บทที่ 43

ค่ายทางเหนืออยู่ห่างจากเมืองหยานไปประมาณ 2 จั้ง ค่ายหลักกินพื้นที่กว้างหลายลี้ ด้วยความที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของทหาร เพียงแค่พื้นที่ทางการทหารก็กินพื้นที่ไปมากแล้ว

ถังหยินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเลือกทหารของเขา ด้วยกองทหารที่มีนับหมื่นคน จะให้เขาเลือกเองจริง ๆ หรือ?

กองทหารของตระกูลอู่พึ่งได้รับการฟื้นฟู ดังนั้นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้ากองจึงเพิ่มขึ้นมาก ในตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางค่ายทหารที่ยาวเหยียด

เมื่อถังหยินกับทุกคนมาถึง พวกทหารก็ทำความเคารพอู่เหมย นางยิ้มแล้วพยักหน้าให้ จากนั้นก็มองถังหยินเพื่อให้เขาเลือกทหาร ชายหนุ่มมองทีละนาย ทุกคนแต่งกายในชุดสีดำและหมวกสีเดียวกัน พู่ที่ปลายดาบและยอดหมวกแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพวกเขา หลังจากที่ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วจนครบรอบ เขาก็พลันตะโกนออกมา “ข้าคือแม่ทัพกองพันที่ 2 ถังหยิน วันนี้ข้ามาเพื่อคัดเลือกคนเข้าร่วมกองพันท่ามกลางทหารหลายหมื่นนายจากพวกเจ้า”

ทหารเหล่านี้มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอปะปนกันไป ผู้ที่เก่งที่สุดย่อมมีตำแหน่งที่สูงที่สุด ยกตัวอย่างเช่นกองพันที่ 1 ของตระกูลย่อมต้องมีพลังในการรบที่สูงที่สุดเป็นธรรมดา

หัวหน้ากองพันเป็นตำแหน่งที่คอยควบคุมกองทหารรับหมื่นนาย พวกเขามีแม่ทัพใต้บัญชาที่สำคัญมากมาย พูดให้ถูกก็คือใครก็ตามที่เป็นหัวหน้ากองพันได้จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถสูงมากดั่งเช่นถังหยิน ซึ่งจะหาคนที่หนุ่มแน่นแบบนี้ก็เห็นที่จะเป็นไปได้ยากมาก

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของฝูงชน ถังหยินก็ไม่ได้แปลกใจ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็เห็นอะไรแบบนี้มาบ่อยแล้ว

มุมปากของชายหนุ่มยิ้มขึ้นมา “ในบรรดาพวกเจ้า มีใครที่มีพลังปราณ ให้ยกมือขึ้นมา”

ทุกคนมองหน้ากันและยกมือขึ้น หัวหน้ากองไม่ใช่ตำแหน่งทั่วไป ใครที่เป็นตำแหน่งนี้ได้ คนผู้นั้นจะต้องมีพลังปราณหรือเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ชายหนุ่มพูดต่อ “ใครที่อยู่ในระดับปราณแรกสัมผัสแล้วให้ยกมือขึ้น”

มีเพียง 50 นายที่ยังคงยกมืออยู่

“ถ้าหากอยู่ในระดับรับรู้แล้วให้ยกมือต่อ ถ้าไม่… ก็จงเอาลง !”

ยังคงมีอีกหลายคนที่ยกมือขึ้นไว้อยู่

ถังหยินพยักหน้า เมื่อเห็นว่าคนที่ยกมือยังมีมากอยู่ เขาจึงพูดต่อ “ใครก็ตามที่อยู่ในระดับปราณวิบัติให้ยกมือค้างไว้”

ตอนนี้มีเพียงแค่ 30 หรือ 50 นายเท่านั้นที่ยังยกมืออยู่

ถังหยินตะลึงและไม่คิดว่าจะมีคนที่อยู่ในระดับนี้มากถึงเพียงนี้ “ใครที่อยู่ในระดับปราณสู่พิสดาร ?”

ครั้งนี้มีแค่ 3 คนเท่านั้นจาก 50 ที่ยังยกมืออยู่ เขาหยุดพูดและจ้องมองทั้ง 3 คน ทั้งสามดูมีอายุราวๆ 30 หรือ 40 ดวงตาที่คมกริบ เพียงแค่มองก็สัมผัสได้ถึงพลังแล้ว

แต่ถังหยินกลับส่ายหัวแล้วพูด “ในบรรดาพวกเจ้ามีใครอยู่ระดับปราณดั้งเดิมแล้วบ้าง ? ”

ทั้ง 3 คนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน

การจะเข้าสู่ระดับปราณที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นยากมาก มีไม่กี่คนในแคว้นเฟิงที่จะไปถึงระดับนั้นได้ แถมระดับที่สูงกว่านั้นก็มีอยู่แค่ในตำนานด้วยซ้ำ

ถังหยินพยักหน้า เขาเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้มาก ชายหนุ่มเมินทั้งสามและชี้ไปยัง 10 คนที่เขาสนใจ “พวกเจ้าทั้งหมดออกมานี่”

ทั้งสิบตะลึง แต่ก็ค่อย ๆ เดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พวกเขาไม่ได้มีพลังปราณที่สูงมาก และไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงเลือกพวกเขา

ทั้งสิบยังดูหนุ่มอยู่มาก พวกเขาล้วนแล้วแต่อายุต่ำกว่า 25 และมีพลังแค่ในระดับปราณวิบัติเท่านั้น ถังหยินยักไหล่และพูดขึ้น “พวกเจ้าฝึกกันมานานแค่ไหนแล้ว?”

บางคนก็ตอบว่า 10 ปีบ้าง 5 ปีบ้าง มีส่วนน้อยที่ตอบ 3 ปีหรือไม่ก็ 4 ปี ถังหยินเงียบสักพักแล้วชี้ไปที่คน 4 คน พร้อมยิ้มให้อู่เหมย “ข้าอยากได้ 4 คนนี้”

ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็พากันตกตะลึง ซึ่งมันก็รวมไปถึงอู่เหมยและอีก 4 คนที่ถูกเลือกด้วยเช่นกัน

ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงได้เลือกอะไรแบบนี้ เขากล้าเมินคนที่มีพลังสูงที่สุดได้ยังไงกัน

อู่เหมยขมวดคิ้วแล้วเดินไปกระซิบกับเขา “เจ้าล้อเราเล่นใช่ไหม?”

ถังหยินพูดขำ ๆ “ข้าจะไปพูดเล่นได้ยังไง? ข้าอยากได้ 4 คนนี้จริง ๆ รวมกับกู่เยว่และหลีเทียนพวกเขาก็มี 6 คนแล้วนะ ส่วนอีก 4 คนที่เหลือข้าต้องรบกวนท่านด้วย ข้าเชื่อใจท่านนะ”

“แต่… ทั้ง 4 คนนี้ยังเด็กมากเลยนะ!” อู่เหมยต้องเตือนถังหยินให้เขาระลึกเสมอว่าต้องมีตัวเลือกที่ดีที่สุดไว้ก่อน

ในความเห็นของอู่เหมย ตำแหน่งหัวหน้ากองไม่ใช่แค่ต้องมีพลังที่สูงมากเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องมีประสบการณ์อีกด้วย คนหนุ่มเหล่านี้ไม่เหมาะแน่

แต่ทว่าถังหยินกลับคิดต่างออกไป

ทั้ง 4 ที่ถูกเลือกมา แม้ว่าพวกเขาจะมีระดับที่ต่ำอยู่บ้าง แต่การที่พวกเขามาถึงระดับปราณวิบัติได้ในเวลาอันสั้นก็ถือว่าเป็นความสามารถที่เก่งกาจมาก

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังหนุ่มยังแน่น ทำให้ถังหยินง่ายต่อการควบคุมให้เป็นไปตามที่ต้องการ ชายหนุ่มมั่นใจว่าตำแหน่งของเขาจะมั่นคง และทำให้คนพวกนี้จงรักภักดีต่อเขาได้

สำคัญที่สุด ทั้ง 4 ยังไม่มีประสบการณ์ในการรบ และทำให้พวกเขาถูกชักจูงได้ง่ายที่สุด ชายหนุ่มไม่เคยพาทหารเหล่านี้ไปรบมาก่อน แต่สำหรับเขาแล้วการต่อสู้ก็ไม่ต่างอะไรจากการล่าสัตว์ เขาเกิดและเติบโตในภูเขาที่มีป่ามากมายจนกลายมาเป็นนักฆ่า

ชายหนุ่มยิ้ม และมองกลับที่อู่เหมยซึ่งมีท่าทีกังวล พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ข้าต้องการทั้ง 4 คนนี้”

หญิงสาวกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้ก็ต้องสนองให้เสียหน่อย “ตามใจเจ้าก็แล้วกัน! เราจะเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง กองพันทหารราบที่ 2 ถือได้ว่าเป็นกองที่เก่งกาจรองจากกองพันทหารราบที่ 1 ”

ถังหยินยิ้มและชู 3 นิ้วให้ยังอู่เหมย

“อะไร?”

“ข้าขอเวลา 3 เดือน และจะทำให้ทั้งกองกลับสู่สภาวะเดิม” ถังหยินพูดอย่างมั่นใจ

อู่เหมยมองหน้าเขา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ถังหยินคือชายที่มั่นใจที่สุดที่นางเคยเห็นมา และก็เป็นคนที่ดื้อรั้นอย่างหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วด้วยเช่นกัน นางไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาทำยังไงถึงได้มั่นใจขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็มักจะเป็นอย่างที่เขาบอกเสมอ

มุมปากของหญิงสาวเผยความไม่พอใจออกมา “ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าจะเป็นยังไงกัน”

ถังหยินยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

เขามั่นใจมากและคิดว่าจะทำให้ทั้งกองกลับสู่สภาวะเดิมได้โดยคาดการไว้เพียง 3 เดือนก็น่าจะพอใช้ได้แล้ว แน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ต้องคุยกันหลังจากนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร

หลังจากออกมาจากค่ายทางเหนือแล้วกลับไปยังเมืองหลวง ถังหยินก็บอกลาอู่เหมย และพาทั้งพลทหารทั้ง 4 นายนั้นกลับมา

เรือนพักที่อู่เหมยเช่ามานั้นไม่ได้เล็กเลย มันกว้างมากเสียจนยากที่จะดูแลได้ทั่วถึง ทั้งหมดนั่งอยู่ในเรือนหลัก ข้ารับใช้ในเรือนที่เห็นคนเขามาก็พลันรีบยกน้ำชาให้

ถังหยินเป็นคนจากโลกปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่คุ้นชินกับโลกเก่าแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าชีวิตในวัยเด็กของเขาล่ะนะ ชายหนุ่มหยิบถ้วยชาขึ้นมา ก่อนจะกระดกมันลงไปแล้วยื่นคืนให้กับข้ารับใช้ “ขออีกถ้วย”

เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงกับข้ารับใช้พวกนี้ ซึ่งตอนแรกพวกข้ารับใช้เองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน อย่างไรก็ตามหลังจากไม่กี่วันมานี้พวกเขาก็เริ่มคุ้นชิน

“นี่ขอรับท่านแม่ทัพ” ไม่นานนักข้ารับใช้ก็เอาชามาวางให้อีกถ้วยตรงหน้าถังหยิน

ชายหนุ่มพยักหน้าและมองทั้ง 4 คนนั้น “พวกเจ้าชื่ออะไร?”

“นามของข้าคือ หลีเหว่ย ท่านแม่ทัพถัง”

“หลิวซ่ง”

“เฉินฟางฟาง”

“อัยเจีย”

เมื่อได้ยินชื่อ ถังหยินก็สังเกตว่าอัยเจียพูดกับเขาด้วยเสียงที่แหลมกว่าปกติ ซึ่งเมื่อชายหนุ่มมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าผิวของคนผู้นี้นั้นบาง ทั้งยังมีคิ้วหนา ดวงตาสวยคม และมีรูปลักษณ์ที่น่าดูชม เมื่อเทียบกันแล้วนั้นถือได้ว่าแตกต่างจากผู้ชายมากทีเดียว

“อัยเจีย… เจ้าเป็นสตรีหรือ?”

นางลังเลก่อนพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”

ถังหยินขมวดคิ้วช้าๆ

แม้ว่าจักรวรรดิเฮาเทียนจะเปิดกว้างยินยอมรับสตรีเข้ามาเป็นทหาร แต่จากมุมมองของถังหยินนั้น เขารู้ดีว่ากองทัพไม่เหมาะกับผู้หญิง ชายหนุ่มคิดว่าพวกนางควรจะทำอย่างอื่นมากกว่าออกไปรบราฆ่าฟันกับศัตรู

“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้?!” ถังหยินไม่พอใจมาก และเสียงก็เริ่มเย็นชา ตอนที่เขาเลือกคนมา คนพวกนี้ต่างก็ใส่เกราะกันอยู่ จึงยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นเพศอะไร

“ในตอนนั้นท่านไม่ได้ถามเองนี่เจ้าคะ” อัยเจียตอบโดยไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง

ถังหยินเลิกคิ้วขึ้นแล้วจ้องมองนาง หลังจากครุ่นคิดแล้วก็พูดขึ้น “กลับไปยังค่ายซะ ข้าไม่ต้องการเจ้า”

“ทำไมกัน ทำไมท่านถึงได้เหยียดหยามสตรีเช่นนี้?”

“อะไรนะ?” ถังหยินถลึงตาออกมา หญิงสาวคนนี้ช่างปากกล้านัก อัยเจียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ทัพถังมีวิธีเลือกที่พิเศษในการคัดเลือกคน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าแม่ทัพถังน่าจะแตกต่างจากคนอื่น แต่ดูเหมือนว่าข้าคงจะคิดผิดไปเอง” ว่าแล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินกลับออกไป