ตอนนี้เองเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นหลายครั้ง รถใหญ่ชนกันเป็นกลุ่ม! เศษเหล็กกระเด็นมั่วไปหมด กระจกแตกกระจาย เสียงจอแจดังขึ้น
โหวจื่อเห็นดังนั้นก็มองหน้ากับหลูเสียวอ่า ต่างเห็นความตกตะลึงและหวาดกลัวในแววตากัน! ที่ตกตะลึงไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะคำพูดฟางเจิ้ง! ตอนนั้นอีกฝ่ายกำชับพวกเขาว่าถ้าเจอรถบรรทุกใหญ่สี่คันให้รักษาระยะห่าง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเห็นนิมิตทุกอย่าง! ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางพูดกับพวกเขาแบบนี้!
นึกขึ้นว่าหากไม่ฟังคำพูดฟางจิ้ง เช่นนั้นผลที่ได้…
หลูเสียวอ่าพูดขึ้นด้วยความระแวง “โหวจื่อ ถ้าเมื่อกี้นายเร่งความเร็วอีกจะเป็นยังไง?”
โหวจื่อกลืนน้ำลาย “หยุดพูดเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดไต้ซือ ฉันจะต้องแซงไปอย่างเร็ว ทิ้งท้ายพวกพั่งจื่อ แต่ว่าแบบนั้นฉันจะถูกรถใหญ่เบียดเข้าไป จากนั้น…พวกเราก็เป็นแผ่นเนื้อ”
พอนึกได้อย่างนั้นหลูเสียวอ่าหน้าซีดขาว
ตอนนี้โหวจื่อได้สติกลับมา เอ่ยขึ้น “รีบลงรถเร็ว อย่าอยู่บนรถ หยุดรถบนทางด่วนอันตรายเหมือนกัน ไปข้างนอกปลอดภัยกว่า แล้วก็รีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ! ฉันจะไปวางป้ายเตือนไว้ รถข้างหลังจะได้ไม่มาชน…”
หลูเสียวอ่าลงไปแจ้งตำรวจ โหวจื่อก็เริ่มเร่งทำงาน
ตอนนี้เองพั่งจื่อ หร่วนอิ่ง เจียงถิงตาค้าง เห็นรถบรรทุกถ่านสี่คัน พอนึกถึงความเร็วของโหวจื่อก่อนหน้านี้ ต่างมองกันราวกับเห็นผี ทั้งยังพูดพร้อมกัน “ไต้ซือ มหัศจรรย์!”
พั่งจื่อตบปากตัวเองไปทีหนึ่ง “ฉันนี่มันโง่จริงๆ ไต้ซือมหัศจรรย์ขนาดนั้น วัดก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า! ฉันน่าจะไปขอพร อย่างน้อยจุดธูปให้เงินบริจาคเล็กน้อยก็ยังดี เฮ้อ…”
…………
“ฮัดชิ้ว!” ฟางเจิ้งจามก่อนพึมพำต่อ “ใครกำลังพูดถึงฉันอยู่นะ?”
“ติ๊ง! ยินดีด้วย ช่วยชีวิตไว้อีกสองคน ตอนนี้นายมีโอกาสจับรางวัลสองครั้ง จะเริ่มจับเลยหรือไม่?”
“จับ! ไม่จับก็เสียเปล่า จะเก็บไว้ก็มีลูกไม่ได้” ฟางเจิ้งตอบทันที
“ติ๊ง! ยินดีด้วยนายได้รับไตรจีวรขาวจันทร์หนึ่งตัว” ระบบกล่าว
“ไตรจีวร? ท่านพระโพธิสัตว์ นายคิดว่าไตรจีวรฉันมันขาดเกินไปรึไง ให้ฉันกินเนื้อสัตว์ได้แล้วรึเปล่า?” ฟางเจิ้งยิ้ม ตนลงเขาไม่ได้ เสื้อผ้าย่อมเป็นปัญหา ต่อให้มีเงินก็ซื้อเสื้อผ้าอื่นไม่ได้ แต่ในวัดมีเพียงจีวรเก่าๆ เย็บมาหลายปีแล้ว พูดจริงๆ คือเขาดูไม่ได้
ถึงยังไงก็ยังเป็นวัยรุ่น ก็อยากแต่งตัวดูดีบ้าง
แต่เทียบกับเสื้อผ้าแล้ว ฟางเจิ้งหวังจะได้ความสามารถยอดเยี่ยมมากกว่า อย่างเช่นเนตรสวรรค์รวมถึงความสามารถมหัศจรรย์ที่คุยกับสัตว์ได้ ความสามารถพวกนี้เหนือธรรมชาติ ยอดเยี่ยมกว่าเล็กน้อย ดังนั้นในใจจึงผิดหวังเล็กน้อย
พูดจบไตรจีวรตัวหนึ่งก็ตกลงในมือเขา
มันเป็นไตรจีวรขาวที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ไม่หนาไม่บาง แต่จับแล้วสบายมือมาก แถมยังมีกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ กลิ่นไม่แรง กระทั่งหากไม่สังเกตจะมองข้ามกลิ่นไป แต่ถ้าสัมผัสดีๆ จะมีอีกความรู้สึกหนึ่ง มันมีกลิ่นน้ำมันตะเกียงเล็กน้อย และก็มีกลิ่นตำรารวมถึงกลิ่นแสงตะวันอ่อนๆ สรุปทำให้รู้สึกสบายมาก
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังแปลกใจ เขาเคยได้ยินหลวงจีนหนึ่งนิ้วบอกว่าไตรจีวรมีสี แบ่งตามการเย็บ ไม่ได้สวมได้ตามอำเภอใจ! ได้ยินมาว่ามีสีน้ำตาล แดง ดำอมแดง เหลือง เทา แต่ไม่เคยเห็นไตรจีวรขาวมาก่อน! อีกทั้งไตรจีวรก็ควรเลี่ยงสีบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ?
ฟางเจิ้งเป็นกังวลจึงถาม “ระบบ นายแน่ใจนะว่าไม่ได้หยิบชุดผิดมา? นายดูไตรจีวรนี่ มันไม่ถูกต้อง! ตามที่ฉันรู้มานะ ไตรจีวรมีสามชนิด หนึ่งคือชุดเล็กที่เย็บขึ้นจากผ้าห้าผืน เรียกว่าชุดห้าผ้า ใช้สวมตอนทำงานทำความสะอาด
สองคือชุดกลางที่เย็บจากผ้าเจ็ดผืน เรียกว่าชุดเจ็ดผ้า ใช้สวมเวลาปกติ
สามคือชุดใหญ่ที่เย็บขึ้นจากผ้าเก้าผืนไปจนถึงยี่สิบห้าผืน เรียกว่าชุดใหญ่ เป็นเครื่องแบบพิธี ใช้สวมออกไปข้างนอกหรือพบคนที่มีฐานะสูงกว่า
สามอย่างนี้เรียกว่ารวมว่ากาสาวะ[1] แน่นอน สีแดงที่คลุมอยู่ข้างนอกก็เรียกว่ากาสาวะเหมือนกัน แต่จีวรของนายมันแปลกๆ ไม่ใช่ชุดเล็ก ไม่ใช่ชุดเจ็ดผ้า และก็ไม่ใช่ชุดใหญ่ เหมือนอยู่ระหว่างชุดเจ็ดผ้ากับชุดใหญ่
อีกอย่างสีนี้มันก็ไม่ถูกด้วย!
ถ้าฉันจำไม่ผิดกาสาวะเป็นชื่อเรียกของสีชนิดหนึ่ง เพราะมันเป็นชุดที่นักบวชสวมจึงต้องเลี่ยงการใช้สีเขียวเหลืองแดงขาวดำห้าสี แต่ให้ใช้สีพิเศษหรือสีกาสาวะ สีกาสาวะประเทศเราคือสีแดงฉาน คัมภีร์ของพุทธศาสนาทางใต้บอกไว้ว่าเป็นสีเหลืองส้ม ไม่มีทางที่จะเป็นสีแดงส้มปนกัน
จากบันทึก หลังพุทธศาสนาแบ่งฝ่ายของอินเดียออกไปแล้ว แต่ละฝ่ายต่างมีสีจีวรต่างกัน บ้างเป็นสีแดง บ้างสีเหลือง บ้างสีดำมู่หลาน แต่พวกคนแก่บ้านเราเคยบอกว่านั่นมันไร้สาระ ในสมัยศตวรรษที่หกของอินเดีย จริงๆ แล้วแต่ละฝ่ายใช้สีแดง สีดำมู่หลานที่ว่าเป็นเพียงความต่างส่วนน้อย
แต่ชุดสงฆ์ของเมียนมา ศรีลังกา ไทย กัมพูชา ลาว อินเดียและเนปาลเป็นสีเหลือง ทั้งยังมีความต่างกันเรื่องความเข้มอ่อน
กาสาวะคนจีนอย่างเราเป็นสีแดง ปกติชุดห้าผ้ากับเจ็ดผ้าก็เป็นสีเหลือง
กาสาวะของมองโกและทิเบตชุดใหญ่สีเหลือง ชุดกลางที่คลุมในเวลาปกติเป็นสีเกือบแดง
สภาพอากาศภาคเหนือหนาว ผ้าสามผืนของเหล่านักบวชไม่พอ เลยสวมชุดปกติในกาสาวะแบบฝั่งเรา ชุดปกติชนิดนี้ปรับเปลี่ยนมาจากเครื่องแบบคนโบราณ สีของชุดปกติเคยกำหนดไว้สมัยราชวงศ์หมิง ชุดปกติของนักบวชนิกายเซ็นจะเป็นสีน้ำตาลชา นักบวชนิกายจิ้นจิงจะสวมสีฟ้า นักบวชนิกายวินัยจะสวมสีดำ หลังสมัยราชวงศ์ชิง ไม่ได้มีกฏเป็นทางการอะไรแล้ว แต่วัดนิกายวินัย หลังจากยุคเจี้ยนเยวี่ยลวี่ซือ[2]แล้วชุดนักบวชปกติก็เป็นสีเหลือง
พุทธศาสนิกชนของเมียนมาห้ามสวมชุดสีดำเป็นพิเศษ เพราะในสมัยโบราณเมียนมาเคยมีนักบวชชั่วร้ายสวมชุดดำ ทำเรื่องผิดกฎหมายมากมาย ต่อมาก็เป็นข้อห้าม
ศาสนิกชนของมองโกและทิเบตก็ห้ามสวมชุดดำเหมือนกัน นอกจากนี้นายให้สีอะไรไม่ว่านะดันให้สีขาว นี่มันสีบริสุทธิ์!
คนแก่บ้านเราเคยบอกว่าพุทธศาสนามีกฏต่อจีวร หนึ่งคือสีห้ามเป็นสีสันหรือเป็นสีบิรสุทธิ์ สองชุดใหม่ทั้งหมดจะต้องมีสีอีกสีอยู่จุดหนึ่ง เพื่อทำลายความเรียบร้อยของสีผ้าและเลี่ยงความอยากในเครื่องนุ่งห่ม นี่เรียกว่า “ทำลายสี”หรือ “กดความบริสุทธิ์”
ฉันคิดในหัวถึงทุกอย่างที่เชื่อมโยงกัน แต่ไม่เคยมีใครสวมจีวรขาวเลย!”
ถ้าบอกว่าฟางเจิ้งเรียนไม่เก่ง เขายอมรับ แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวกับกฏพุทธศาสนาเขาเข้าใจเยอะมาก เพราะหลวงจีนหนึ่งนิ้วคือคนที่เคร่งเรื่องกฏมาก เขาพูดให้ฟางเจิ้งฟังเกี่ยวกับกฏต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังท่องจำจนขึ้นใจ
แม้ฟางเจิ้งจะแปลกใจว่าทำไมหลวงจีนหนึ่งนิ้วเจ้าอาวาสวัดเล็กถึงรู้เยอะขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบมาตลอด ฟางเจิ้งจึงล้มเลิก ตอนนี้มาคิดๆ ดู ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ความรู้เหล่านี้ไม่มีทางที่หลวงจีนเฒ่าในหมู่บ้านภูเขาจะรู้ทั้งหมดได้ เพราะฟางเจิ้งพบว่าวัดเล็กจำนวนมากยังไม่ศึกษากฏเหล่านี้เป็นพิเศษเลย ส่วนใหญ่จะปล่อยตามใจชอบมากกว่า
………………………
[1] กาสะวะ จีวรที่ย้อมด้วยน้ำฝาด ซึ่งก็คือผ้าไตรจีวรทั้งสามผืนนั่นเอง
[2] เจี้ยนเยวี่ยลวี่ซือ คือ พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงสมัยราชวงศ์หมิง บรรพบุรุษรุ่นสองของนิกายวินัยเป่าหวา(1601-1679)