บทที่ 45

ระหว่างทางกลับ ชิวเจิ้นอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่าชักช้าน่า มันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดนะ”

ชิวเจิ้นถอนหายใจ “สหายถัง ข้าคิดว่าไม่ควรจะเข้าใกล้ชิดกับอู่เหมยในที่สาธารณะแบบนั้นนะ”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”

“อู่เหมยคือชนชั้นสูงแถมยังงามมากด้วย ใครหลาย ๆ คนที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ย่อมหมายปองนาง ถ้าสหายถังเข้าใกล้นางมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหาได้ ตอนนี้ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ข้าว่าจะเป็นผลเสียกับเราในอนาคตได้”

ถังหยินครุ่นคิดก่อนที่จะหัวเราะออกมา เขาไม่ตอบตรง ๆ “ข้าจะทำยังไงก็ได้ตามที่ข้าต้องการ ถ้าข้าต้องการอู่เหมยจริง ๆ คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้มีคนเข้าใกล้นางได้”

จากคำพูดนี้ ชิวเจิ้นบอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหลงใหลอู่เหมยจริง ๆ หรือไม่ อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยทำตามใจตัวเองที่ทำให้ชิวเจิ้นต้องเป็นกังวลแบบนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้คำแนะนำแบบไหนต่อดีเหมือนกัน

เฮ้อ! “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สหายถังต้องระวังตัวเอาไว้นะ”

“ข้ารู้” ถังหยินเชิดหน้าขึ้นมา

ชายหนุ่มเป็นคนประเภทนี้อยู่แล้ว เย่อหยิ่ง เก็บตัว เย็นชา และน่าหลงใหล

วันต่อมาอู่เหมยก็ได้ส่งนายทหารทั้ง 4 มาให้เขา ทั้ง 4 คนนี้คือคนที่มีความสามารถในระดับหนึ่งที่นางเลือกมาให้ ไม่ใช่แค่เก่งกาจเท่าไหร่ แต่ยังมีประสบการณ์มากมาย พวกเขาคือทหารผ่านศึก และด้วยเหตุนี้อู่เหมยจึงพาถังหยินและทุกคนในกองพันไปยังค่ายทางเหนือเพื่อเกณฑ์คนอีกครั้ง

ถังหยินนั้นโดดเดี่ยว เขาใช้ชีวิตคนเดียวมาโดยตลอด และกังวลเกี่ยวกับปัญหามาก สำหรับการฝึกทหารใหม่นั้น เขาก็ได้ใช้วิธีเช่นเดียวกับที่เขาเลือกหัวหน้ากอง และพวกเขาเหล่านั้นจะต้องถูกฝึกให้รับมือได้ทุกสถานการณ์ด้วยตัวเอง

คืนนั้น เขาเรียกชิวเจิ้นและหัวหน้ากองทั้ง 10 ให้เข้ามา

ทั้ง 10 คนนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ห้องโถงไม่ใหญ่มากนัก พวกเขาจึงต้องนั่งรวมกันบริเวณทางเข้า เมื่อเห็นแบบนี้ถังหยินก็โบกมือ “ทำไมไปนั่งกันไกลแบบนั้นล่ะ? เข้ามานี่!”

“นี่มัน…” ทุกคนมองหน้ากันและไม่มีใครกล้าขยับตัวเลย ในทางกองทัพตำแหน่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้า

เมื่อไม่มีใครลุกขึ้นเลย ถังหยินก็พูดด้วยความไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไรกัน?”

“เอ่อ…” ทุกคนมองหน้ากันอีกครั้ง

ชิวเจิ้นอยู่กับถังหยินมานาน และรู้ว่าชายหนุ่มนั้นเป็นคนสบาย ๆ “ทุกคนไม่ต้องเกรงใจไป ทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งเถอะ!” ระหว่างที่พูดเขาก็หยิบเก้าอี้มานั่งข้างถังหยิน

เมื่อเห็นว่าทั้งสองสนิทกันดีก็เลยโล่งใจ ว่าแล้วทุกคนจึงเริ่มเข้ามานั่งใกล้ ๆ

“แม่ทัพถังจะสุภาพเกินไปแล้ว!” ทั้ง 4 มีอายุราวๆ 30 ปี พวกเขามีนามว่า เติงหมิงหยาง หลูปิง ซางจุย และหลีเฟยเปิง

ตามที่ถังหยินพูดไว้ พวกนายทหารที่เก่งกาจรับใช้กองทัพมาเนิ่นนาน พวกเขาสัมผัสประสบการณ์มากมาย เบื้องหน้าให้ความเคารพต่อถังหยิน แต่ในใจแล้วก็ยังไม่ยอมรับในตัวของชายหนุ่มอยู่ เพราะพวกเขาเชื่อว่าการที่อีกฝ่ายได้อยู่ในตำแหน่งสูงน่าจะเป็นเพราะการแต่งตั้งของอู่เหมยทั้งนั้น

ชายหนุ่มไม่สนใจอยู่แล้ว ตราบเท่าที่มันไม่ได้ทำให้เขาเสียหายก็ปล่อยไป

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่แล้ว ถังหยินจึงพูดออกไปว่า“ข้าไม่อยากรู้หรอกว่าพวกเจ้าจะฝึกทหารใหม่ยังไงกันบ้าง แต่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้า 1 อย่าง พวกทหารที่ข้าต้องการจะต้องไม่ใช่ทหารธรรมดา พวกเขาจะต้องเป็นทหารม้าที่เมื่อลงจากม้าก็ต้องเป็นทหารราบ และทหารธนูที่พอเข้าตาจนก็ต้องใช้ดาบให้เป็น พวกเจ้าทำได้ไหม?”

นายทหารหนุ่มสาว 6 คนแรกไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำเช่นนั้น ยิ่งทหารมีความสามารถรอบตัวเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ในสนามรบมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 คนที่มาใหม่กลับรู้สึกว่ามันไร้สาระ

กองพันที่ 2 คือทหารราบ แล้วทำไมต้องฝึกทักษะอื่นด้วยกัน? การให้พวกเขาฝึกการต่อสู้ระยะประชิดเท่ากับว่าต้องให้พวกเขาเรียนรู้การแปรรูปขบวนรบ และถ้าหากทำตามที่ถังหยินบอก ทหารหน้าใหม่พวกนั้นคงจะไม่มีใครทนได้แน่

ได้ยินแบบนี้พวกเขาก็รู้เลยว่าถังหยินเป็นพวกมือสมัครเล่น

เติงหมิงหยางหัวเราะแห้ง ๆ “แม่ทัพถัง ข้าไม่คิดว่ามันจำเป็นหรอก พวกเราคือทหารราบ การขี่ม้ามันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากนี้พลธนูเองก็ไม่ควรจะให้พวกเขาเรียนดาบหรอกนะ ต่อให้เรียนไปก็ใช้ในการรบไม่ได้หรอก!”

ทำไมจะใช้ไม่ได้?! ถังหยินสบถในใจหลังจากที่ได้เห็นพลังธนูของพวกหนิงในการรบที่ไม่เก่งกาจในการต่อสู้ระยะประชิด และทหารเฟิงที่เก่งในด้านประชิดแต่ไม่เก่งการโจมตีระยะไกล ถ้าหากว่ามีทั้ง 2 ทักษะนี้ละก็ ต่อให้เป็นศึกแบบไหนพวกเขาก็คงไม่หวั่น

นอกจากนี้มีโอกาสมากมายที่จะได้ใช้ทหารม้าในการรบพื้นที่ใหญ่ ซึ่งถ้าเกิดว่ามีม้ามากมายแต่ไม่มีทหารที่ขี่มันเป็น ถ้างั้นมันก็ไร้ความหมาย ในฐานะของคนจากโลกปัจจุบัน ถังหยินคิดต่างจากพวกเขาอยู่แล้ว ในความคิดของเขา ยิ่งทหารเก่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีประโยชน์ใช้สอยมากเท่านั้น ทหารที่มีแค่ทักษะเดียวย่อมมีคุณค่าน้อยกว่า ในเมื่อเขามีโอกาสอันดี ทำไมไม่คิดที่จะลองฝึกมันดูกัน?

ชายหนุ่มขี้เกียจจะเถียงกับพวกทหารผ่านศึกทั้งหลาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับกู่เยว่ หลีเทียนและคนอื่น ๆ มากกว่า

เขาโค้งตัวมาข้างหน้าและกระซิบกับเติงหมิงหยาง “ข้าไม่ได้ถามความเห็นจากเจ้าในตอนนี้ แต่ข้าอยากจะถามแค่ว่าเจ้าทำได้หรือไม่?”

ใครจะไปรู้กันว่าถังหยินที่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนหน้านี้จะพูดได้ทำร้ายจิตใจยิ่งนัก ทำให้ใบหน้าของ เติงหมิงหยางกลายเป็นสีแดงแล้วขาว จนตอบอะไรไม่ถูก

“ถ้ามีใครที่คิดว่าคำสั่งของข้ามันยากไป หรือว่าไร้สาระเกิน ก็ก้าวออกมา ข้าจะบอกให้ท่านแม่ทัพอู่ให้ย้ายพวกเจ้าไปอยู่กองพันอื่น” ถังหยินนั่งพาดขาตัวเองด้วยรอยยิ้ม

ไม่มีใครกล้าพอที่จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าพวกเขามีปัญหากับแม่ทัพตัวเอง มีหวังอนาคตของในกองทัพได้ดับวูบแน่ นอกจากนี้ถังหยินยังมีอู่เหมยเป็นคนหนุนหลังให้อีก การมีปัญหากับเขาก็เท่ากับหมิ่นเกียรติของอู่เหมยทางอ้อม !

เหล่าทหารหนุ่มสาวไม่คิดว่าคำขอของถังหยินมันยากมากมาย หลังจากได้ยินแบบนี้พวกเขาก็ลุกขึ้นมาพูด “ข้าไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ และจะทำการฝึกทหารให้ตามที่ท่านแม่ทัพต้องการ”

เติงหมิงหยางและอีก 3 คนมองหน้ากันเอง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความอ่อนใจ หลังจากเงียบกันไปสักพัก ทั้ง 4 ก็ยืนขึ้น “ตามที่ท่านบัญชา!”

“ดีมาก”

ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับจากใจจริงหรือว่าพยายามทำใจยอมรับ ถังหยินก็ได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว เขาหัวเราะออกมา “ในเวลาครึ่งเดือน ข้าจะตรวจสอบในสิ่งที่พวกเจ้าลงมือทำ และถ้าหากว่าทำได้ตามที่ข้าต้องการละก็ ข้าจะบอกให้ท่านแม่ทัพอู่มอบรางวัลให้กับเจ้า ส่วนใครที่ทำไม่ได้ข้าจะไล่ออกในฐานะพวกหนีทัพ”

ทุกคนอ้าปากค้าง โดยเฉพาะพวกทหารผ่านศึกทั้ง 4 พวกเขากัดฟันและบ่นพึมพำ แค่ความผิดเล็กน้อยถึงกับเป็นการหนีทัพเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าติดโทษนี่ก็เท่ากับว่าไม่มีอนาคตในแคว้นนี้แล้ว

ในตอนนี้พวกเติงหมิงหยางไม่กล้าที่จะลองดีกับถังหยินอีก ไม่ว่ามันจะมีเรื่องบ้าบออีกมากแค่ไหนก็ตาม

“แม่ทัพถัง!” เจิงหมิงหยางพูดออกมา

“มีอะไรหรือหัวหน้ากอง?”

“การขี่ม้าและฝึกธนูนั้นต้องมีการร้องขอยืมอุปกรณ์ โดยเฉพาะม้าที่ถือว่าขอยืมได้ยากยิ่ง!”

แคว้นเฟิงให้ความสำคัญกับทหารราบมาก พวกทหารม้ามีเพียงน้อยนิด ทหารนับหมื่นเท่ากับว่าต้องการม้าหมื่นตัว พวกเขาจะไปหามาจากไหนกัน?

ถังหยินพยักหน้า นี่เป็นปัญหาจริง ๆ หลังจากครุ่นคิดเขาก็พูด “ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ให้แม่ทัพอู่ทราบ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป”

“ขอรับ เข้าใจแล้ว” จากนั้นเติงหมิงหยางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปพักผ่อนซะ”

“ขอรับ พวกเราขอตัวลา!”

ทุกคนลุกขึ้นแล้วค่อย ๆ ออกไปจนเหลือแค่ถังหยินกับชิวเจิ้น

หลังจากเรื่องราวทั้งหมด ชิวเจิ้นกลับก้มหน้าและไม่ได้พูดอะไรออกมา ความเงียบทำเอาถังหยินไม่สบายใจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงถามออกไป “ชิวเจิ้น เจ้าไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ?”

เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างตื่นตระหนก “ไม่มี! ทว่าสหายถังดูเหมือนจะโลภมากไปหน่อยนะ แต่ในเมื่อเป็นความคิดของเจ้า ถ้างั้นข้าก็ไม่คัดค้านหรอก”

ถังหยินหัวเราะออกมา เขาลุกขึ้นและมองหน้าชิวเจิ้นจากนั้นก็เอามือไพล่หลังแล้วเดินไป “ประจบสอพลอมาก! แต่ช่างเถอะ ข้าก็อยากได้ยินแบบนี้อยู่แล้วเหมือนกัน”