โถงเหวินเหยียนเป็นสถานที่ของปรมาจารย์ยาว์ และมันซอมซ่อกว่าโถงของจ้าวลัทธิทั้งหลายมากนัก นี่คงเป็นเพราะว่าปรมาจารย์ไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และศักดิ์ฐานะของเขานั้นต่ำกว่าจ้าวลัทธิทั้งหลายเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าในสายตาของฉินมู่แล้ว มันก็เพราะปรมาจารย์ไม่เคยได้เป็นจ้าวลัทธิเช่นกัน ที่ทำให้เขาวางหลายๆ อย่างลงได้ และสำเร็จในสิ่งที่จ้าวลัทธิเหล่านั้นไม่เคยกระทำ
ปรมาจารย์เยาว์และราชครูสันตินิรันดร์เป็นอาจารย์และศิษย์อยู่ครึ่งตัว เมื่อราชครูสันตินิรันดร์มาเยือนเขา เขาก็ริเริ่มเสนอให้ราชครูได้ชมดูคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ทั้งยังบอกเขาถึงหลักการใหญ่ของมรรคาแห่งนักบุญ จากนั้นเขาก็เขียนจดหมายด้วยตนเองเพื่อแนะนำชายหนุ่มผู้นี้ไปยังสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำราม
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของราชครูสันตินิรันดร์เกี่ยวข้องกับเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน
หลังจากนั้นเมื่อสันตินิรันดร์เริ่มการปฏิรูป เขาก็ยังคงเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เยาว์ แม้แต่การก่อตั้งสถาปนามหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เกี่ยวพันกับเขาอย่างลึกล้ำ
เขานั้นเป็นอธิการบดีคนแรกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และเมื่อราชครูสันตินิรันดร์ผลักดันการปฏิรูปต่อไป ก็มักจะมาขอความคิดเห็นจากเขา
ในการปฏิรูปของสันตินิรันดร์มียักษ์ใหญ่ที่สำคัญอยู่สามคน สองยักษ์ใหญ่คือ ราชครูและจักรพรรดิ อยู่ในที่เปิดเผย ขณะที่ปรมาจารย์เยาว์คือยักษ์ใหญ่คนที่สามอันซ่อนอยู่ข้างหลังฉาก
เพียงแค่ความสำเร็จพวกนี้ ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่มีความสำเร็จทัดเทียมกับปรมาจารย์เยาว์ได้
และกระนั้นก็เพราะว่าเขามิใช่จ้าวลัทธิ เขาจึงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่ากับจ้าวลัทธิ ทำให้ฉินมู่รู้สึกรันทดใจแทนเขา
“เจ้ายังไม่เปลี่ยนอารมณ์ร้อนของเจ้าอีก”
ปรมาจารย์เยาว์นำฉินมู่เข้าไปในโถง ขณะที่กระดูกมหึมาและเกล็ดของกิเลนมังกรถูไถตัวเขาไปมาตลอด ถึงขนาดที่ว่าเสื้อผ้าของปรมาจารย์เยาว์ขาดวิ่นและขาของเขาก็แดงเถือก
กระนั้นเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวกับฉินมู่ “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดถูกเจ้าอัดจนน่วม! เจ้าคิดว่าพวกเขาถือศีลกินเจกันหรืออย่างไร พวกเขาคือผู้มีอิทธิพลในยมโลก! หลังจากที่เจ้าแก่ตายลงมา เจ้าจะอยู่อย่างไรในยมโลก…”
“ปรมาจารย์…” ฉินมู่พลันกอดเขาแน่น ขณะที่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เขาไม่ปล่อยอีกฝ่ายหลุดไปแม้ว่าจะกอดไว้เนิ่นนาน “ข้าคิดถึงท่าน”
โครงกระดูกเด็กหนุ่มหมายที่จะปาดป้ายน้ำตา แต่มันไม่มีน้ำตาให้ปาด เขาสำลักสะอื้นและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าท่านไปสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าในแดนโบราณวินาศ และเพียงแต่ได้ยินจากซีอวิ๋นเซี่ยงในภายหลัง ผู้อาวุโสคุมกฎนำเถ้ากระดูกของท่านกลับมา แต่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นข้าจึงมาเจอท่านที่นี่ในตอนนี้! ข้าปิดบังจากมังกรอ้วนเอาไว้ตลอด ไม่กล้าบอกเขา แต่ข้าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”
ปรมาจารย์เยาว์ตะลึงงัน เขาตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆ และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้าเพียงแต่ไปมีชีวิตอยู่ที่อื่นเท่านั้น ดูสิ ข้ายังมีเลือดและเนื้อ ในสายตาของข้า พวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนตาย หรือข้าต้องตีอกชกหัวร้องไห้รำพันเช่นกันล่ะ นี่ นี่ จ้าวลัทธิฉินออกจะดุร้ายตอนที่ด่าทอและทุบตีบรรพชนทั้งหลาย แต่ทำไมตอนนี้เจ้าทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ…พอแล้ว กิเลนมังกร ขาข้าโดนเจ้าถูจนเลือดไหลแล้ว! เจ้ายังถูไถข้าไม่พอหรืออย่างไร”
กิเลนมังกรหมายจะแลบลิ้นออกมาเพื่อช่วยเขาเลียบาดแผล แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีลิ้น เขาจึงถอยไปอย่างอิดออด แต่สักพักหนึ่ง เขาก็อดใจไม่ไหว เข้าไปถูไถขาของปรมาจารย์เยาว์อีกครั้ง
ปรมาจารย์เยาว์อึ้งกิมกี่ เขาไม่ได้พบกิเลนมังกรมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อพบกันทีแรก พวกเขาก็กอดคอกันร้องไห้อย่างมากด้วยเพราะความสนิทกันมาก่อน แต่เมื่อมังกรอ้วนนี่ถูขาเขาไม่หยุด เขาก็เริ่มจะรำคาญ และอยากเสียยิ่งกว่าอะไรที่จะโยนเจ้านี่ทิ้งไปไกลๆ
“ข้าอยากจะพบกับนักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสอนของเขาบนก้อนหิน อีกทั้งบรรพจารย์ก่อตั้ง เช่นเดียวกับกษัตริย์ทั้งสาม” ฉินมู่กล่าว “ปรมาจารย์ พวกเขาอยู่ในยมโลกด้วยไหม”
“เจ้าไม่มีทางได้เห็นสามกษัตริย์อีกต่อไป ดวงวิญญาณของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยความเศร้า “พวกเขาตายในการศึก แต่ก็ยังรีดเร้นตนเองให้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหินไปยังจ้าวลัทธิคนถัดไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถป้องกันดวงวิญญาณของตนเองและเข้ามาในยมโลกได้ ข้าคิดว่าข้าน่าจะได้พบบรรพจารย์ก่อตั้งที่นี่เช่นกัน แต่ข้าไม่เคยเห็นเขา นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน”
ฉินมู่ตกตะลึง นอกจากยมโลกแล้ว มีที่ไหนอีกที่นักบุญคนตัดไม้และบรรพจารย์ก่อตั้งจะไป
รูปสลักหินของร่างเนื้อนักบุญคนตัดไม้ยังคงยืนอยู่ในนครหยกน้อย มองตรงไปยังแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกไปจากร่างและเดินทางไปยังสถานที่อื่น หลังจากที่บรรพจารย์ก่อตั้งได้ก่อตั้งลัทธิของเขาและสถาปนาความคิดลงในข้อเขียนนิพนธ์ เขายังมิได้สถาปนากุศล ดังนั้นเขาจึงยังไม่สำเร็จเป็นนักบุญ เขาก็น่าจะยังไม่บรรลุเป็นเทพเจ้าเช่นกัน ดังนั้นเขาก็น่าจะตายไปจากความชรา แต่ตอนนี้เขาหายไปที่ไหนกันนะ
ปรมาจารย์เยาว์ลังเลและกล่าว “เจ้าทุบตีอดีตจ้าวลัทธิ…”
“ปรมาจารย์ ข้าเป็นจ้าวลัทธิ พวกเขาก็เป็นจ้าวลัทธิ เช่นนั้นทำไมข้าต้องลดตัวต่ำกว่าพวกเขาด้วยล่ะ ข้ายังเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกด้วย ดังนั้นศักดิ์ฐานะของข้ายิ่งเหนือกว่าพวกเขา หากว่าท่านต้องการให้ข้าพูดพินอบพิเทาพวกเขา ข้าทำไม่ได้หรอก” ฉินมู่กล่าว
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอาวุโสต่ำสูง และผู้ที่ค้นพบสัจจะควรจะเป็นครูบา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอดีตเจ้าลัทธิ พวกเขาก็มีความหัวแข็งในแบบต่างๆ กันไป หากว่าข้าไม่ทุบตีพวกเขาให้น่วม พวกเขาก็คงจะเอาแต่พูดว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของข้าได้มาอย่างไม่เหมาะสม หลังจากทุบตีพวกเขา ถึงจะค่อยหุบปาก ยิ่งไปกว่านั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในมือของพวกเขาไม่มีความสำเร็จใดๆ และมรรคาเต๋าก็กลายเป็นแปดเปื้อนต่ำช้า ดังนั้นพวกเขาสมควรแล้วที่จะถูกทุบตี”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจแล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เจ้าไม่มีกายเนื้อ แล้วเจ้าใช้พลังวัตรของเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าเคยมาที่นี่กับผู้ใหญ่บ้านหนึ่งครั้ง และในตอนนั้นที่ข้าตระหนักว่า การที่ข้าเปลี่ยนแปลงเป็นโครงกระดูกนั้นเป็นเพียงภาพมายา กายเนื้อของข้าที่หายไป และการที่พวกท่านฟื้นคืนชีพ นั้นก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนตรเทวะของท่านปู่บอดทำให้ข้าสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งในยมโลก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็สามารถใช้พลังวัตรและทักษะเทวะในยมโลกได้ ข้าสามารถสัมผัสถึงกายเนื้อของตนได้ ปรมาจารย์ ท่านคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่สายตาของข้า…”
ความเศร้าโศกอันไร้ประมาณโถมท่วมหัวใจของเขา และเขาไม่พูดต่อ
เบื้องหน้าเนตรเทวะของเขา ปรมาจารย์ผู้ดูเหมือนจะมีชีวิตมีลมหายใจเป็นเพียงแค่โครงกระดูก
เมื่อฉินมู่ก้าวเข้ามาในยมโลก นั่นคือทั้งหมดที่เขาเห็น
ผู้คนอันเดินขวักไขว่ไปมาในเมืองแห่งยมโลกอันคับคั่ง ล้วนแต่เป็นโครงกระดูกและภูตผี มีก็แต่เขาเท่านั้นที่เดินทางผ่านเมืองด้วยกายเลือดเนื้อ นั้นเป็นวิญญาณอันโดดเดี่ยว แยกขาด และลำพัง
แม้เมื่อเขาสนทนาอย่างคึกคักกับอดีตกษัตริย์มนุษย์ในโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง เขาก็เพียงแค่ได้สนทนากับโครงกระดูกหลายสิบโครง
มีแต่ก็ในอาณาเขตของระหว่างเป็นตาย ที่เขาจะได้เห็นอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดมีเลือดเนื้อเดิม
นั่นคือภาพที่ฉินมู่เห็นเมื่อเขาใช้เนตรเทวะอันเฒ่าบอดถ่ายทอดให้แก่เขา
สายตาของเขาแตกต่างไปจากสายตาของพวกผีทั้งหลายในยมโลก
ในแดนเป็นของคนตาย ความเป็นและความตายพลิกผัน แต่ปรมาจารย์ อดีตกษัตริย์มนุษย์ และอดีตจ้าวลัทธิ ก็ยังคงเป็นคนตายอยู่ดี
ฉินมู่ไม่กล่าวทั้งหมดนี่ เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ปรมาจารย์ ท่าน ราชครู และจักรพรรดิ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการปฏิรูป บัดนี้เมื่อท่านมาอยู่เสียที่นี่ แล้วการปฏิรูปจะเดินต่อไปได้อย่างไร”
ปรมาจารย์เดินไปข้างๆ เขาเพื่อป้องกันไม่ให้กิเลนมังกรมาเดินวนพันรอบๆ ตัวเขาอีกครั้ง เขาแย้มยิ้มและกล่าว “เส้นทางแห่งการปฏิรูปได้เริ่มต้นแล้ว และจะไม่จบสิ้น สิ่งที่ราชครูได้ปฏิรูปนั้นคือประเพณี สันดานทาส และการต่อสู้ระหว่างสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกหล้าไม่ต้องมาต่อสู้เพื่อสำนักของตนอีกต่อไป และเผาผลาญพลังงานของพวกเขาเพื่อความว่างเปล่า นี่ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงกรอบคิดของสำนักแต่ละสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทำงานเพื่อผู้คนและรับใช้พวกเขา นี่คือความคิดและโครงการอันยิ่งใหญ่”
เขามายังสวนข้างหลังโถงเหวินเหยียนและส่งกรรไกรหนึ่งเล่มให้กับฉินมู่ เขาเองก็มีกรรไกรเล่มหนึ่งเหมือนกัน และตัดแต่งกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาอย่างพิถีพิถัน “สิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิรูปคือการเปลี่ยนความเคยชินแย่ๆ ในหัวใจของผู้คน ผลักเทวรูปข้างในพวกเขาให้ล้ม การทำลายเทพเจ้าในหัวใจผู้คนนั้นมิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องกระทำ แต่เป็นสิ่งที่ทั้งโลกหล้าต้องร่วมแรงกระทำ หากว่าใครสามารถทำลายเทพและพุทธในหัวใจตนได้ นั่นก็จะเป็นการสั่งสมความรุ่งเรืองให้แก่โลก”
ฉินมู่ช่วยตัดแต่งต้นไม้ และเปลี่ยนกอดอกไม้กอหนึ่งให้กลายเป็นแม่ไก่มังกรที่โล้นเลี่ยนไร้ขน เมื่อปรมาจารย์เยาว์กล่าวจบ เขาก็หยุดใคร่ครวญถ้อยคำของเขาก่อนจะพยักหน้า “ผู้คนในโลกหล้าสวดภาวนาต่อเทพเจ้าและพุทธองค์เพื่อขอลม ขอฝน และการเก็บเกี่ยวที่อุดม เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขารุ่งเรืองและมีลูกหลานมากมาย หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถทำให้คำภาวนาของพวกเขาเป็นจริงได้ มันก็ย่อมจะช่วยทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจพวกเขาอย่างแน่นอน”
ปรมาจารย์เยาว์มองไปยังไม้ใบและไม้ดอกที่เขาตัดแต่งจนยุ่งเหยิงไปหมด และละสายตาออกไปครู่หนึ่ง “ข้าได้กล่าวเช่นนี้กับราชครูมาก่อน นั่นก็คือการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ อย่างแรกเขาต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ มันจะช่วยยกระดับผลผลิตของจักรวรรดิและส่งเสริมผู้คน เมื่อเศรษฐกิจถูกเปิดออก ความรู้ของผู้คนก็จะเปิดหงายเช่นกัน พูดให้เรียบง่ายแล้ว เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะใช้ทักษะเทวะของพวกเขาเพื่อช่วยชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวนาก็จะจ่ายเงินทองให้เขา และด้วยเงินที่ได้รับมา เขาก็จะใช้มันซื้ออาหารและทรัพยากรสำหรับการฝึกวิทยายุทธ”
“เงินนี้ก็จะไหลกลับไปถึงมือผู้คน พวกเขาก็จะต้องจ่ายภาษีให้กับจักรวรรดิ เพื่อให้จักรวรรดิมั่งคั่งขึ้น เมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง มันก็จะสามารถเปิดการคมนาคมและการชลประทานได้มากมาย อันเพื่อความสะดวกและเพื่อประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไป ดังนั้นเมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง ผู้คนก็มั่งคั่ง เมื่อผู้คนมั่งคั่ง ทรัพยากรก็ดกดื่น ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะสามารถซื้อหาทรัพยากรได้ทุกชนิดทุกแบบ และวรยุทธของพวกเขาก็จะรุดหน้าไปกว่าเก่าก่อน ผู้คนจะกลายเป็นแข็งแกร่ง และจักรวรรดิก็จะกลายเป็นแข็งแกร่ง”
ฉินมู่กำลังดื่มดำ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อเขาหันกลับไปมอง เขาก็เห็นจ้าวลัทธิจู่หยาง จ้าวลัทธิอวี้เหลียน จ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย และคนอื่นๆ เข้ามาในโถงเหวินเหยียนด้วยจิตสังหารอันคุกรุ่น
อดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายมิได้ลงมือ แต่กลับหยุดเท้าและเงี่ยหูรับฟัง
“สามัญชนได้กลายเป็นทาสของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลมาเนิ่นนาน และบัดนี้พวกเขาก็มีนิสัยสันดานของความเป็นทาส เมื่อเจ้าคุกเข่าลงครั้งหนึ่ง ก็ยากที่จะลุกขึ้นมาอีก ตอนนี้ราชครูกำลังทำให้ผู้คนลุกขึ้นยืน แต่นี่ต้องอาศัยเวลา กระนั้น การปฏิรูปก็กำลังเคลื่อนไปอย่างแช่มช้า ผู้คนเดี๋ยวนี้ไม่คุกเข่าให้กับผู้ฝึกวิชาเทวะอีกต่อไปแล้ว”
ความคิดของปรมาจารย์เยาว์เต็มไปด้วยการปฏิรูป และเขาไม่สำเหนียกของการมาเยือนของอาคันตุกะ เขาหวนรำลึกถึงอดีต “ข้าเคยเห็นสถานการณ์ก่อนการปฏิรูป ในตอนนั้น สำนักและลัทธิทั้งหลายมีมากมาย และชาวนาทั้งหลายก็ถูกโบยตีด้วยชีวิต พวกเขาจะต้องคุกเข่าและเรียกค่ายสำนักเหล่านั้นว่านายผู้เฒ่า บรรณาการพวกเขาด้วยเนื้อและธัญญาหาร เพื่อเปลี่ยนแปลงสันดานทาสเช่นนี้ ราชครูและข้าใช้เวลาราวๆ สองร้อยปี เมื่อผู้คนลุกขึ้นได้ ก็ยากที่พวกเขาจะคุกเข่าลงไปใหม่เช่นกัน”
ฉินมู่จดจำได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนมากมายคุกเข่าลงตรงหน้ารูปสลักหินที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน “พวกเขายังคงคุกเข่าให้กับเทวรูป”
ปรมาจารย์เยาว์มีสีหน้าประหลาด “ราชครูกล่าวว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารนั้นง่ายกว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ แต่สำหรับข้า การทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารก็ไม่ง่ายเช่นกัน ข้าเคยทำการทดลองเล็กๆ หนหนึ่งเพื่อทดสอบหัวใจของผู้คน ข้าสร้างวิหารเล็กๆ เอาไว้ที่นอกเมืองหลวง และเปิดสติปัญญาของหมาขี้เรื้อนสกปรกหนึ่งตัว จากนั้นให้มันนั่งอยู่บนวิหาร เจ้าเดาออกหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ”
เขาถอนหายใจและกล่าว “ภายในไม่กี่วัน วิหารหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยธูปเทียนบูชา และยังมีผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากมายถวายเครื่องเซ่น กล่องบริจาคข้างหน้าหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยเงินทอง หากว่าเจ้าวางคางคกไว้ในวิหาร มิใช่หมาขี้เรื้อน ผู้คนก็ยังคงใส่เงินทองให้มันจนเต็มปรี่และนำธูปเทียนมาจุดเซ่นไหว้”
ฉินมู่หัวเราะ แต่ไม่เท่าไรเขาก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
“นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องเปิดเศรษฐกิจ และทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น เมื่อนั้นพวกเราถึงจะสามารถทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารและเทพเจ้าในหัวใจ” ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “และเพื่อทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น พวกเราก็ต้องการพวกเจ้าให้ดำเนินการปฏิรูปต่อ และเพิ่มพูนจำนวนของผู้ฝึกวิชาเทวะ ให้พวกเขากลายเป็นดาษดื่นมากยิ่งขึ้นและบรรลุเป็นเทพเจ้า”
“เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะที่บรรลุเป็นเทพเจ้ายังคงรับใช้ผู้คนธรรมดาสามัญ ผู้คนทั้งหลายก็จะไม่สวดภาวนาต่อเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป ด้วยสติปัญญาใหม่ ก็จะมีแต่เพิ่มจำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะขึ้นไปอีก”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม “เปิดเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนฉลาดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งในมรรคาแห่งการปฏิรูป สิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ดีแล้ว ทักษะเทวะจะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของผู้คน แต่ยังต้องอาศัยเวลาสักหน่อยเพื่อให้ผู้คนบ่มเพาะสติปัญญาและไม่คุกเข่าให้กับเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป การเดินทางนี้เหนื่อยยาก และอันดับแรกมันก็จะไปแตะต้องผลประโยชน์สำนักต่างๆ ก่อนที่จะไปแตะต้องผลประโยชน์ของเทพสูงส่ง”
“เหนือฟ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ของเทพสูงส่งทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ภยันตรายอันร้ายกาจกว่านี้จะซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลัง” เขาตัดแต่งกิ่งอันชี้โด่เด่และกล่าว “การปฏิรูปของราชครูได้เพิ่มท่วงท่ากระบี่เข้าไปอีกสามท่วงท่า และเริ่มการเปลี่ยนแปลงของมรรคาและวิชาในฟ้าและดิน เจ้าเผยแพร่วิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปด้วยการเชื่อมต่อสะพานเทวะ ได้ผลักดันการปฏิรูปไปอีกก้าว”
“ซีอวิ๋นเซี่ยงได้จุดธูปและภาวนาถึงข้า บอกข้าว่าเจ้าและองค์หญิงอวี้จิวได้ก่อตั้งวิชาในการปลุกจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นหกทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ร่วมกันสานต่อบนรากฐานนี้และสรรค์สร้างวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะมากมาย นั่นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องอันดีงาม”
เขายืนหลังตรง “ด้วยมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่รุดหน้าไปทุกวี่วัน ก็จะยิ่งมีเทพเจ้าในจักรวรรดิสันตินิรันดร์มากขึ้นทุกที ในเวลาไม่นาน เทพเจ้าในวิหารก็จะถูกทุบทำลาย และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเราก็คงไม่ห่างไกลจากการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ!”
ฉินมู่จิตไหวสะท้าน และเขาโยนกรรไกรลง จากนั้นโค้งคารวะจนแทบจรดพื้น “ปรมาจารย์ ท่านเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า!”
ปรมาจารย์เยาว์ก็รีบโยนกรรไกของเขาทิ้งและพยุงตัวเขาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเรา ดังนั้นเจ้าจะมาเรียกข้าว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ในตอนนั้นเอง อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดในบริเวณโดยรอบก็โค้งคารวะแทบจรดดินและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ครูบาศักดิ์สิทธิ์!”
ปรมาจารย์เยาว์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นพวกเขา และตอนนี้ก็ตะลึงงัน
“ครูบาศักดิ์สิทธิ์คือนักบุญผู้เป็นครูสั่งสอน จ้าวลัทธิในอดีตทั้งหลายไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ มีก็แต่ท่านที่สมควรแก่คำเรียกหานี้และคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!”
ปรมาจารย์เยาว์ว้าวุ้น อารมณ์หลากหลายเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาข่มน้ำตาที่หลั่งไหลอาบหน้ามิได้
เขานั้นไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และมักจะถูกกีดกันออกนอกวงอำนาจในลัทธินักบุญสวรรค์ เขานั้นเพียงแต่เข้ามาแบกรับภาระของลัทธินักบุญสวรรค์ในสภาวะคับขันเท่านั้น
นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาไม่เคยคิดฝันว่า เขาจะได้เป็นเหมือนกับนักบุญคนตัดไม้ ได้รับความเคารพนับถือจากอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!
ผู้เดียวอันคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด มีก็แต่นักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหิน
……………………