และในตอนนี้เอง บ่าวก็ยกน้ำร้อนมาหนึ่งถังไม้ อวิ๋นหว่านชิ่นถูกขัดจังหวะพอดี จึงรีบลุกขึ้น นำยาแช่เท้าที่ทำใส่ถุงไว้ เทลงไปในน้ำร้อน แล้วใช้มือคน ไอร้อนลอยออกมาจากถังไม้ สมุนไพรลอยและจมลงไปในน้ำ แล้วค่อยๆ กระจายตัวออก จนไอสีขาวส่งกลิ่นหอมหวานที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งออกมา
รองเท้าของถงฮูหยินถูกถอดออกเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจับเบาๆ เข้าที่เท้าซึ่งกรำงานหนักมาหลายปีแล้ววางลงในถังไม้สักที่สูงราวหนึ่งศอก
สักพัก ไอร้อนจากใต้ฝ่าเท้าของถงฮูหยินก็ค่อยๆ ระเหยขึ้น ถงฮูหยินเพียงรู้สึกว่าเส้นเอ็นช่วงขาคลายตัวตามปกติ ไม่แข็งแบบเมื่อครู่อีก อาการปวดแปลบก็ลดน้อยลง นึกถึงช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีอาการปวดเข่า นางไม่สนใจ จนกลายเป็นปวดเรื้อรังนานหลายปี สมุนไพรในหมู่บ้านมีมากมายและหลากหลายกว่าในเมือง นางใช้มาหมดแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ตอนนี้หลานสาวก็นำสมุนไพรมาให้ลองอีก จะใช้ได้ผลหรือ
แต่ตอนนี้พอเส้นเอ็นคลายตัว ถงฮูหยินก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ชิ่นเอ๋อร์ สมุนไพรเหล่านี้มีอะไรบ้าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นจากไอสีขาว เห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้ารูปไข่ ยิ้มพลางว่า
“จริงๆ แล้วจะเรียกสมุนไพร ก็ไม่เชิง”
“หา? แล้วมันคืออะไร” ถงฮูหยินเอียงตัวใช้เท้ากวนน้ำร้อนไปมา แล้วก้มลงดูดีๆ เห็นเพียงส่วนประกอบบางอย่างคล้ายดอกไม้ แต่อย่างอื่นนางก็ไม่แน่ใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “เป็นยาตำรับหนึ่งใน ตำรายาฝูโซ่ว ประกอบด้วยใบต้นเทียนบ้าน เมล็ดสนแผง เกลือของกรดกำมะถัน และมะละกอ ต้มรวมกันจนได้สารสกัดเข้มข้น แล้วนำมาเทลงในน้ำร้อน แบบที่ท่านย่าใช้แช่เท้าอยู่นี้ วิธีแม้ทำได้ง่าย วัตถุดิบก็หาได้ทั่วไป แต่ได้ผลชะงัดนัก ท่านย่าต้องลองดู”
ถงฮูหยินไม่รู้หรอกว่าตำรายาฝูโซ่วคืออะไร แต่พอได้ยินคำว่า เทียนบ้าน มะละกออะไรนี่ ก็รู้สึกแปลกใจ ชื่อเหล่านี้ไม่เหมือนชื่อสมุนไพรรักษาโรคเลย แล้วยังปนเปกันเปะปะ เดี๋ยวก็ดอกไม้ เดี๋ยวก็ผลไม้…จึงหลุดหัวเราะออกมา
“ดอกไม้ก็รักษาโรคไขข้อได้หรือ เจ้าอย่ามาหลอกคนบ้านนอกอย่างย่าเชียว เอาเถอะๆ ยาแช่เท้านี่ใช้แล้วก็รู้สึกสบายขึ้นจริงๆ ถึงหลอก ย่าก็ยอมให้หลอก!”
ดอกเทียนบ้านมีสรรพคุณเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้อวิ๋นหว่านชิ่นมักใช้เป็นส่วนผสมของยาทาเล็บ ต่อมาค่อยพบว่าสารสกัดจากดอกเทียนบ้าน นอกจากนำมาทาให้เล็บมีสีสันได้แล้ว จากหลักฐานและข้อมูลมากมายยังพบว่า ต้นเทียนบ้านมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซิ่วกู่เฉ่า ซึ่งความหมายตามชื่อก็คือ สมุนไพรรักษาอาการปวดจากไขข้อกระดูกเสื่อม ดังนั้นต้นเทียนบ้านจึงมิใช่พืชที่มีไว้ใช้เสริมความงามเพียงอย่างเดียว
ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นก็มิได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ด้วยเห็นว่าหญิงชราไม่น่าจะอยากฟัง จึงได้แต่ยิ้มแล้วว่า
“เมื่อใช้แล้วสบายขึ้น ท่านย่าก็ต้องใช้ทุกวัน เช้าครั้ง เย็นครั้ง ต่อให้ไม่ได้ผล การแช่เท้าก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษอะไร”
ถงฮูหยินยิ้มพลางรับยาแช่เท้าไว้ แล้วหันไปบอกให้สาวนำไปเก็บไว้ให้ดี
พอแช่เท้าเรียบร้อย ถงฮูหยินเพิ่งใส่รองเท้าเสร็จ หวงน้าสี่ก็เลิกม่านขึ้น แล้วเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่ด้วย จึงยิ้มทักทาย แล้วนั่งลงข้างหญิงชรา ก่อนพูดเสียงเบา
“ท่านแม่ ข้าติดต่อป้าหลิวที่สมาคมม้าผอมได้แล้ว นางบอกว่าเราสามารถไปหานางที่สมาคม ได้ทุกเมื่อ”
สมาคมม้าผอม? ที่ที่ขายอนุกับนางบำเรอหรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นหูผึ่ง ชำเลืองมองท่านย่า
พอถงฮูหยินเห็นว่าหลานสาวได้ยิน ก็ไม่คิดปิดบังอีก เล่าเจตนารมณ์ของตนให้ฟังตรงๆ
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าดูสิ หลังบ้านพ่อเจ้าเดิมทีก็ไม่ค่อยมีใครอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นกับไป๋ฮูหยิน ก็ยิ่งโบ๋เบ๋เข้าไปใหญ่ ย่าก็เลยอยากไปดูที่สมาคมม้าผอมหน่อย เผื่อเลือกอนุติดไม้ติดมือมาได้สักคนสองคน ให้ปรนนิบัติพ่อเจ้า เจ้าว่าเป็นอย่างไร มีความคิดเห็นอะไรไหม”
การที่ท่านย่าถามตนก่อน ถือว่าให้เกียรติตนมาก แต่นี่เป็นเพราะท่านย่าไม่เคยอยู่กับครอบครัวที่มีอนุมาก่อน ซึ่งไม่มีบ้านไหนหรอก ที่เจ้าบ้านคิดแต่งอนุ แล้วมาถามลูกว่าเห็นด้วยไหม พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ตนไม่เห็นด้วยแล้วจะทำอะไรได้ ท่านย่าถามเพราะเกรงใจตนเท่านั้น
ถ้าต้องการให้อวิ๋นหว่านชิ่นพูดจากใจจริง นางก็อยากพูดหยาบๆ ออกมาว่า ท่านย่า ลูกชายคนรองของท่านเป็นคนกินเมีย ผู้หญิงคนไหนอยู่กับเขาแล้วมีจุดจบที่ดีบ้าง หลานเห็นว่าต้องตัดอาวุธสืบพันธุ์ทิ้ง จะได้ไม่ไปทำร้ายผู้อื่นอีก ดีไหม
ทว่าจิตใจของถงฮูหยิน อวิ๋นหว่านชิ่นก็พอจะเข้าใจ เมื่อลูกชายคนรองมีทายาทสืบสกุลอย่างอวิ๋นจิ่นจ้ง
เพียงแค่คนเดียว พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยย้ายออกไป หลังบ้านก็ไม่มีหญิงใดเป็นหัวหลักหัวตออีก แต่ท่านพ่อเป็นผู้ชายคนหนึ่ง และกำลังอยู่ในวัยกลางคน ถึงวันนี้ไม่แต่งอนุ วันหน้าก็ต้องแต่ง เพียงแต่เปลี่ยนคนจัดการหลังบ้านเท่านั้น
เมื่อคิดดูแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตอบเสียงเรียบ “หลานไหนเลยจะมีความเห็นอะไร ท่านย่าจัดการน่ะดีแล้ว คนที่ท่านย่าเลือก ต้องอ่อนโยนนอบน้อม ทำประโยชน์ให้ครอบครัวได้อยู่” นางไม่ต้องการอะไรอื่นอีก หวังเพียงคนใหม่ไม่เหมือนคนก่อนก็ดีถมเถ
ถงฮูหยินพยักหน้า ก่อนหันไปบอกสะใภ้ใหญ่ “ดี เมื่อทางนั้นเตรียมการเรียบร้อย เราก็ไปกันตอนนี้เลย” แล้วจึงเหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางคิด นางเป็นคุณหนูในเมือง รู้จักวางตัว มองคนออก แยกแยะคนเป็น ถ้าพาไปเลือกด้วยกัน ย่อมไม่ด้อยไปกว่าหวงน้าสี่กับตนแน่ แต่คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน ไปในสถานที่อโคจรซื้อขายอนุแบบนั้น ดูเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สะใภ้กับแม่สามีสองคนจึงตัดสินใจพาสาวใช้ไปยังสมาคมม้าผอม
…
ระหว่างทางกลับเรือนฝูหยิง ชูซย่าก็ทอดถอนใจออกมา
“ไม่ง่ายเลยกว่าที่บ้านเราจะสงบสุข แต่จู่ๆ ก็จะมีคนใหม่เข้ามาอีก ถ้าไป๋ฮูหยินได้ยินเข้าต้องบ้าตายแน่
…ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะเลือกคนแบบไหนมาให้นายท่านเนอะ ยังไงก็ต้องเป็นคนดีหน่อย…แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ ได้ยินมาว่าสาวๆ ในสมาคมม้าผอมนั่น ถูกฝึกให้เป็นอนุในบ้านเจ้าใหญ่นายโตแต่เด็ก แต่ละคนมีรูปโฉมใสบริสุทธิ์ดุจต้นกล้า แต่เนื้อในดุจสุนัขจิ้งจอก เก่งเรื่องทำให้ผู้ชายหลงใหลเป็นที่สุด…”
อวิ๋นหว่านชิ่นชะงักฝีเท้า เมื่อครู่ตนก็มีแต่เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจ แต่ถามมากไม่ได้ พอชูซย่าพูดขึ้น จึงพูดบ้าง “จริงสิ สมาคมม้าผอมที่ท่านย่ากับป้าสะใภ้ไปชื่อว่าอะไร”
“เพิ่งได้ยินสาวใช้ข้างกายฮูหยินป้าสะใภ้พูดถึง เหมือนจะมีชื่อเสียงโด่งดังทางตะวันออกของเมือง ชื่อหอหย่าจื้อ ตระกูลใหญ่ๆ ส่วนมากไปเลือกอนุกับนางบำเรอกันที่นั่น โดยทำตามขั้นตอนทางกฎหมายทุกอย่าง ดูใหญ่โตอยู่เหมือนกัน” ชูซย่าตอบ
หอหย่าจื้อ? อวิ๋นหว่านชิ่นพึมพำในใจ เข้าใจแล้ว
นางเคยคิดว่าถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยอยู่ในห้องพระแล้ว งานหลังบ้านสกุลอวิ๋นก็ไม่มีผู้ใหญ่ที่พอจะรับช่วงต่อ…คิดไม่ถึงว่า คนที่ควรมา ก็ต้องมาอยู่ดี
หนังตาจึงกระตุกขณะนึกในใจ “เลือกคนแบบไหนมา ก็เป็นแค่อนุ ไม่มีทางพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหรอก”
ชาติก่อน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหรา เป็นคนโปรดเสมอมา จึงบงการเรื่องหลังบ้านเพียงคนเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วจากนิสัยเสีย มากรักหลายใจของผู้ชายอย่างบิดา การมีเมียหลวงหนึ่ง เมียน้อยหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แต่ที่ทำได้เพราะประการแรก ราชสำนักจำกัดจำนวนอนุที่ขุนนางพึงมี เพราะถ้ามีอนุกันเต็มบ้านเต็มเมือง ผู้บังคับบัญชาจะไม่พอใจเอา ประการที่สอง ต้องบอกว่าตอนนั้นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นที่หลงใหลมาก เพราะนางมัดใจชายได้อยู่หมัด
อีกอย่าง ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่แต่งเข้าจวนโหว อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่ได้แต่งอนุเพิ่ม
แต่หลังจากนางแต่งเข้าจวนโหว และไป๋เสวี่ยฮุ่ยมักพาลูกสาวเข้าจวนโหวมาเยี่ยมนางนั้น มีระยะหนึ่งไป๋เสวี่ยฮุ่ยมาจวนโหวขณะตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็สังเกตเห็นว่า นางมีสีหน้าเศร้าสร้อย จึงถามจากสาวใช้ที่มาด้วยกัน ถึงได้รู้ว่าช่วงที่นางตั้งครรภ์ บิดายั้งใจไม่อยู่ ไปซื้ออนุที่สมาคมม้าผอมมาคนหนึ่ง แรกเริ่มบอกว่าซื้อมาเป็นสาวใช้ ต่อมาก็ลอบให้นางเป็นเมียเก็บโดยไม่ให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ อีกทั้งยังหลงใหลได้ปลื้มจนไม่สนใจไป๋เสวี่ยฮุ่ยไป
สมาคมขายหญิงที่ว่า ก็คือหอหย่าจื้อ