บทที่ 60 ขอความช่วยเหลือ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้เหวินเห็นอวี้ถังสำนึกผิด มีท่าทีเปลี่ยนไปในทางที่ดี ท้ายที่สุดในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ความใจกล้าของบุตรสาว แค่เขาคิดก็ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย

เขาอดตำหนิอวี้ถังไปอีกทีไม่ได้ เวลานี้จึงถามถึงเบาะแสของคนลี้ภัยสองคนนั้น

อวี้ถังกล่าวว่าอยู่กับพี่น้องสกุลชวี

อวี้เหวินฉวยโอกาสในเวลากลางคืนไปเรือนของพี่น้องสกุลชวี เมื่อรู้ว่าคำพูดของลูกสาวเป็นความจริงทุกประการ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปยังสกุลเผย

เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้เหวินมาเพื่อขอโทษ จึงไม่อยากพบ แต่อวี้เหวินกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอยากขอให้เขาทำหน้าที่เป็นคนกลาง เขาเดาว่าอวี้เหวินอาจมาเพราะเรื่องขัดแย้งกับสกุลหลี่ นึกถึงครั้งแรกที่อวี้ถังและหลี่จวิ้นพูดจาตีสนิทกันที่วัดเจาหมิง เขาก็ยิ่งไม่อยากสอดมือยุ่ง กระทั่งในใจเกิดความดูแคลนขึ้นมาอย่างเลือนราง ตำหนิหูซิ่งที่เข้ามารายงาน “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ตระหนักว่าข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หากไม่ดึงข้าออกไปวิ่งวุ่น ก็พาเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญมารบกวนข้า พวกเจ้าจะให้ข้าคัดลอกคัมภีร์ สวดมนต์ภาวนาให้ท่านพ่ออย่างเงียบๆ ไม่ได้เลยหรือไร?”

หูซิ่งรู้สึกว่าตัวเองคาดเดาความต้องการของเผยเยี่ยนผิดอีกครั้งแล้ว

ชั่วขณะนั้นเขาก็เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ละล่ำละลักเอ่ย “ข้าน้อยผิดเองขอรับ ข้าเห็นว่านายท่านอวี้ผู้นั้นมีท่าทีรีบร้อน…”

เผยเยี่ยนถลึงตาใส่เขา

หูซิ่งเอ่ยทันที “ข้าจะให้เขาไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”

เผยเยี่ยนไม่ได้ขัดอะไร ก้มหน้าคัดลอกคัมภีร์ของเขาต่อไป

หูซิ่งไม่กล้ารั้งตัวนาน หมุนกายออกไปหาอวี้เหวิน

อวี้เหวินผิดหวังไม่น้อย รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าเผยเยี่ยนไม่อยากพบเขาเท่าไร แต่เหตุใดเผยเยี่ยนจึงให้หมอหลวงหยางมารักษาอาการป่วยของนายหญิงเขากัน?

เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถงอย่างรู้แล้วรู้รอดไป

เถ้าแก่ใหญ่ถงก็ไม่รู้ว่าภายในมีสิ่งผิดปกติอันใด ทำได้เพียงปลอบใจอวี้เหวิน “ทุกคนล้วนรู้ว่านายท่านสามคือลูกหลงของท่านผู้เฒ่า ยามที่ท่านผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้ในมือก็กลัวบาดเจ็บ[1] ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกไม่รู้ว่าดีถึงขนาดไหน! ยามที่ท่านผู้เฒ่าจากไป ท่าทีของนายท่านสาม เฮ้อ เจ้าคงไม่เห็นกระมัง นั่นแทบไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้าพังถล่มลงมา นายท่านรองก็เป็นคนกตัญญู กลัวว่าท่านแม่เฒ่าจะเสียใจ ยังฝืนรวบรวมสติมาจัดการงานศพของท่านผู้เฒ่าได้ แต่นายท่านสามกลับคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกไปก็มิปาน คิดจะพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น หากใครกล้าโต้แย้งเขาในเรื่องของท่านผู้เฒ่าออกมาคำเดียว เขาก็สามารถตอกกลับด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ได้ทันที ไว้ทุกข์เพื่อท่านผู้เฒ่า นั่นย่อมเป็นความตั้งใจจริงไม่ใช่แสร้ง ท่านแม่เฒ่ารักและเอ็นดูลูกหลาน กลัวว่าร่างกายพวกลูกหลานจะรับไม่ไหว ลอบกำชับให้ นายท่านนายหญิงและพวกคุณชายคุณหนูนั้นกินมังสวิรัติ แต่น้ำแกงต้องเป็นน้ำแกงใส ไข่ไก่ผลไม้ไม่อาจขาด มีเพียงนายท่านสามที่ไม่แตะต้องอาหารที่มีเนื้อติดแม้แต่น้อย อย่าพูดถึงท่านแม่เฒ่าเลย แม้แต่นายท่านรองก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้ เวลานี้เจ้าไปหาเขา หากไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เขาย่อมไม่อาจพบหรอก”

“อีกอย่าง หากเจ้าแค่อยากขอบคุณ ทำตามที่ข้าบอกเถิด ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก นายท่านสามไม่ใช่คนที่หลงใหลในชื่อเสียงจอมปลอม เขาได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าให้เป็นผู้นำของสกุลเผย สร้างความผาสุกให้กับบ้านเกิดเมืองนอน เรื่องที่สามารถทำได้ เขาย่อมไม่ผลักความรับผิดชอบ เพียงแค่นิสัยเย็นชาไปบ้างเท่านั้น เริ่มแรกพวกเจ้าอาจจะไม่คุ้นชินสักหน่อย”

นายท่านสกุลเผยเป็นคนที่มีน้ำใจคนหนึ่ง

เช้าตรู่ออกจากเรือนไปเดินเล่น หากพบคนขายผักก็มักจะไถ่ถามว่าหลายวันนี้เก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง ปฏิบัติตัวสุภาพอ่อนโยนกับผู้อื่น ชาวบ้านในเมืองหลินอันต่างก็ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก

อวี้เหวินคิดว่าในเมื่อเผยเยี่ยนมีนิสัยเช่นนี้ เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่ควรปกปิดไว้ ต้องพูดออกไป

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเล่าเรื่องที่สกุลหลี่สั่งให้คนไปสังหารเว่ยเสี่ยวซานให้เถ้าแก่ถงฟัง สุดท้ายยังเอ่ยว่า “หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันกับผู้คนหลายสกุล ข้าก็คงไม่อาจรบกวนขอพบนายท่านสามครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน เรื่องนี้ อย่างไรขอพี่ชายช่วยเหลือด้วย ดูว่าพอจะสามารถให้พ่อบ้านในจวนผ่อนปรนให้ข้าพบนายท่านสามได้หรือไม่”

เถ้าแก่ใหญ่ถงฟังจบก็ตกใจไม่น้อย

งานแต่งครั้งนี้อย่างไรเขาก็ช่วยเป็นพ่อสื่อ

เขาหน้าถอดสี รีบเอ่ย “เจ้ากล่าวว่าสกุลหลี่สั่งคนไปสังหารเว่ยเสี่ยวซานมีหลักฐานหรือไม่? สกุลพวกเจ้าค้นพบเรื่องนี้ได้อย่างไร? สกุลเว่ยทราบเรื่องนี้หรือไม่? เมื่อครู่เจ้าเพิ่งพูดว่า เรื่องเกี่ยวพันกับหลายสกุล พอถึงเวลานั้นจะพูดว่าเป็นการเข้าใจผิดไม่ได้เชียว”

อวี้เหวินไม่อยากดึงอวี้ถังเข้ามาพัวพัน เพียงกล่าวว่าตัวเองเป็นคนค้นพบ ทั้งเรื่องพวกนั้นที่อวี้ถังทำก็เล่าใหม่เป็นตัวเองทำ

เถ้าแก่ใหญ่ถงพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

เขาคาดไม่ถึงเป็นอย่างมากว่า ความปรารถนาดีของตัวเองกลับกลายเป็นทำร้ายชีวิตของเว่ยเสี่ยวซาน

เถ้าแก่ใหญ่ถงทั้งรู้สึกผิดและละอายใจ

อวี้เหวินคิดว่าเถ้าแก่ใหญ่ถงกำลังกังวลว่าจะทำให้เผยเยี่ยนเสียเปรียบโดยใช่เหตุ “สกุลเผยมีพระคุณกับข้า ไหนเลยข้าจะทำลายชื่อเสียงของนายท่านสามได้ เรื่องนี้ไม่เพียงมีหลักฐาน แต่กระทั่งคนก็จับได้แล้ว แค่ไม่กล้าส่งให้ศาลาว่าการ กลัวว่าจะดึงเรื่องงานแต่งของลูกสาวมาข้องเกี่ยว จึงอยากขอให้นายท่านสามเป็นคนกลาง ตัดสินอย่างเป็นธรรม”

เถ้าแก่ใหญ่ถงช่วยเป็นพ่อสื่อให้สกุลอวี้และสกุลเว่ย ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสกุลเว่ย

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีทางเลือกให้เขาไม่เชื่อ

เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ข้าจะเข้าจวนไปขอพบนายท่านสามเดี๋ยวนี้ หากเขาไม่รับปาก ข้าก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ลุก!”

เขาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเผย เผยเยี่ยนนิสัยเป็นอย่างไร เขาย่อมกระจ่างใจดี เขาทำขนาดนี้ ย่อมสามารถทำให้เผยเยี่ยนช่วยเหลือได้ แต่เขาทำเช่นนี้ นับว่าบีบให้เผยเยี่ยนช่วยออกหน้าแทนสกุลอวี้เช่นกัน แน่นอนว่าจะกระทบตำแหน่งเขาที่อยู่ในใจของเผยเยี่ยน หรือถึงขั้นกระทบกับตำแหน่งของสกุลถงที่อยู่ในใจของเผยเยี่ยน แต่เขาก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆ

มิเช่นนั้น เขาจะขอการอภัยจากสกุลเว่ยได้อย่างไร

อวี้เหวินอยู่อย่างอิสระจนชินแล้ว ย่อมไม่รู้ถึงความซับซ้อนในใจคน เพียงคิดว่าตัวเองไม่ได้มาหาคนผิด กล่าวขอบคุณเถ้าใหญ่ถงไม่หยุดหย่อน

เถ้าแก่ใหญ่ถงจิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่มีอารมณ์จะเกรงใจอวี้เหวิน เขาโบกมือ เอ่ยว่า “เจ้ารอข่าวจากข้าก็เพียงพอแล้ว” ก่อนจะหมุนกายไปจวนสกุลเผย

เผยเยี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับเถ้าแก่ใหญ่ถงไม่น้อย ได้ยินว่าเขาขอพบก็ให้คนนำเขาไปที่ห้องหนังสือของตนทันที

รอจนเถ้าแก่ใหญ่ถงพูดจุดประสงค์ที่มาอย่างกระจ่างชัด สีหน้าของเผยเยี่ยนก็เยือกเย็นอยู่บ้าง

เถ้าแก่ใหญ่ถงเพียงคิดว่าเผยเยี่ยนไม่พอใจที่เขาสอดมือยุ่งเรื่องนี้ รีบกล่าวขอร้องกับเผยเยี่ยน “งานแต่งครั้งนี้ข้าเป็นพ่อสื่อ ในใจข้ารับไม่ได้เหลือทน หากนายท่านสามมีเวลาว่าง อย่างไรก็ขอให้มาร่วมด้วยเสียหน่อย ข้าขอขอบคุณท่านตรงนี้ล่วงหน้า!” พูดจบ ก็จะคุกเข่าลงจะคำนับให้กับเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้เหนือความคาดหมายอยู่มาก เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องงานแต่งของอวี้ถังจะมีเถ้าแก่ใหญ่ถงข้องเกี่ยวด้วย

เขาพยุงเถ้าแก่ใหญ่ถงขึ้น เอ่ยอย่างแปลกใจ “เรื่องนี้คุณหนูอวี้ทราบหรือไม่?”

เถ้าแก่ใหญ่ถงยังไม่รู้ว่าอวี้ถังทราบหรือไม่ เขาเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “คง…รู้กระมัง? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ความต้องการของสกุลอวี้คืออยากออกหน้าให้สกุลเว่ย ดังนั้นคุณหนูอวี้ย่อมต้องรู้…แต่ว่า อาจไม่รู้ก็ได้ นายท่านอวี้มีลูกสาวเพียงคนเดียว คนที่พบปะดูตัวถูกคนที่เคยขอหมั้นทำร้าย ไม่ว่าใครรู้ในใจย่อมยากจะทนรับ ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูอวี้อายุยังน้อย ยังต้องออกเรือน หากมีรอยด่างพร้อยในใจก็คงไม่ดี…”

เผยเยี่ยนลูบคาง “เด็กสกุลเว่ยคนนั้นพบปะดูตัวกับคุณหนูอวี้เมื่อใด?”

เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ย “ฤดูร้อน หลังจากเคลื่อนศพท่านผู้เฒ่าไม่นานเท่าใด วันอะไร ข้าก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว”

เผยเยี่ยนครุ่นคิด นั่นไม่ใช่ก่อนที่เขาจะช่วยคุณหนูอวี้หรอกรึ

เห็นสถานการณ์ในยามนั้น คุณหนูอวี้และหลี่จวิ้น ลูกคนรองของสกุลหลี่ผู้นั้นยังเกรงอกเกรงใจกันอยู่ ไม่ทีท่าทีเหมือนจะแตกหักกันแต่อย่างใด

เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าไปถามให้ชัดเจน ตกลงคุณหนูสกุลอวี้รู้เรื่องนี้หรือไม่ แล้วพวกเราค่อยว่ากัน”

เถ้าแก่ใหญ่ถงชะงักไป

เรื่องนี้ไม่ใช่ควรทำให้กระจ่างว่าสกุลหลี่ได้สั่งให้คนฆ่าเว่ยเสี่ยวซานที่กำลังดูตัวกับคุณหนูอวี้เหมือนดั่งที่สกุลอวี้บอกหรือไม่หรอกรึ? ไฉนสิ่งที่นายท่านสามกังวลที่สุดกลับเป็นเรื่องที่คุณหนูอวี้ทราบเรื่องนี้หรือไม่ล่ะ?

นายท่านสามคิดอย่างไรกัน?

นี่ไม่ใช่ว่าให้ความสนใจผิดที่หรอกรึ?

เถ้าแก่ใหญ่ถงมึนงงอยู่บ้าง แต่เขาเป็นเถ้าแก่โรงจำนำมาทั้งชีวิต นอกจากต้องตาดีตาไวมองของที่มาจำนำให้ชัดเจนแล้ว ยังต้องรู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูด มองคนที่นำของมาจำนำให้ออก

เขาสามารถพูดได้ว่าสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบมาทั้งชีวิต

ปฏิกิริยานายท่านสามไม่ถูกต้อง!

หัวเขาแล่นอย่างว่องไว ใบหน้ากลับกล่าวอย่างนอบน้อม “เรื่องนี้ข้ายังทำได้ไม่ดี ข้าจะไปถามเดี๋ยวนี้ว่าคุณหนูสกุลอวี้รู้เรื่องนี้หรือไม่”

เผยเยี่ยนผงกศีรษะ

เถ้าแก่ใหญ่ถงรีบไปสกุลอวี้

เผยเยี่ยนคัดลอกคัมภีร์ของเขาต่อ ในใจกลับไม่เหมือนยามปกติที่สามารถรวบรวมสมาธิได้อย่างรวดเร็วอีกแล้ว ในหัวมักปรากฏภาพครั้งแรกที่อวี้ถังเดินพราวเสน่ห์ไปหาหลี่จวิ้นที่วัดเจาหมิง

เขาไม่รู้สึกว่าคุณหนูอวี้เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ สุภาพกิริยางาม มิเช่นนั้นนางก็คงไม่วิ่งโร่ไปโรงจำนำ ทำตัวเป็นนักต้มตุ๋น ทั้งดึงสกุลเผยมาข่มขู่คนอื่นหรอก

ยามที่อวี้ถังอยู่วัดเจาหมิงแปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมชอบพอกับหลี่จวิ้น จึงได้หลอกล่อให้หลี่จวิ้นลุ่มหลง

ส่วนหลี่จวิ้น กำลังอยู่ในช่วงเยาว์วัย คาดว่าคงไม่มีสมองเท่าใด ถูกคุณหนูสกุลอวี้ปั่นหัวจนหน้ามืดตามัว ไม่เพียงตกหลุมพรางของคุณหนูอวี้ ยังเอาชื่อเสียงอนาคตไปไว้กับนาง ร้องไห้โวยวายจะแต่งเข้าสกุลอวี้

มองจากจุดนี้ คุณหนูอวี้ก็นับว่าเป็นคนใจกล้าทั้งรู้จักวางแผน ใต้ต้นสนตื่นรู้มีชายหนุ่มมากความสามารถขนาดนั้น นางไม่ได้ถูกใจเสิ่นฟางที่โดดเด่นที่สุด กลับพบรักกับหลี่จวิ้นที่ไม่มีความคิดอะไรในพริบตาเดียว สายตาเช่นนี้ เกรงว่าในหมู่หญิงสาวคงมีเพียงคนเดียว

เผยเยี่ยนตระหนักถึงตรงนี้ ก็หวนนึกภาพที่พบอวี้ถังในสำนักศึกษาประจำอำเภอขึ้นมา

สายตาที่หลี่ตวนมองคุณหนูอวี้กระจ่างพร่างพราวราวกับเปลวไฟ แทบปกปิดไม่มิดแม้แต่น้อย

คุณหนูอวี้ก็คงจะรู้ดี ยังหลบเลี่ยงท่าทีของหลี่ตวนเล็กน้อย

เพียงไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคุณหนูอวี้คือต้องการตกลูกเขยเข้าบ้าน? หรืออยากแต่งออกไปสกุลหลี่กันแน่?

หลี่ตวนเป็นลูกชายคนโต สกุลหลี่แต่งภรรยาให้เขา คงให้ความสำคัญกับสกุลเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าคุณหนูอวี้ย่อมหมดหวัง แต่พูดตามตรง หลี่ตวนนั้นมีความสามารถมากกว่าหลี่จวิ้น ยากจะรับประกันว่าหลังจากคุณหนูอวี้เห็นหลี่ตวนแล้วจะรังเกียจที่หลี่จวิ้นไร้ประโยชน์

ใครจะรู้ว่าภายในมีเรื่องราวอะไร?

ไม่แน่ว่าเด็กสกุลเว่ยตายก็อาจเป็นแผนของคุณหนูสกุลอวี้คนนั้น

หากเป็นเช่นนี้ นั่นก็น่าสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว

จู่ๆ เผยเยี่ยนก็จิตใจฟุ้งซ่าน กระทั่งคัมภีร์ก็ไม่อยากคัดแล้ว

เขาเรียกเผยหม่านมาถาม “หลี่ตวนหมั้นหมายหรือยัง? เป็นคุณหนูของสกุลใด?”

สกุลหลี่มีความหมายต่อสกุลเผยอย่างไร คนอื่นไม่รู้ แต่เผยหม่านที่เป็นพ่อบ้านใหญ่กลับกระจ่างแจ้งดี

แม้เขาจะไม่อาจพูดได้ว่ารู้เกี่ยวกับสกุลหลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เรื่องธรรมดาก็ล้วนทราบหมด

เผยหม่านตอบทันที “หมั้นหมายแล้วขอรับ เป็นลูกสาวภรรยาเอกบ้านรองของสกุลกู้ในหังโจว น้องสาวของใต้เท้ากู้ฉ่าง”

เขารู้จักกู้ฉ่าง

สอบเป็นซู่จี๋ซื่อก่อนเขาหนึ่งรุ่น ปัจจุบันรับตำแหน่งจี่ซื่อจง[2]ในกรมพิธีการ เป็นลูกหลานที่สกุลกู้เห็นว่ามีอนาคตที่สุด

นี่ก็ถูกแล้ว!

ไม่ว่าคุณหนูอวี้จะวางแผนอย่างไร เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายสมใจขนาดนั้น

ทางด้านเถ้าแก่ถงใหญ่ถามขึ้นมาว่าอวี้ถังรู้เรื่องที่สกุลหลี่สั่งคนไปฆ่าเว่ยเสี่ยวซานหรือไม่ อวี้เหวินกลับยืนกรานปฏิเสธ เถ้าแก่ใหญ่ถงกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องบอกความจริงแก่ข้า ข้าไปพบนายท่านสามมา นายท่านสามไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น ถามเพียงว่าคุณหนูอวี้ทราบเรื่องนี้หรือไม่ จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เจ้าอย่าได้ปิดบังเรื่องราว ถึงเวลานั้นหากมีสกุลหลี่ร่วมด้วย กล่าวเรื่องไม่เหมือนที่นายท่านสามรู้มา ก็จะเป็นการทำร้ายนายท่านสาม ยกก้อนหินขึ้นมาทับเท้าตัวเอง!”

—————————-

[1]อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองไว้ในมือก็กลัวบาดเจ็บ อุปมาถึง ความรักใคร่ทะนุถนอมของพ่อแม่ที่มีต่อลูก

[2]จี่ซื่อจง เป็นขุนนางที่ช่วยเหลือฮ่องเต้จัดการข้อราชการของขุนนาง รับผิดชอบตรวจสอบการทำงานของหกกรม จดลงทะเบียนจัดเก็บราชโองการและสาสน์ต่างๆ ทั้งยังมีอำนาจในการเข้าร่วมประชุมเรื่องสำคัญในราชสำนัก