บ้านแล้ว ตอนนั้นเพิ่งยามเหม่าเท่านั้น แต่ตอนที่ข้าเร่งจากหมู่บ้านหวงถัวไปถึงจวนว่าการ กลับเป็นยามซื่อแล้ว รถเทียมวัวชักช้าและเสียเวลานัก ข้าจึงอยากซื้อม้าสักตัว แล้วค่อยขอให้ใครสักคนทำรถ วันหลังเข้าเมืองจะได้สบายขึ้นหน่อย”