ตอนที่ 32 บุตรสาวบ้านตระกูลจางวัยแรกแย้ม
วันเวลาเปรียบเสมือนบ่อน้ำพุท่ามกลางภูผา ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับจดหมายของต่งชูหลาน ด้วยเนื้อหาว่าเขาจักเดินทางไปยังจินหลิงอย่างแน่นอน แต่มิใช่ตอนนี้เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอันสมควร
ต่งชูหลานเองก็ได้เขียนจดหมายตอบกลับฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน กล่าวว่าหนังสือความฝันในหอแดงนั้นเขียนได้ยอดเยี่ยมนัก คาดหวังว่าจะได้อ่านตอนต่อ ๆ ไปในอีกไม่ช้านี้ อีกทั้งภายในวัง องค์หญิงเก้ายังเร่งให้เขาส่งเนื้อหาหนังสือตอนต่อ ๆ ไปมาอีกด้วย
ต่งชูหลานเสนอความคิดเห็นว่าเขาควรจัดทำหนังสือ หากพวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน โดยฟู่เสี่ยวกวนเขียน ต่งชูหลานจำหน่าย คาดว่าหนังสือเล่มนี้คงได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากบรรดากุลสตรีทั้งหลาย
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้และยื่นข้อชี้แนะว่าควรแบ่งกำไรเป็นครึ่งต่อครึ่ง แต่กลับถูกต่งชูหลานปฏิเสธ นางขอแก้ไขเป็นสามต่อเจ็ดส่วน แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนควรได้รับผลกำไรเจ็ดส่วน นางนั้นได้รับสามส่วนเท่านั้นก็เพียงพอ เพราะหนังสือเล่มนี้ฟู่เสี่ยวเป็นผู้แต่งมันขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนนางเพียงเป็นธุระช่วยจัดการให้เล็กน้อยเท่านั้น
จวบจนกระทั่งบัดนี้ ต่งชูหลานมิเคยได้บอกแก่ฟู่เสี่ยวกวนว่าองค์หญิงเก้าเคยเสด็จไปยังจวนฟู่ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังนั่งคุยกับเขาเป็นเวลานาน
ฟู่เสียวกวนเองก็ลืมเรื่องที่องค์หญิงเก้าเคยเสด็จมายังหลินเจียงเสียสนิท ในแต่ละวันเขาวุ่นวายอยู่กับการฝึกซ้อมหมัด วิ่งและฝึกฝนร่างกาย อีกทั้งเขียนหนังสือความฝันในหอแดง แต่ละวันผ่านไปอย่างไม่ได้หยุดพักผ่อน กระทั่งเดือนเจ็ด
มีจดหมายจากเรือนซีซาน กล่าวว่าข้าวในนากำลังจะผลิดอกออกรวง หินปูนเทาในถ้ำหลังภูเขานั้นสามารถทำการเก็บได้เยอะแล้ว ที่ดินที่ซื้อใหม่นั้นจัดการตามคำสั่งเรียบร้อย รอแต่เพียงคุณชายออกคำสั่งขั้นตอนต่อไปเพียงเท่านั้น
ณ จวนตระกูลฟู่แห่งเมืองหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายแก่ต่งชูหลาน เนื้อหาในจดหมายกล่าวว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังเรือนซีซานและอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง หากมีความต้องการส่งจดหมายถึงเขาให้ส่งไปยังเรือนซีซาน ท้ายสุดของจดหมายคือเนื้อหาหนังสือความฝันในหอแดงตอนล่าสุด 2 ตอน
เนื่องจากการเดินทางไปเรือนซีซานครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง จึงมีสิ่งของจำนวนมากที่ต้องจัดเตรียม แต่สิ่งเหล่านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นกังวล เนื่องจากชุนซิ่วจะช่วยจัดเตรียมของมากมายเหล่านั้นให้แก่เขา บัดนี้ฟู่เสียวกวนนั่งอยู่ที่ศาลาเหลียงถิง นึกถึงเรื่องของการผสมพันธุ์ข้าว
ในชีวิตที่แล้วแม้จะเกิดมาในชนบท รู้จักการลงต้นกล้าและเก็บเกี่ยวเป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องการเพาะพันธุ์ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถนี้ เขาเองเคยแต่พบเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อตอนเติบใหญ่เท่านั้น
เขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย จำได้แค่เพียงชื่อที่เรียกว่าการผสมพันธุ์ข้าวสามสาย อันดับแรกต้องค้นหาสายพันธุ์ที่ไม่สามารถออกดอกได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญและยุ่งยากที่สุด
สำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่หากหาพบแล้วก็สามารถทดลองผสมเกสรได้ สิ่งนี้มิใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน เขาวางแผนเดินทางไปยังหมู่บ้านเสี้ยชุน เพื่อค้นหาผู้ชำนาญการด้านการเกษตร คาดว่าพวกเขาคงมีความรู้มากกว่าตนเสียด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็สบายใจและกำลังเตรียมตัวเดินทางไปกล่าวลาท่านอาจารย์ฉิน แต่เขากลับมองเห็นฟู่ต้ากวนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ด้านหลังของบิดาปรากฏสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตามมา นางสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส น่ามอง
“ลูกชายข้า พ่อมีเรื่องจักปรึกษาหารือกับเจ้าสักหน่อย มานี่ นั่งลงก่อนเถอะ”
ฟู่ต้ากวนชี้นิ้วไปทางสตรีวัยกลางคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านนี้คือแม่สื่อเฉียน เชิญนั่งลงเถิด ข้าขอแนะนำนี่คือลูกชายข้าฟู่เสี่ยวกวน เขาอาจไม่ค่อยมีข้อดีเท่าใดนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้างงงวย เขาเอ่ยถามไปว่า “มีเรื่องอันใดกันหรือท่านพ่อ?”
“แฮ่ม ๆ เรื่องมีอยู่ว่าตัวเจ้านั้นก็อายุไม่น้อยแล้ว ในฐานะพ่อของเจ้าต้องการจัดหาคู่สมรสที่มีความเหมาะสมให้แก่เจ้า จึงได้ไหว้วานแม่สื่อเฉียนมา เชิญท่านเอ่ยเถิด”
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าไหมแพรสีแดง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายฟู่ช่างเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมเสียจริง เป็นปัญญาชน นายท่านมีบุตรชายเช่นนี้นับว่าเป็นวาสนายิ่งนัก”
นางนิ่งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “ตระกูลฟู่เป็นผู้มีความมั่งคั่ง อีกทั้งชื่อเสียงของคุณชายฟู่ก็โด่งดังไปทั่วเมืองหลินโจว หญิงสาวทั่วไปนั้นข้าคงมิกล้าแนะนำแก่ท่าน หากแต่ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้มีโอกาสพบกับคุณหนูในตระกูลใหญ่นางหนึ่ง อายุได้ 14 ปี แม้ฟังดูอายุยังน้อย แต่นางนั้นเติบโตเต็มวัย อีกทั้งฐานะทางตระกูลก็เหมาะสมกับตระกูลฟู่อย่างยิ่ง คุณหนูรู้หนังสือ เป็นผู้มีเหตุมีผล อ่อนโยนสมเป็นกุลสตรี หากได้เป็นคู่ครองกับคุณชายฟู่นั้นคงเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
พ่อของเขากำลังคิดการใดกันแน่?ฟู่เสี่ยวกวนคิดอยู่ในใจ
ตนนั้นมีอายุ 16 ปี ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น หากนำไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่แล้วพวกเขายังเรียนมัธยมไม่จบเสียด้วยซ้ำ! จะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองได้อย่างไร?
เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วยิ้มให้แก่แม่สื่อเฉียน
รอยยิ้มนี้ในสายตาของฟู่ต้ากวน เขาเข้าใจว่าบุตรชายนั้นยินดีกับเรื่องที่ได้ฟัง มองแล้วเรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากนัก
ส่วนแม่สื่อเฉียนเองก็คิดดังนั้น ใบหน้านางจึงปรากฏรอยยิ้มระรื่นขึ้นราวกับดอกไม้ นางตบเบา ๆ ที่มือของฟู่เสี่ยวกวน พูดด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “คุณชายฟู่ สตรีนางนั้นเป็นถึงบุตรสาวของจางจี้ พ่อค้าข้าวที่ได้รับเลือกเป็นพ่อค้าหลวงผู้นั้น นางเป็นบุตรสาวโดยชอบธรรม เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่าของบ้านตระกูลจางเชียว”
นางชักมือกลับและหันหลังไปมองฟู่ต้ากวนแล้วเอ่ยว่า “สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ท่านเห็นด้วยหรือไม่? ตระกูลของท่านคือเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียง พี่ชายของนางเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียงนั่นก็คือจางเหวินฮั่น เขาเพิ่งเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อสอบคัดเลือก หากได้รับเลือกเป็นจอหงวน แล้วคุณหนูเติบโตในตระกูลเช่นนี้แต่งงานกับตระกูลฟู่ คาดว่าภายภาคหน้าคงช่วยท่านจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบ้านได้เป็นอย่างดี”
“นางมีนามว่าอะไร?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“จางเพ่ยเอ๋อร์ แม้คุณหนูยังไม่เติบโตเต็มวัย แต่ก็มีผู้มาสู่ขอเป็นจำนวนมาก คุณชายฟู่ควรจะรีบจัดการให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นอาจถูกผู้อื่นชิงตัดหน้าไปเสียก่อนก็เป็นได้”
“เจ้าได้ถามนางแล้วหรือ ว่านางสมัครใจที่จะแต่งงาน?”
“นางสมัครใจอย่างแน่นอน……” แม่สื่อเฉียนเอ่ยออกมาอย่างมิทันได้คิด จากนั้นนางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าคาดว่านางสมัครใจอย่างแน่นอน คุณชายฟู่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิมยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง ประกอบกับสุราที่ท่านคิดค้นทั้งสองชนิดนั้น มีสตรีผู้ไหนเล่ามิอยากเป็นคู่ครองของท่าน”
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ เป็นจางเพ่ยเอ๋อร์เองที่รู้สึกชอบพอฟู่เสี่ยวกวน ควรกล่าวว่าบัดนี้คุณหนูในตระกูลใหญ่มากมายชอบพอฟู่เสี่ยวกวนเป็นจำนวนมาก
กวีประโยคที่ว่าร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกันนั้น ทำให้บรรดาสตรีทั้งหลายพากันมอบหัวใจให้
หากเป็นฟู่เสี่ยวกวนเมื่อก่อนนั้น แน่ชัดว่าพวกนางล้วนจักหลบหนียามพบเจอ แต่บัดนี้ล้วนทำให้พวกนางเหลียวหลังมอง ทั้งความสามารถด้านวรรณกรรมและไม่ประพฤติตนให้ผู้ใดไม่พอใจ อีกทั้งยังมิได้ออกจากจวนฟู่เป็นเวลานาน คนภายนอกจวนรับรู้ได้ บุรุษที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าพวกนางคงต้องแย่งกัน
หากฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอก คงได้มีโอกาสพบเจอบ้าง แต่เขากลับอยู่แต่ในจวน จึงทำให้บรรดาสตรีน้อยใหญ่ผิดหวังไม่น้อย
จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็เช่นกัน นางเอ่ยเรื่องนี้แก่บิดา จางจือเซ่อครุ่นคิดอยู่ชั่วคืน แต่มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ตระกูลจางและตระกูลฟู่ทำการค้าไม่เหมือนกัน จึงไม่เกิดความขัดแย้งกันอีกทั้งสองตระกูลต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา จางจือเซ่อและฟู่ต้ากวนนั้นบางโอกาสก็ได้ร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุราร่วมกัน
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นบัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นผู้มีความสามารถเพียบพร้อม แม้ตระกูลฟู่จะมีฉีซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ผู้สืบทอดตระกูลจะเป็นใครไปมิได้นอกจากฟู่เสี่ยวกวน หากบุตรสาวได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลฟู่ ช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก
ดังนั้นจางจือเซ่อจึงได้วางแผนการให้แม่สื่อเฉียนดำเนินการเรื่องนี้ ฟู่ต้ากวนเองก็ได้พบแม่สื่อเฉียนเข้าโดยบังเอิญ
ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวตรง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”