เล่ม 1 ตอนที่ 43 ตัวตนที่แท้จริงของเขา

สลับชะตา ชายามือสังหาร

พอกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เตรียมตัวจะออกไปอีกแล้ว

“เจ้าจะไปไหนหรือ” อูหลิงอวี่เอ่ยปากถามขึ้นในทันใด

“ในเทือกเขาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ

“ข้าอยากไปกับเจ้าด้วย” อูหลิงอวี่เอ่ยปากพูดออกมาทันควัน

“อะไรนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาอย่างประหลาดใจ

คำพูดของอูหลิงอวี่ทำให้คนทั้งสองชะงักไปชั่วครู่ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้

“ในเมื่อระยะนี้เจ้าเป็นของข้า ดังนั้นข้าย่อมอยากรู้อยู่แล้วว่าเจ้าออกไปทำอะไรข้างนอกกันแน่” อูหลิงอวี่พูดพลางพยักหน้า ไม่รู้ว่าพูดประโยคนี้กับซือหม่าโยวเย่ว์ หรือว่าใช้เพื่อหลอกตัวเองกันแน่

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของอูหลิงอวี่แล้วพูดว่า “รอยยิ้มของท่านช่างจอมปลอมยิ่งนัก อย่ายิ้มเลยจะดีกว่า”

อูหลิงอวี่ลูบคางตนเองพลางเอ่ยว่า “ผู้อื่นล้วนบอกว่ารอยยิ้มของข้ามีรัศมีอันน่าศรัทธาชนิดหนึ่ง ซึ่งนำความอบอุ่นและความหวังมาสู่พวกเขา”

“คนพวกนั้นต้องตาบอดไปแล้วเป็นแน่”  ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“หึๆ…” อูหลิงอวี่หัวเราะสองเสียงแล้วไม่เสแสร้งอีกต่อไป กลิ่นอายบนร่างพลันแปรเปลี่ยนในทันใด

รอยยิ้มอันน่าศรัทธากลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย แววตาใสบริสุทธิ์กลายเป็นทรงเสน่ห์ร้ายกาจ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายไปทั้งร่าง

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นตัวจริงของท่านกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองดูคนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

ก่อนหน้านี้เจ้าคนผู้นี้ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนน่าศรัทธาหาใดเปรียบคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้กลับแผ่กลิ่นอายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ความแตกต่างนี้…มหาศาลนัก!

ถ้าหากไม่ได้เห็นเองกับตา เธอย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอนว่านี่คือคนคนเดียวกัน

“ตอนนี้เจ้าคงจะพาข้าไปด้วยได้แล้วสินะ” อูหลิงอวี่ถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัยอยู่ตลอดว่าถ้าหากตนพาเขาไปด้วย เขาก็อาจจะล่วงรู้เรื่องที่ตนทำพันธสัญญากับย่ากวงแล้วเข้าก็เป็นได้

“เจ้าวางใจเถิด ข้าเห็นอะไรก็ไม่มีทางพูดออกไปหรอกน่า” อูหลิงอวี่พูด “เพราะว่านี่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าพูดเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ สัญชาตญาณบอกเธอว่าเขาไม่ได้โกหก จึงพูดว่า “เช่นนั้นท่านก็มาเถิด แต่ว่าพอท่านไปด้วยแล้วข้าก็ไม่มีเวลามาคอยดูแลท่านหรอกนะ”

“ไม่เป็นไร” อูหลิงอวี่แย้มยิ้ม ด้วยพลังยุทธ์อันต่ำต้อยเพียงเท่านี้ หากนางคิดจะปกป้องเขา ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยจริงๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์นำทางเขาออกไปข้างนอกแล้วเรียกย่ากวงออกมา ก่อนที่ตนเองจะขึ้นนั่งบนหลังของมันแล้วหันหน้าไปมองอูหลิงอวี่พลางเอ่ยว่า “ขึ้นมาสิ”

อูหลิงอวี่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะยังมีสัตว์อสูรทิพย์ที่ทำพันธสัญญากันอยู่อีกตนหนึ่งด้วย

พลังยุทธ์อย่างนาง มิใช่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้เพียงแค่ตนเดียวหรอกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพโบราณสักตนนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังมากกว่าอย่างมหาศาล ในสถานการณ์เช่นนี้นางยังทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้อีกด้วย ดูท่าทางพลังจิตของนางจะต้องแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเขายืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้อื่น จึงเอ่ยว่า “ถ้าหากท่านไม่อยากขึ้นมาละก็ เช่นนั้นก็กลับไปเสียเถิด”

พูดจบแล้วเธอก็แย้มยิ้มขึ้นมา

ในขณะที่เธอเตรียมจะให้ย่ากวงเดินไปนั้นเอง ทันใดนั้นช่วงเอวก็ถูกคว้าเอาไว้ มือใหญ่คู่หนึ่งโอบเข้ามา

“ตอนนี้ข้าใช้พลังวิญญาณไม่ได้ เจ้าต้องจับข้าเอาไว้ให้แน่นๆ ล่ะ” อูหลิงอวี่นั่งอยู่ด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์พลางกระซิบข้างหูเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ใบหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หันไป แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มลำพองใจบนใบหน้าของเขาแล้ว

“ท่านต่างหากที่ต้องจับข้าไว้แน่นๆ ย่ากวง ไปได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง ย่ากวงก็เร่งฝีเท้าวิ่งออกไป มุ่งหน้าไปยังบริเวณรอบนอกของเทือกเขาผู่สั่วตามเส้นทางเมื่อวานนี้

เมื่อถึงรอบนอกแล้วเธอก็เก็บตัวย่ากวงลงไป อูหลิงอวี่มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบคราหนึ่งแล้วจึงถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”

“อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่อีกเดี๋ยวท่านจะต้องอยู่ให้ห่างจากข้าหน่อยนะ มิฉะนั้นหากได้รับบาดเจ็บอันใดข้าก็ไม่รับผิดชอบด้วย”

อูหลิงอวี่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ได้รู้ถึงจุดประสงค์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงที่นี่แล้ว

ที่ซือหม่าโยวเย่ว์เผชิญในคราวนี้คืองูหางกระดิ่งตัวหนึ่งซึ่งมีระดับขั้นสูงกว่าสัตว์อสูรวิเศษสองตัวเมื่อวานถึงสองขั้น

ถ้าหากพบเมื่อวานก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเธอจะพ่ายแพ้ แต่มีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้วเธอจึงมีทักษะการใช้พลังวิญญาณเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังมีประสบการณ์การต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษแล้วอีกด้วย

อูหลิงอวี่พักอยู่ตรงใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป ดูซือหม่าโยวเย่ว์ต่อสู้กับงูหางกระดิ่ง มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะถูกงูหางกระดิ่งฉกกัด แต่เธอก็หลบหลีกไปได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้ง

นอกจากนี้เมื่อระยะเวลาในการต่อสู้ลากยาวออกไป เธอก็ยิ่งคุ้นเคยกับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น ร่างกายก็คล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เธอหลบหลีกเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่นนั้นในช่วงหลังๆ เธอก็ทำให้เจ้างูหางกระดิ่งเป็นคู่ซ้อมมือเสียแล้ว

“ฉึก…”

ซือหม่าโยวเย่ว์กระโจนครั้งหนึ่งก็กระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังของงูหางกระดิ่ง กริชเล่มหนึ่งเสียบเข้าไปในร่างของมันลึกเจ็ดนิ้ว หัวและหางของงูหางกระดิ่งลอยพุ่งขึ้นไปข้างบน ร่างกายแข็งเกร็งไปในทันใด แต่ก็ยังตวัดไปมาไม่หยุด คล้ายกับคิดจะฟาดใส่ซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่ากริชจะเสียบเข้าไปลึกถึงเจ็ดนิ้ว แต่งูหางกระดิ่งก็ยังคงมีพลังมหาศาลเช่นนี้อยู่ เมื่อเห็นว่ากริชกำลังจะถูกมันสะบัดหลุดออกมาแล้ว เธอจึงนั่งลงบนหลังของงูหางกระดิ่งในทันใดแล้วใช้ขาทั้งสองข้างหนีบร่างของมันเอาไว้แน่น กางเกงจึงถูกเกล็ดบนร่างของมันเกี่ยวจนขาด

ร่างกายของงูหางกระดิ่งยืดตรงขึ้นมาหมายจะสะบัดซือหม่าโยวเย่ว์ลงไป เธอรีบยื่นมือซ้ายออกมาคว้าลำตัวงูเอาไว้ ส่วนมือขวาดึงกริชออกมาแล้วแทงเข้าไปอย่างแรงอีกครั้ง

คราวนี้เธอใช้กำลังแทงกริชลงไปจนสุดตัว งูหางกระดิ่งดิ้นรนอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ล้มลงไปข้างๆ อย่างช้าๆ

ผ่านการต่อสู้อันยากลำบากรอบหนึ่ง เธอก็หมดสิ้นกำลังแล้วเอนกายลงไปบนพื้นกับร่างงูนั้น

อูหลิงอวี่เดินเข้ามาช้าๆ แล้วมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่นอนจมกองเลือดพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่

การต่อสู้ของเธอเมื่อครู่นี้ทำให้เขาพรั่นพรึงไม่น้อยเลย เมื่อเห็นเธอฝึกฝนอย่างไม่คิดชีวิต หัวใจของเขาก็ปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง

“เจ้ายังดีอยู่ไหม”

“ยังไม่ตายหรอกน่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์พลิกตัวแล้วนอนแผ่หลาบนพื้น เธอเพิ่งจะสู้อย่างสูสีกับงูหางกระดิ่งมาเป็นชั่วโมง ตอนนี้แม้แต่จะขยับยังไม่อยากขยับเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ อูหลิงอวี่ก็หัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาเสีย หากเจ้ายังนอนต่อไปอีกก็อาจจะมีสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้กลิ่นเลือดแล้วบุกเข้ามาก็ได้นะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ปราดหนึ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้สองมือยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืน

อูหลิงอวี่ยืนอยู่อีกฟาก มองดูท่าทางอันน่าอนาถไปทั้งตัวของเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ตอนนี้พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บร่างงูหางกระดิ่งลงไปแล้วมองไปรอบตัวปราดหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ทางนั้น”

อูหลิงอวี่ก็มิได้ออกความเห็นอันใดแล้วเดินมุ่งหน้าลงเขาไปพร้อมกับนาง ก็เห็นลำธารเล็กๆ สายหนึ่งอยู่ที่เชิงเขา

“นี่ ท่านนั่งพักอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปอาบน้ำ ห้ามแอบดูล่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วก็กดตัวอูหลิงอวี่ให้นั่งลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วตนเองก็ลงไปอาบน้ำในลำธารด้านหลัง ก่อนจะลงน้ำเธอก็เรียกให้พวกย่ากวงออกมาเฝ้ายามให้เธอ

ถึงแม้ว่าเธอจะดูเหมือนชายคนหนึ่ง แต่ก็เป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ถ้าหากเจ้าคนผู้นั้นเกิดทะเล่อทะล่าเข้ามาดู เช่นนั้นตนก็คงเสียหายแย่

อูหลิงอวี่นั่งที่ใต้ต้นไม้ เมื่อได้ยินเสียงน้ำด้านหลังก็พิงร่างลงกับต้นไม้ ตัวเขามิได้นั่งบนพื้นมาเนิ่นนานแล้วนี่นา ช่างให้ความรู้สึกอันผ่อนคลายเช่นนี้เลยทีเดียว

เอาเถิด ก็ถือว่าให้ตนเองได้ผ่อนคลายสักครู่หนึ่งก็แล้วกัน อยู่ที่นี่ก็ทำตัวตามสบายสักหน่อย รอให้กลับไปยังตำหนักผู้วิเศษแล้วค่อยทำตัวเป็นผู้วิเศษผู้นั้นก็ได้

…………………