บทที่ 38 พิษสงอันดับหนึ่งของรัฐเว่ย์ Ink Stone_Romance
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง การคลุกคลีอยู่ในวงบัณฑิตนั้น พื้นเพสำคัญมาก ทว่านางไม่สามารถพูดออกมาได้ โซ่วเหมยกิ่งนั้น
ราวกับพอจะเข้าใจลัทธิเต๋าอยู่บ้าง ชาตินี้ไม่เหมือนกับชาติก่อน กล่าวออกไปแล้วหากถูกเปิดโปงมิกลายเป็นตัวตลกหรอกหรือ?
“ข้ามีฟ้าดินเป็นอาจารย์” ซ่งชูอีกล่าวเอื่อยๆ
ท่ามกลางลมหิมะ คนกลุ่มหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหยุดเดินเพื่อหันมองนางอย่างถี่ถ้วน ก่อนหน้านี้ในห้องโถงไกลเหลือเกิน บัดนี้อยู่ใกล้เพียงคืบก็สามารถเห็นดวงตาสดใสคู่นั้นของนางได้อย่างชัดเจน มันใสหมดจดราวกับสระน้ำที่ไร้คลื่น ไม่มีความคมกริบเหมือนกับเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“ความดีอันสูงสุดนั้นคล้ายกับสายน้ำ ให้คุณแก่สรรพสิ่งมิได้แย่งชิงสิ่งใด ดวงตาท่านงดงามนัก!” ทันใดนั้นก็มีคนเอ่ยชม
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ พร้อมมองไปที่เขา เขาคือชายหนุ่มในชุดผ้าปักจีนสีเข้ม ใบหน้าค่อนข้างเรียวเล็ก แต่คางเป็นเหลี่ยม ใบหน้ามีสุขภาพดี ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกเจ็บปวด ซ่งชูอีจำได้ว่าเขามีนามว่าจีเหมียน ชื่อรองอู้เม่ย
“พี่อู้เม่ยชมเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว คำว่าอู้เม่ยนั้นออกเสียงคล้ายกับคำว่า “อู่เม่ย” ที่แปลว่า “งดงาม” การเรียกชายหนุ่มผู้หนึ่งว่างดงามๆ นั้น ในใจของซ่งชูอีรู้สึกพิลึกไม่มากก็น้อย
“คลับคล้ายใจกว้าง แท้จริงโอ้อวด พูดจาอ้อมค้อมใจความคลุมเครือ!” หนานฉีมองนางอย่างดูแคลน ก้าวเดินจากไปก่อน
ซีหงยิ้มเอ่ย “หวยจินอย่าได้ถือสา หยุนซื่อเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เป็นเพียงคนปากคอเราะร้ายแต่จิตใจดี”
“ข้าเข้าใจ จากชื่อของเขาก็ดูออกแล้ว” ซ่งชูอีพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซีหงสนอกสนใจยิ่ง ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หวยจินดูออกได้เยี่ยงไร?”
หนานฉีที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเลือนราง อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เดินช้าลง คนอื่นเห็นดังนี้ก็ยิ้มและเดินช้าลงเช่นกัน รอฟังคำตอบด้วยความสนใจ
“ฉีคือการขอพร ซื่อคือการเสียสละ คำว่าหยุ่นมีความหมายด้านจิตใจ “หยุ่นซื่อ” ที่หมายถึง “ได้พรดั่งหวัง” นั้นคาดว่าจะต้องเป็นการแสดงออกถึงความภักดีและความเคารพต่อพระเจ้าเป็นแน่ แต่หากรวมกับแซ่ของเขาแล้วไม่ใคร่ดีนัก หนานหยุ่นซื่อ[1]…จุ๊ๆ” ซ่งชูอีกล่าวด้วยสีหน้าเสียดาย “แม้นพี่หยุ่นซื่อมีความสามารถโดดเด่นทว่ากลับหดหู่จากความสิ้นหวัง ชื่อเยี่ยงนี้ พระเจ้าจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความกรุณาได้เยี่ยงไร? เนิ่นนานป่านนี้ ภายในจิตใจยากที่จะไม่เกิดความโกรธ พูดจาโผงผางบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ ด้วยเหตุนี้หวยจินจะไม่เก็บมาใส่ใจอย่างแน่นอน”
หากไม่เคารพพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จะสามารถรับพรได้เยี่ยงไร?
คำพูดนี้เป็นทั้งคำชื่นชมและคำดูถูก เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาแข่งขันกับหนานฉี ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม นางอธิบายชื่อของหนานฉีได้น่าสนใจโดยแท้
สีหน้าของหนานฉีมืดมน พ่นลมหายใจเย็นชา สะบัดแขนเสื้อจากไป
“พิลึกแท้!” ฮุ่ยซูอวิ๋นปรบมือ หัวร่อเสียงดัง “ผู้คนต่างกล่าวว่าศิษย์สำนักเต๋าวางเฉยกับทางโลก แต่วันนี้กลับได้เห็นสองท่านที่ล้วนเปี่ยมด้วยพิษสง หรือว่าบัดนี้ลิทธิเต๋าก็เข้าสู่โลกที่แก่งแย่งชิงดีเสียแล้วรึ?”
คนอื่นหัวเราะตามกัน เสียงหัวเราะดังอื้ออึงอยู่ในหิมะ ซ่งชูอีฟังจากน้ำเสียงของฮุ่ยซูอวิ๋นแล้วหาได้มีเจตนาเย้ยหยัน จึงยอมรับเรื่องขบขันนี้อยู่เงียบๆ
แต่ไหนแต่ไรซ่งชูอีมิใช้ผู้ที่รับมือได้ง่ายดายนัก เพียงฝืนก้มหน้าไปตามเวลาและสถานการณ์ครั้งสองครั้งก็เท่านั้น ทั้งๆ ที่ตำแหน่งเสมอกัน เหตุใดจะต้องทนมองดูเขาชักสีหน้าในแต่ละวันด้วย? อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในลานเดียวกัน ก้มหน้าไม่พบเงยหน้าก็พบอยู่ดี
ซ่งชูอีเดินตามกลุ่มคนไปยังห้องหนังสือ ภายในได้จุดเตาทำความร้อนไว้แล้ว ทันทีที่นางเข้าไปก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม ก่อนค้นพบว่าร่างกายของตัวเองถูกความหนาวเหน็บเข้ายึดครองเสียแล้ว
“ซ่งจื่อ” ผู้อาวุโสอายุราวห้าสิบกว่าท่านหนึ่งเดินหน้าเข้ามา ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วผายไปยังโต๊ะเตี้ยที่มุมกำแพง เอ่ยขึ้น “ตรงนั้นคือที่ฝึกงานที่จัดเตรียมไว้สำหรับท่าน”
ซ่งชูอีเห็นว่าการแต่งกายของเขากลับไม่เหมือนคนรับใช้ ดังนั้นจึงยกมือเอ่ยคารวะ “ขอบคุณเจียเหล่า”
“เจียเหล่า” คือคำที่ใช้เรียกผู้อาวุโสในจวนขุนนาง แต่การแสดงความเคารพโดยทั่วไปก็มักจะเรียกเช่นนี้
“ไม่ต้องเกรงใจ” ผู้อาวุโสกล่าวนอบน้อม
ท่าทางของเจียเหล่าท่านนี้อบอุ่นมาก ไม่แสดงอาการดูถูกเนื่องด้วยรูปลักษณ์อ่อนวัยของนาง ซ่งชูอีรู้สึกดีกับเขาอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถาม “มิทราบว่าเจียเหล่ามีแซ่นามว่าเยี่ยงไร?”
“ข้าผู้เฒ่ามีนามว่าอี๋ซือขุย” ผู้อาวุโสกล่าว
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ย “บรรพบุรุษของเจียเหล่าเป็นชาวรัฐอี๋หรือ?”
รัฐอี๋เป็นเพียงรัฐเล็กๆ ในฉีหลี่ว์สมัยชุนชิว ชื่อของรัฐถูกนำมาใช้เป็นสกุล แต่ต้องรู้ด้วยว่าในสมัยชุนชิวมีรัฐน้อยใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน บ้างยึดครองเพียงหนึ่งหรือสองเมืองก็นับเป็นรัฐแล้ว ในยุคสมัยที่ยังมีเสียงหมาไก่ให้ได้ยินและผู้คนจะไปมาหาสู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ คิดจะบอกพื้นเพของตนเอง โดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
อี๋ซือขุยสีหน้าเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ สำรวจนางขึ้นลงครู่หนึ่ง “ดูซ่งจื่ออายุยังน้อย แต่ความรู้กลับกว้างขวางยิ่ง ชวนให้น่าประหลาดใจโดยแท้”
“เจียเหล่าชมเกินไปแล้ว เจียเหล่าอย่าได้เรียกข้าน้อยว่าซ่งจื่อเลย ข้าน้อยไม่คู่ควรกับคำเรียกนี้” ซ่งชูอียกมือคำนับอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ข้าน้อยซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน ชื่อรองเดิมว่าอิ๋นเยวี่ย หากเจียเหล่ามิรังเกียจ เรียกข้าว่าหวยจินก็ได้”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอี๋ซือขุย “ได้ ที่กองอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยกับชั้นวางหนังสือล้วนเป็นบันทึกประวัติศาสตร์การปกครองของรัฐเว่ย์ หวยจินทำความคุ้นเคยก่อนเถิด แล้วพวกเรานัดวันกันหารือ ข้าผู้เฒ่าจักต้องไปสอนเหล่าเด็กๆ แล้ว”
“เจียเหล่าค่อยๆ เดิน” ซ่งชูอีน้อมส่ง
อี๋ซือขุยเป็นข้าราชสำนักของสกุลหลงกู่ มีหน้าที่เป็นอาจารย์สอนลูกหลานของสกุลหลงกู่ ทุกครั้งที่ประชุมเรื่องการปกครอง เขาก็จะเข้าร่วมด้วย อี๋เป็นสกุล ซือเป็นอาชีพ ขุยเป็นชื่อ ถ้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ความหมายชื่อเต็มของเขาคืออาจารย์นามว่าขุยผู้มาจากรัฐอี๋
“หึ อวดภูมิเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชอบ ช่างต่ำต้อยเสียจริง!” คำพูดเยาะเย้ยที่เย็นเยียบของหนานฉีดังขึ้น
ซ่งชูอีกำลังสำรวจโดยรอบที่นั่งของตัวเอง ก็ได้ยินประโยคนี้เข้า ทว่ากลับไม่โกรธ ได้แต่เอ่ยเย็นชา “มีความรู้ให้อวดก็นับว่าดี เกรงแต่ว่าไม่มีความรู้ ทำได้เพียงอวดรูปลักษณ์”
ปัง! หนานฉีโยนโครมบันทึกที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ หันจ้องนางถมึง
ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างยิ้มเยาะ “หวยจินพูดถึงเรื่องทางโลกเท่านั้น เหตุใดพี่หยุ่นซื่อจึงจ้องหน้าข้าด้วยความขุ่นเคือง หรือว่า…”
คนในห้องก้มหน้าหัวร่อตามๆ กัน ดูเหมือนว่าตำแหน่งพิษสงอันดับหนึ่งแห่งรัฐเว่ย์กำลังจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว
“วันนี้หิมะตกหนัก ควรทำสิ่งที่สง่างาม เช่นนั้นพวกเราเล่นหมากลิ่วป๋อด้วยกันว่าเยี่ยงไร?” ฮุ่ยซูอวิ๋นเอ่ยอย่างกะตือรือร้น
ซ่งชูอีหัวเราะแห้งสองที หมากลิ่วป๋อนับว่าเป็นเรื่องสง่างามได้หรือ?
“ดี!” จีเหมียนเห็นด้วยเป็นคนแรก รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังชั้นหนังสือด้านหลังเพื่อนำกระดานหมากออกมา วางลงตรงกลางห้อง ถูๆ มือพร้อมร้องตะโกน “มาๆๆ มาให้หมด อย่าได้หดหู่เลย”
“อู้เม่ย กระดานลิ่วป๋อนับว่าเป็นเรื่องสง่างามแล้วหรือ? บัดนี้รัฐเว่ย์กำลังประสบความยากลำบาก หากคนอื่นรู้ว่าพวกเรากำลังเล่นเช่นนี้กันอยู่ เกรงว่าจะไม่งามกระมัง?” มีคนเอ่ยปากห้ามปราม
ผู้พูดมีนามว่าจี้เยี่ยน เป็นศิษย์ลัทธิขงจื้อ
“กลัวอันใดเล่า ท่านอาจารย์ขงจื้อยังกล่าวไว้ กินข้าวให้อิ่มทำจิตให้ว่างนั้นยากเหลือล้น! หากแต่ยังมีการละเล่นมิใช่หรือ?” จี้เยี่ยนคัดค้าน
ความหมายในคำพูดของขงจื้อกล่าวคือ วันทั้งวันกินข้าวให้อิ่มแล้วไม่ทำกระไรเลยนั้นไม่ได้ ยังมีหมากลิ่วป๋อและหมากล้อมมิใช้หรือ?
ทุกคนฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ล้อมวงทันทีคล้ายต้องการเล่นลิ่วป๋อมานานแล้ว เพียงแต่รอข้ออ้างก็เท่านั้น
ซ่งชูอีเงียบงัน รัฐเว่ย์เสื่อมถอย พวกเขาในฐานะแขกที่ปรึกษาคนสำคัญ จะกล่าวว่ากินอิ่มแล้วไม่ทำกระไรเลยได้หรือ?
………………………….
[1] หนานหยุนซื่อ ชื่อของเขา南允祀 พ้องเสียงกับ难允祀ซึ่งหมายความว่า “พรใดที่ขอไปยากที่จะสมหวัง”