ตอนที่ 49 พูดคุยยามค่ำคืนอีกครั้ง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ช่าจื่อเดิมคิดอยากจะไปกับชิงหลัว แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าตอนกลางวันกินอะไรเข้าไป จู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาเช่นนี้ นางพูดออกมาไม่กี่คำ ก่อนจะพุ่งตัวราวกับจรวดเข้าห้องน้ำไป ชิงหลัวส่ายหน้าอย่างขบขัน ไม่ได้สนใจนาง ทั้งไม่ได้รั้งรอก็เดินไปหาจินหรุ่ยทันที…

หลังจากนั้นไม่นาน อีกด้านหนึ่งทางห้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ที่ซึ่งจื่อหลัวไม่อาจมองเห็น ได้มีเงาดำร่างเล็กเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง

“คุณหนู ข้าทราบว่าท่านอยากสร้างความประทับใจที่ดีต่อคนตระกูลซั่งกวน แต่ท่านเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” แม่นมฉินคล้ายกับเพิ่งร่ายยาวติดๆ กันเสียอย่างนั้น นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะนั่งลงข้างๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งรินน้ำชาให้นาง ท่าทางที่เอาใจใส่เช่นนั้น ทำให้คนที่แอบมองและแอบฟังตกใจไม่น้อย

“แม่นม ข้ารู้ดีว่าวันนี้ข้าทำให้ท่านผิดหวังจริงๆ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างอ่อนโยน “และข้าก็รู้อีกว่า พวกเซียงเสวี่ยนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะก่อเรื่องหรอก เพียงแค่ติดนิสัยที่ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุดก็เท่านั้น แต่แม่นม ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรปล่อยให้คนของเรือนสดับวายุลำบากใจ”

“ลำบากใจ คงจะลำบากใจอย่างยิ่งสินะเจ้าคะ” แม่นมฉินกล่าวอย่างโมโห “มีแม่นมตู้ผู้นั้นที่ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา ทั้งช่าจื่อและเยียนหงที่แทบไม่นับจะเป็นสาวใช้ พวกนางก็ไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเช่นกัน ท่านยังลำบากใจอะไรอีกหรือเจ้าคะ? ท่านเพิ่งจะถึงลี่โจว คุณหนูใหญ่ซั่งกวนก็พาอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาข่มขู่หน้าประตูจนน่าลำบากใจถึงเพียงนั้น? ทั้งท่านยังไม่ทันได้ก้าวเข้าห้องหอก็จำเป็นต้องยอมรับหญิงสาวที่ไม่ใช่คนสูงส่งหรือด้อยค่าผู้นั้น หนำซ้ำยังคอยปกปิดความผิดพลาดให้พวกเขาจนลำบากใจถึงเพียงนี้?”

“แม่นม ท่านเบาเสียงหน่อย หากมีคนมาได้ยินแล้วสงสัยเรื่องอู๋เลี่ยนเยี่ยนเข้าคงไม่ดีแน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเตือน

“ท่านนี่นะ แม้จะหลักแหลม แต่นิสัยกลับโอนอ่อนถึงเพียงนั้น เป็นฝ่ายเสียเปรียบยังจะพูดออกหน้าให้คนอื่นอีก!” แม่นมฉินกล่าวอย่างรู้สึกเสียใจที่นางไม่เป็นอย่างที่หวังอยู่บ้าง

“แม่นม ยามที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เคยกล่าวไว้หรอกหรือว่าการเสียเปรียบก็คือการได้เปรียบ ฉะนั้นท่านอย่าขุ่นเคืองไปเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินไปประจบอยู่ด้านหลังแม่นมฉิน ค่อยๆ นวดหลังให้นางอย่างเบามือ

“คุณหนูคนดีของข้า นิสัยเช่นนี้ของท่านจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซั่งกวนได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” แม่นมกล่าวอย่างปวดใจ “เดิมที ข้าอยากหยิบยืมเรื่องของอู๋เลี่ยนเยี่ยน เพื่อจะแก้ต่างให้คุณหนูหลิงหลง ให้นางจดจำน้ำใจของท่านเอาไว้ ทั้งเพื่อให้นายท่านซั่งกวนและว่าที่เขยยอมรับน้ำใจของท่าน รับรู้ถึงความปรารถนาดีของท่าน อีกด้านหนึ่งก็อยากแสดงอำนาจให้ตระกูลซั่งกวนนั้นไม่กล้าที่จะดูหมิ่นดูแคลน จึงสามารถจัดการเรื่องนั้นได้อย่างไม่มีช่องโหว่สักนิด แต่ท่านก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ หากไม่ช้าก็เร็วพวกเขารู้ว่าท่านเป็นคนใจอ่อน ยามนี้ข้ายังอาจจะกระโดดออกมาขวางไม่ให้พวกเขาล้ำเส้นออกมาได้ แต่ข้าก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ยงคงกระพันเสียเมื่อไร ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจจะไม่อยู่แล้ว ถึงเวลานั้นไม่ใช่ว่าท่านคงจะปล่อยให้พวกเขากลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกหรอกนะเจ้าคะ?”

“แม่นม ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านอย่าลืมสิ ท่านเคยบอกข้าว่าจะรออุ้มลูกให้ข้า ท่านเห็นข้าเติบใหญ่ เพื่อเป็นภรรยา เพื่อทำหน้าที่มารดา ทั้งยังอยากเห็นลูกของข้าเติบใหญ่ พวกเราไม่ใช่ว่าคุยกันไว้แล้วหรอกหรือ?”

“คุณหนู แม้จะว่าอย่างนั้น แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่ข้างกายท่านตลอดไปได้นะเจ้าคะ” แม่นมกล่าวอย่างเศร้าใจ “ข้าเห็นคุณหนูฉิงเติบใหญ่ เห็นคุณหนูฉิงให้กำเนิดท่านตัวน้อยๆ ทั้งเห็นท่านโตเป็นสาวและออกเรือน นั่นก็นับเป็นความโชคดีที่คนทั่วไปหาไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ ข้าแก่แล้ว ไม่อาจรอให้ลูกๆ ของท่านเติบโต แล้วให้พวกเขามาปกป้องท่านหลังจากที่ข้าจากไปแล้วได้หรอกนะเจ้าคะ”

“แม่นม ท่านจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดไปได้แน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างออดอ้อน คล้อยหลังจู่ๆ ใบหน้าก็มืดมนลง น้ำเสียงยังยากที่จะปิดบังความเจ็บปวด “ท่านแม่จากไปแล้ว ป้าโม่ก็จากไปเช่นกัน หากแม้แต่ท่านก็ยังจากข้าไป เช่นนั้นข้าก็คงไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะมีชีวิตต่อไปแล้ว”

“คุณหนูทึ่มของข้าคนนี้นี่!” แม่นมฉินรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าสู่อ้อมอกอย่างเอ็นดู “พวกเราล้วนแก่กันหมดแล้ว ไม่อาจอยู่กับท่านตลอดไปได้ ผู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับท่านตลอดไปได้ก็คือว่าที่เขยเท่านั้น”

“แม่นม ท่านคิดว่าเขาจะอยู่กับข้าตลอดไปแทนที่จะเป็นพวกเราอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างขมขื่น เอ่ยต่อ “คุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนรูปงามมากเสน่ห์ มีจอมยุทธ์หญิงที่รู้ใจมากมายในยุทธจักร ทั้งเป็นบุตรสูงส่งของตระกูลขุนนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจเป็นตระกูลมั่งคั่งของราชสำนัก เช่นนั้นข้านับเป็นอะไรเล่า? แม่นม บางครั้งข้าก็คิดว่าหากข้าโง่ลงสักหน่อยก็คงจะดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็อาจทำใจเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจได้ว่าเขาจะดีกับข้าไปจนชั่วชีวิต ไม่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนใจ คอยพะว้าพะวงเช่นนี้!”

“คุณหนู…” แม่นมฉินถอนหายใจ “ว่าที่เขยนั้นเป็นคนที่สูงส่ง หากจะให้เขาสนใจในตัวท่าน สิ่งที่ท่านต้องมีก็คือความงาม ความสามารถและกลยุทธ์ ข้าไม่กังวลเรื่องหน้าตาสะสวยของผู้หญิงเหล่านั้นหรอก ยามนั้นคุณหนูฉิงเป็นหญิงงามล่มเมือง ไม่อาจมีผู้ใดมาเทียบเทียม ท่านก็ได้รับการความงามทั้งหมดมาจากคุณหนูฉิง แม้ไม่แต่งตัวก็สวยจนหยาดเยิ้มแล้ว หากได้แต่งหน้าสักเล็กน้อย ใครเล่าจะเทียบได้ ความสามารถ ข้าก็ไม่กังวล ตั้งแต่ยังเล็กคุณหนูฉิงก็เริ่มตั้งใจสอนสั่งท่าน การเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร พิณกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน และภาพวาด ท่านล้วนแต่เรียนรู้มาแล้วทั้งนั้น หญิงสาวพวกนั้นอาจจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่พวกนางก็ไม่อาจเหมือนท่านที่รู้ไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดก็คือความใจอ่อนของท่าน สามารถมองแผนเหล่านั้นออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งสามารถหลบเลี่ยงกายไม่ให้ตกไปในหลุมพรางได้ แต่ท่านไม่อาจคิดแผนลงมืออย่างเด็ดขาด และตอบโต้กลับไปได้”

“แม่นม ท่านวางใจเถิด! กระต่ายในยามที่ร้อนรนก็ยังกัดคนเป็น หากมีใครหาเรื่องข้า ข้าย่อมไม่ปล่อยไปแน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวปลอบใจแม่นมฉิน

“คุณหนู ที่ข้ากังวลก็คือถึงท่านจะโต้ตอบแต่การตัดสินใจยังไม่เด็ดขาดพอ ไม่อาจตอบโต้จนถึงที่สุด ทำให้เภทภัยที่เหลืออยู่ย้อนกลับมาทำร้ายท่านเอง!” ความกังวลของแม่นมฉินไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเสียทีเดียว “ท่านดูอู๋เลี่ยนเยี่ยนสิ หน้าตาหรือก็ไม่ได้สะสวยอะไรมาก ความสามารถก็แทบไม่ต้องยกนิ้วขึ้นมานับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติ เป็นแค่หญิงสามัญผู้หนึ่ง กลับสามารถวางท่าเย่อหยิ่งให้เป็นผู้สูงส่งได้ถึงเพียงนั้น แต่ท่านเล่า? ถึงจะบอกว่ารับนางเข้ามาอยู่ข้างกายเป็นเพราะคุณหนู

หลิงหลง แต่ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตัวดีกับนางเช่นนั้นจริงๆ นี่เจ้าคะ ท่านให้แม่นมจ้าวสอนกฎระเบียบนาง ให้นางทิ้งมาดเย่อหยิ่ง แต่กลับไม่อนุญาตให้แม่นมจ้าวกระทำรุนแรงต่อนางแม้แต่น้อย เตือนได้ด่าได้ แต่ไม่อนุญาตให้ลงโทษ ยามนี้สิ่งที่สอนนับเป็นผลดีต่อนาง นางจะซาบซึ้งในน้ำใจงั้นหรือเจ้าคะ? หญิงผู้นั้นแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนไม่รู้คุณ ไม่รู้ว่าเวลาใดที่จะแว้งกัดท่าน หากจะให้ข้ากล่าว ควรจะหาโอกาสจัดการให้นางก้มหน้าก้มตารับใช้จนไม่กล้าแข็งข้อจึงจะถูก! ไม่ใช่ว่าท่านไม่ดี กล่าวว่านิสัยของคนแฝงไปด้วยจิตใจที่ดีงั้นหรือ หากปฏิบัติดีต่อทุกสิ่ง…เรื่องที่เสียแรงเปล่าโดยไม่ได้อะไรเลยเช่นนี้ ก็คงมีแต่ท่านที่ทำเป็นคนเดียวเสียแล้ว”

“แม่นม ท่านก็รู้อยู่แล้วนี่” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ปรากฏความเมตตาที่แตกต่างไปจากเดิม “ศาสนาพุทธเน้นความเท่าเทียมของทุกสิ่ง นิสัยเดิมของมนุษย์ล้วนมีความดีแฝงอยู่ พวกเราจะต้องมองข้ามจิตใจของคนให้ลำบากใจไปทำไม? ข้าเชื่อว่าต้องมีสักวันที่นางจะสามารถกระจ่างแจ้งทุกสิ่งได้!”

“ท่านเนี่ยนะ!” แม่นมฉินถอนหายใจ “หากรู้ว่าท่านจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ให้ท่านคัดลอกคัมภีร์ให้ข้า ไม่ให้ไปห้องพระเป็นเพื่อนข้าหรอก ยามนี้ดีที่ข้ายังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ยังคงตัดขาดจากโลกโลกีย์ไม่ได้ แต่ท่านอายุน้อยเช่นนี้ก็มาเป็นอย่างนี้เสียแล้ว”

“แม่นม แบบนี้ไม่ดีหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวระคนหัวเราะ “โลกโลกีย์ที่ซับซ้อนวุ่นวายนี้ ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงความว่างเปล่าอยู่ดี! ข้ามีจิตใจตั้งมั่นในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะผ่านพ้นวันคืนไปอย่างไร ก็ควรที่จะใช้ความสุข…ที่จริง ท่านก็รู้นี่ หากไม่ใช่เพราะงานแต่งครั้งนี้เป็นความปรารถนาสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของท่านแม่ หากไม่ใช่เพราะว่าป้าโม่ให้ข้ากล่าวคำสาบานก่อนจะจากไป ต้องการให้ข้าแต่งงานกับคนดีๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ยอมเข้าร่วมงานแต่งงานครั้งนี้หรอก”

เคยคิดจะถอนหมั้นเพียงฝ่ายเดียว? เงาดำที่แอบฟังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นี่อาจจะเป็นข่าวที่ร้ายแรงจนสั่นสะเทือนเลยก็ว่าได้! หรือว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีคนในใจอยู่แล้ว?

“ท่านเหลวไหลไปใหญ่แล้ว!” แม่นมฉินดุออกมาอย่างมีโทสะ “หญิงแก่ผู้หนึ่งอย่างข้ายังอยากคิดจะเที่ยวๆ เล่นๆ เสวยสุขอยู่อย่างนี้ แต่ท่านที่เป็นคุณหนู กลับคิดจะโกนผมโกนเผ้า ไปอยู่ตรงหน้าพระเสียอย่างนั้น ท่านทำให้ข้าโกรธเสียจริงเชียว!”

แท้จริงแล้วคิดจะออกบวช? นี่นับเป็นข่าวที่แปลกจริงๆ!

“แม่นม ข้ารับปากท่าน จะไม่พูดเรื่องออกบวชขึ้นมาอีกแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวปลอบแม่นมฉินทันที “ข้าเพียงแต่ไม่มีเหตุผลที่ต้องเหนี่ยวรั้งตัวเองแล้วก็เท่านั้น ในวัยที่ข้าเพิ่งจะรู้ความ ท่าน ท่านแม่ และป้าโม่ต่างก็เอาแต่พูดมาโดยตลอดว่าข้าจะเป็นภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย ไม่ว่าข้าจะเรียนอะไรก็คล้ายกับจะเพื่อเป็นภรรยาที่ดีของเขาในอนาคตไปเสียหมด แต่ว่าตอนนี้ล่ะ? เขามีคนที่รู้ใจของเขาแล้ว ข้าก็เป็นเพียงแค่คนที่ไปแทรกแซงเท่านั้น ในเมื่อเขามีคนรู้ใจแล้ว เช่นนั้นก็คงมีภรรยาที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมที่เลือกไว้แล้ว และข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแทรกไม่ใช่หรือ?”

“ดังนั้นท่านจึงต้องแข็งกร้าว ต้องทำให้เขารู้ถึงความดีของท่าน อย่าให้คนได้ดูหมิ่นดูแคลน!” แม่นมฉินกล่าว “ท่านก็อย่าคิดมีจิตเมตตาอะไรอีกเลย และไม่ต้องคิดเห็นแก่ส่วนรวมอะไรด้วย นึกถึงตัวท่านเองก็พอ!”

“แข็งกร้าว? แข็งกร้าวอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคล้ายกับมองเห็นทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง “แม่นม นอกจากท่าน จื่อหลัวและบ่าวที่ซื่อสัตย์พวกนั้นแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรอีกเลย แต่ไหนแต่ไรตระกูลเยี่ยนก็ไม่ใช่ที่พึ่งของข้า ข้าเป็นเพียงจอกแหนที่ไร้รากฐาน ทำได้แต่ล่องลอยไปตามสายน้ำก็เท่านั้น จะเอาความแข็งกร้าวมาจากที่ไหนกัน”

“คุณหนู ท่านดีถึงเพียงนี้ ว่าที่เขยย่อมต้องเอ็นดูท่าน” แม่นมปลอบประโลม

“ดังนั้น แม่นม ข้าจึงได้แต่ต้องยืนหยัดทำตามหน้าที่เช่นเดิม ไม่อาจข้ามผ่านไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างยอมรับชะตากรรม “เรื่องก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวพันกับหลิงหลง จะแข็งกร้าวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน หลังจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว ทำเรื่องที่ข้าควรทำให้ดีที่สุด อย่าได้ร้องขอมากเกินไป อย่าได้คิดอิจฉาอันใด แค่รักษาหน้าที่ที่พึงกระทำของตนก็พอแล้ว”

“เอาเถิด” แม่นมฉินกล่าวอย่างจนใจ “แต่หากเกิดเรื่องอันใด อย่าให้หญิงแก่เช่นข้าต้องหดตัวอยู่ด้านหลังเลย ข้าไม่อาจทนดูท่านเสียใจได้!”

“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างดีใจ “จริงสิ แม่นมฉิน อย่าได้รุนแรงกับพวกเซียงเสวี่ยนักเลย เรื่องเล็กๆ บางเรื่อง ให้พวกนางจัดการกันเองน่าจะดีกว่า อย่าได้พิถีพิถันกับคนอื่นมากเลย”

“ได้! ข้าจะสั่งสอนพวกนาง ท่านก็คงเหนื่อยแล้ว ให้จื่อหลัวเรียกพวกนางกลับมาเตรียมน้ำอาบและท่านก็พักผ่อนเสียเถิด” แม่นมฉินมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่มีท่าทีง่วงนอนอย่างเอ็นดู

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างกระเง้ากระงอด ส่วนเงาดำนอกหน้าต่างก็เลือนหายไปทันที

“แม่นม ไม่มีคนแล้วเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยไม่รู้ว่ามาจากที่ใดจึงมาอยู่ตรงนี้ได้ กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ดูจากรูปร่างและเงาด้านหลัง คล้ายกับช่าจื่อเจ้าค่ะ!”

“วันพรุ่งนี้ข้าจะหาเหตุผลย้ายนางออกไป!” แม่นมฉินแทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“แม่นม อย่าเพิ่งจัดการกับนางเลยดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างแปลกประหลาด “นางอยู่ก็ดีเหมือนกัน มีหลายเรื่องที่พวกเราไม่จำเป็นต้องทำเอง อาจจะมีคนพูดแก้ต่างให้ความเป็นธรรมแทนข้าก็เป็นได้? ปล่อยให้นางอยู่เช่นนี้ก่อนเถิด ยังมีประโยชน์อยู่มาก!”

“แต่ว่าหาก…” แม่นมฉินยังคงกังวลใจไม่น้อย

“ไม่เป็นไร ข้าจะระวัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยใบหน้าสงสัย “เพียงแต่ นางเป็นคนของใครกันแน่? ฮูหยินซั่งกวน? อนุภรรยาอู๋? หรือว่าซั่งกวนเจวี๋ย?”

“คุณหนู ช่าจื่อนั้น หลังจากที่แม่นมฉินกลับมาจากตระกูลซั่งกวนก็เพิ่งมีท่าทีผิดแปลกไป คอยลอบฟังข่าวสารอยู่บ่อยครั้ง บางคราวก็ฟังอยู่ที่มุมห้อง ข้าว่าดูไม่เหมือนคนของฮูหยินซั่งกวนและอนุภรรยาอู๋! หากเป็นคนของพวกนาง คงไม่เพิ่งมาเริ่มเคลื่อนไหวตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยสังเกตช่าจื่ออยู่นานแล้ว…ที่จริงจื่อหลัวและลู่หลัวต่างก็จับตามองช่าจื่อด้วยกันทั้งนั้น แต่มองดูในที่แจ้ง ส่วนเซียงเสวี่ยนั้นจะหลบอยู่ในที่มืด

“ดูท่าแล้ว วันนั้นข้ามีโทสะมากเกินไป” แม่นมฉินตำหนิตนเอง เดิมทีนางยังคิดไปเองว่าการจัดการเรื่องนั้นทำได้ดีแล้ว ได้ซื้อใจคนตระกูลซั่งกวน ทั้งยังเพิ่มน้ำหนักให้กับคุณหนูของตน นอกจากนี้ยังสามารถจับอู๋เลี่ยนเยี่ยน ผู้หญิงที่คิดไม่ซื่อคนนั้นมาอยู่ในกำมือได้ คาดไม่ถึงว่าคุณหนูของตนจะมองเรื่องที่ผิดปกติได้ทะลุปรุโปร่งมากมายถึงเพียงนี้ ใช่แล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตัวคุณหนูเองก็ไม่มีที่พึ่งหรือเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ไม่เหมาะที่จะแข็งข้อจริงๆ

“แม่นม ไม่ใช่ว่าคิดวิธีกู้สถานการณ์ไปแล้วหรอกหรือ ทั้งนี้ หากไม่เกิดเรื่องนั้น ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพบว่าช่าจื่อมีเจตนาแอบแฝงอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะปล่อยให้นางตำหนิตัวเองได้อย่างไรกัน

“เซียงเสวี่ยส่งข้ากลับเถิด ข้าควรต้องไปแล้ว!” แม่นมฉินรู้ดีว่าไม่อาจรั้งอยู่นานได้ คุณหนูโตแล้ว ความคิดก็ลึกล้ำขึ้นมากแล้ว ทำเรื่องอะไรก็ทำในขอบเขตที่เหมาะสม นางจึงวางใจ

“เซียงเสวี่ย ดูแลแม่นมดีๆ ด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้คิดรั้งนาง ใช้ความคิดมากว่าครึ่งค่อนวันเช่นนี้ แม่นมฉินก็คงจะเหนื่อย ควรกลับไปพักผ่อนเสียที…

————————————————