EP.51****ป้ายเหล็กตระกูลถัง
เจ้าเมืองน้อยฮว๋าหวัน แพ้ราบคาบในสามกระบวนท่า
ลานประลองเงียบกริบ ท่านเจ้าเมืองฮว๋าเทียนกำหมัดและลุกขึ้นยืน มองบุตรสุดที่รักที่สลบอยู่บนเวทีประลองด้วยความตกตะลึง
“เขาชนะจริงๆ ด้วย”
ถังเสี่ยวซีลุกขึ้นยืนพูด “ผู้อาวุโสชวี การสอนของท่านสามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้จริงๆ ด้วย”
ชวีฉู่ไหนเลยจะกล้าตอบ เขารู้แจ่มแจ้งว่าเจ้าเด็กนั่นพัฒนาฝีมือได้เร็วขั้นเทพเช่นนี้ เกี่ยวข้องกับตัวเขาอยู่แล้ว แต่เขากลับพูดไปว่า “นั่นเพราะว่าเขาฝึกฝนอย่างหนักด้วยตนเอง”
หลังจากผ่านไปเกือบสองนาที ในที่สุดรอบเวทีก็มีเสียงเฮดังลั่น ทุกคนต่างรู้ว่าหลินมู่อวี่เป็นชาวบ้านธรรมดา ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งสามารถเอาชนะเจ้าเมืองน้อยฮว๋าหวันได้ทั้งๆ ที่ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่พอนึกถึงเมื่อก่อนที่เจ้าเมืองน้อยเอาแต่วางอำนาจ พวกคนกลุ่มนี้ต่างยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เจ้าเมืองฮว๋าเทียน ได้เวลาประกาศผลแล้ว” ชวีฉู่พูดขึ้นมา ดูเหมือนว่าถ้าเขาไม่พูด ฮว๋าเทียนก็คงไม่ยอมมอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้แก่หลินมู่อวี่ผู้ชนะเป็นแน่
“อย่าเพิ่งรีบร้อน รอสักประเดี๋ยว ดูก่อนว่าจะมีใครท้าประลองอีกหรือไม่”
“อืม ได้!”
สรุปรอมาราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว ยังคงไม่มีใครขึ้นไปท้าประลองหลินมู่อวี่บนเวที
ถังเสี่ยวซีก็เอ่ยปากเร่ง “ท่านเจ้าเมือง รีบประกาศผลเถอะ ข้ายังต้องรีบเดินทางไปเมืองหลันเยี่ยนอีกนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
ฮว๋าเทียนกลับตรงไปตรงมา กระโจนลงจากอัฒจันทร์ ดึงป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากเอวฮว๋าหวัน แล้วถือป้ายอาญาสิทธิ์ด้วยความเคารพยิ่งมาถึงบนเวที กล่าวเสียงดัง “หลินมู่อวี่ ป้ายอาญาสิทธิ์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่สมาพันธ์โอสถแห่งจักรวรรดิมอบให้ เป็นของล้ำค่าแห่งโลกนักปรุงโอสถ หวังว่าเจ้าจะสามารถเผยแพร่จิตวิญญาณแห่งการปรุงโอสถออกไป อย่าให้ป้ายอาญาสิทธิ์นี้เสียเปล่าล่ะ”
“ขอบคุณท่านเจ้าเมืองขอรับ” หลินมู่อวี่รับป้ายอาญาสิทธิ์และกล่าวขอบคุณ
สายตาของฮว๋าเทียนมีความชื่นชม ตบบ่าของหลินมู่อวี่เบาๆ ยิ้มกล่าว “อายุยังน้อยก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ หวังว่าเจ้าพยายามต่อไป และกลายเป็นราชาโอสถที่ยิ่งใหญ่ กระทั่งเป็นเทพโอสถ เป็นเกียรติแก่เมืองหยินซานและจักรวรรดิ!”
“ขอบคุณขอรับ!”
พูดพอเป็นพิธีไปสองประโยค ฮว๋าเทียนสั่งให้องครักษ์พาฮว๋าหวันที่ได้รับบาดเจ็บจนสลบลงเวที และใช้กลิ่นของดอกจิตสันต์ปลุกเขาให้ฟื้น
ตอนที่หลินมู่อวี่เดินลงจากเวที ฉู่เฟิง ฉู่เหยา หลัวไคและลูกศิษย์ฝึกหัดคนอื่นๆ ก็เข้ามาแสดงความยินดี โดยเฉพาะฉู่เหยา ดีใจยิ่งกว่าตัวเองได้ป้ายอาญาสิทธิ์เสียอีก
เมื่อหลินมู่อวี่เงยหน้ามองขึ้นไป กลับพบว่าบนอัฒจันทร์ไม่มีเงาของชวีฉู่และถังเสี่ยวซีแล้ว
หลังจากรับมือกับคำแสดงความยินดีของทุกคนแล้วเขาก็เดินออกจากจวนเจ้าเมือง และไม่เห็นเงาของถังเสี่ยวซีจึงถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “องค์หญิงซีกับผู้อาวุโสชวีล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ”
“ไปแล้วล่ะ” องครักษ์ยิ้มกล่าว “ยินดีด้วยนะเจ้าหนุ่มน้อย นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะชนะท่านเจ้าเมืองน้อย เป็นเด็กหนุ่มที่มีอนาคตจริงๆ ”
“ไปแล้วหรือเนี่ย…”
หลินมู่อวี่รู้สึกอ้างว้างขึ้นมานิดหน่อย มองถนนที่ว่างเปล่า ถังเสี่ยวซีเหมือนตั้งใจจะหลบเขา แม้แต่หน้าครั้งสุดท้ายยังไม่อยากจะมอง ในตอนที่เขากำลังใจลอยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงควบมาดังเข้ามา เห็นองครักษ์สวมชุดที่หน้าอกปักตราจักรวรรดิรูปดอกยินสีม่วงลงมาจากม้า ในมือประคองผ้าแพรสีขาวไว้แล้วพูดว่า “หลินมู่อวี่!”
“ขอรับ ท่านคือ?”
“ข้าคือองครักษ์ขององค์หญิงซี เจ้าลืมข้าแล้วหรือ” เขาใช้สองมือประคองผ้าแพรขึ้นไปด้านหน้าอย่างเคารพ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงซีรีบเร่งเดินทาง มีคำสั่งให้ข้านำของสิ่งนี้มาประทานให้เจ้า”
“นี่คือ?”
พอเปิดผ้าแพรออก ก็เห็นป้ายเหล็กสีแดงเพลิง ด้านบนสลักตัวอักษรโบราณว่า “ถัง”
“ป้ายเหล็กตระกูลถัง!” องครักษ์ตะลึงเล็กน้อย กล่าวต่อ “คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงซีจะมอบป้ายเหล็กตระกูลถังที่ทรงพกติดตัวตลอดให้แก่เจ้า ทั้งแผ่นดินนี้มีป้ายนี้แค่สามอันเท่านั้น!”
หลินมู่อวี่ประคองป้ายคำสั่งหนักอึ้งนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ถังเสี่ยวซีมอบป้ายนี้ให้เขา จะต้องวางแผนอะไรไว้แน่นอน
“นาง…นางไม่ได้ฝากคำพูดอะไรใช่มั้ย”
“มี”
เสียงทุ้มต่ำขององครักษ์กล่าว “องค์หญิงทรงตรัสว่า หากวันใดเจ้าเจอเรื่องลำบาก สามารถถือป้ายเหล็กตระกูลถังไปหาพระองค์ที่เมืองหลันเยี่ยนได้ หากพระองค์ไม่อยู่ที่เมืองหลวงก็จะต้องอยู่ที่เมืองชีไห่ เจ้าสามารถไปพบพระองค์ที่นั่นได้”
“ขอบคุณท่านมาก!” หลินมู่อวี่โค้งคำนับ
องครักษ์คำนับแบบทหารจักรวรรดิ มือซ้ายกำแนบข้างลำตัว มือขวาพาดขวางหน้าอกและโค้งคำนับ นี่คือนายทหารคนหนึ่ง
ในตอนนี้เองด้านหลังก็มีเสียงหลัวไคดังมา “อาอวี่ ทำไมเจ้าถึงออกมาข้างนอกนี่ล่ะ ท่านเจ้าเมืองกำลังตามหาเจ้าอยู่ บอกว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนเจ้าเมือง เชิญยอดนักปรุงโอสถทั้งเมืองมา เจ้ากับอาเหยาก็ได้รับเชิญด้วยนะ!”
“อ่อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หลินมู่อวี่เก็บป้ายเหล็กตระกูลถังเข้าไปในอกเสื้อ ป้ายเหล็กโบราณนี้กลับรู้สึกอุ่นๆ ราวกับว่ายังมีอุณหภูมิร่างกายของถังเสี่ยวซีอยู่ หลินมู่อวี่คิดฟุ้งซ่าน คงไม่ใช่อุณหภูมิขององครักษ์คนนั้นหรอกนะ รู้สึกปั่นป่วนทันที
ที่นอกเมือง ถังเสี่ยวซีหันกลับไปมองเมืองหยินซาน
ชวีฉู่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ จึงพูดว่า “องค์หญิง ถ้าเป็นไปได้ ลืมเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หน้าของถังเสี่ยวซีแดงระเรื่อ “ผู้อาวุโสชวีทำไมถึงกล่าวเช่นนี้”
“เจ้าเด็กนั้น มีปีศาจหลับใหลอยู่ในร่างกาย”
“……”
ถังเสี่ยวซียืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
ตะวันตกดินแล้ว แต่จวนเจ้าเมืองยังคงสว่างไสว
งานเลี้ยงมีคนมาร่วมประมาณสี่สิบกว่าคน หลินมู่อวี่ ฉู่เหยาและฉู่เฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนหวังหยิ่ง หลัวไคและคนอื่นๆ ไม่ได้รับเชิญ ในงานเลี้ยง แขนของฮว๋าหวันมีผ้าพันแผลพันอยู่สองแห่ง ส่งสายตาอาฆาตมาทางหลินมู่อวี่เป็นระยะๆ ราวกับต้องการจะฆ่าเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ตรงข้ามกับท่านเจ้าเมืองฮว๋าเทียนที่เห็นได้ชัดว่าใจกว้างกว่ามาก หลังจากเขายกจอกสุราขึ้นคารวะทุกคนจึงพูดขึ้น “ฟังทางนี้ ข้ามีข่าวดีมาบอกทุกท่าน”
“ข่าวอะไรหรือท่านเจ้าเมือง” ทุกคนถามกันเซ็งแซ่
ฮว๋าเทียนกระแอมก่อนกล่าว “เมื่อหนึ่งชั่วยาวที่แล้วนี่เอง ข้าได้รับจดหมายจากสมาพันธ์โอสถแห่งจักรวรรดิ แจ้งว่าปีนี้จะเลือกนักปรุงโอสถที่มีความสามารถหนึ่งคนจากเมืองหยินซานของเราเข้าสมาพันธ์โอสถ ไปรับตำแหน่งผู้อาวุโส”
“สวรรค์!” นักปรุงโอสถคนหนึ่งพูดด้วยความประหลาดใจ “เข้ารับตำแหน่งที่สมาพันธ์โอสถ? นี่…นี่มันเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่เชียวนะ ไม่ทราบว่าเป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถท่านใดกันที่ได้รับเกียรตินี้”
ฮว๋าเทียนกล่าว “ทุกคนสามารถเสนอชื่อได้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้มีความสามารถ เบื้องบนมีเงื่อนไขข้อเดียว ว่าต้องเป็นระดับปรมาจารย์โอสถ และสามารถปรุงโอสถระดับหกได้”
นักปรุงโอสถเฒ่าพยักหน้า “เช่นนี้นี่เอง น่าเสียดายที่ข้าแก่แล้ว เกรงว่าจะไปได้ไม่ไกลขนาดนั้น”
ฮว๋าเทียนยิ้มน้อยๆ “ท่านอาวุโสหวัง ท่านมีคนที่แนะนำหรือ”
นักปรุงโอสถเฒ่าอดยิ้มไม่ได้ “ข้าขอเสนอผู้อาวุโสฉู่จากร้านโอสถไป่หลิง ผู้อาวุโสฉู่ศึกษาค้นคว้าศาสตร์การปรุงโอสถมาทั้งชีวิต อีกอย่างเมื่อไม่นานมานี้ก็สามารถปรุงโอสถระดับหกออกมาได้แล้ว มีความรู้และประสบการณ์ ลูกศิษย์อย่างหลินมู่อวี่ก็เป็นศิษย์ที่เก่งกาจถือครองป้ายอาญาสิทธิ์ ดังนั้นผู้อาวุโสฉู่ไปรับหน้าที่ที่สมาพันธ์โอสถก็เหมาะสมที่สุด ท่านเจ้าเมืองคิดว่าอย่างไร”
ฮว๋าเทียนพูดเสียงต่ำ “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสฉู่มีความเห็นอย่างไร”
“คือ…”
ฉู่เฟิงรู้สึกประหลาดใจ กล่าวขึ้น “หลานสาวข้าฉู่เหยาและศิษย์ทั้งหมดต่างก็อยู่ที่เมืองหยินซาน ตัวข้าเองก็อยากจะไปสมาพันธ์โอสถ แต่…แต่ว่าข้าไม่อาจจะทิ้งบรรดาศิษย์ไว้ที่เมืองหยินซานได้”
ฮว๋าเทียนอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ผู้อาวุโสฉู่กังวลเกินไปแล้ว หลินมู่อวี่และฉู่เหยาต่างเป็นนักปรุงโอสถรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเมืองหยินซาน ข้าตั้งใจจะส่งพวกเขาไปเข้าศึกษาที่สาขาของสมาพันธ์โอสถในเมืองหยินซาน การอยู่กินของพวกเขานั้นคลังประจำจวนเจ้าเมืองหยินซานจะเป็นผู้ดูแล ผู้อาวุโสฉู่ไม่ต้องกังวล มีข้าฮว๋าเทียนอยู่ที่เมืองหยินซาน จะไม่มีอะไรขึ้นกับพวกเขาอย่างแน่นอน”
ฉู่เฟิงศึกษาการปรุงโอสถมาทั้งชีวิต ตอนนี้มีโอกาสที่จะเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งการปรุงโอสถอย่างสมาพันธ์โอสถ จะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน จึงทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านปู่ วางใจเถอะ ข้าดูแลอาอวี่เอง” ฉู่เหยาพูดพลางหัวเราะ
หลินมู่อวี่เองก็หัวเราะด้วย “ท่านปู่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลพี่ฉู่เหยาเป็นอย่างดี ท่านไปสมาพันธ์โอสถอย่างสบายใจเถอะ ที่นั่นเป็นที่ๆ ท่านควรไปนะ!”
ในที่สุดฉู่เฟิงก็ตัดสินใจได้ เขาประสานมือแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านเจ้าเมืองมากที่ชี้แนะ!”
ฮว๋าเทียนพยักหน้า “อืม คืนนี้ก็กลับไปเก็บของเสีย ข้าจะเชิญท่านนายพลหนิงแห่งกองทัพประจำเมืองหยินซานนำทหารร้อยนายคุ้มครองท่านไปส่งถึงเมืองหลวง ดูแลความปลอดภัยของท่านตลอดการเดินทาง!”
ฉู่เฟิง “ขอบคุณท่านเจ้าเมือง”
กลางดึก ฉู่เหยาจัดสัมภาระให้ท่านปู่ เก็บไปบ่นไป “กล้องยาสูบของท่านปู่…อืม ไม่ต้องให้ท่านปู่พกไป อายุมากแล้วไม่ต้องสูบแล้ว อาการไอไม่ดีขึ้นสักที! ตรงนี้…ผังจุดชีพจรของท่านปู่ อันนี้ต้องเอาไปด้วย ยังมีผ้ารัดหัวเข่า ตอนนั้นท่านปู่ไปปีนเขาแล้วตกลงมากระดูกขาบาดเจ็บ วันฝนตกจะเจ็บขึ้นมาได้ ต้องใช้อันนี้พัน แล้วยังมี…”
หลินมู่อวี่เองก็อยู่ข้างๆ ช่วยจัดของ
เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดฉู่เฟิงก็ปรากฏตัวขึ้น ยกกล่องเหล็กหนักอึ้งออกมาจากห้องนอน เรียกเสียงเบา “อาเหยา อาอวี่ พวกเจ้าสองคนมานี่หน่อย”
เด็กสองคนมานั่งอยู่ตรงหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
ฉู่เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ “พรุ่งนี้ปู่ต้องไปเมืองหลวงแล้ว ไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมา ร้านโอสถไป่หลิงนี้เป็นเลือดเนื้อและหัวใจของพวกเราตระกูลฉู่มาหลายรุ่น ต่อไปก็ขอมอบไว้ในมือของพวกเจ้าสองคน นี่คือเงินของร้านที่สะสมมาหลายปีนี้ ไม่มากหรอก แค่สามสิบกว่าเหรียญทองเท่านั้น พวกเจ้าต้องประหยัดหน่อยนะ”
ฉู่เฟิงพูด “เดิมที…ข้าตั้งใจจะเก็บเงินนี้ไว้เป็นเงินไว้สำหรับงานแต่งงานของฉู่เหยา แต่ตอนนี้ข้าต้องไปเมืองหลันเยี่ยนคนเดียวแล้ว…”
ฉู่เหยาอยากจะร้องไห้ กรอกตาไปมา “ท่านปู่ ไม่ต้องพูดแล้ว อาเหยาจะไม่แต่งงาน…”
“พูดอะไรบ้าๆ ” ฉู่เฟิงหัวเราะ “จะไม่แต่งงานได้อย่างไรกัน พ่อแม่ของเจ้ากำลังดูอยู่บนสวรรค์ ตั้งแต่ไม่มีข่าวคราวของพี่ชายเจ้า ตระกูลฉู่ของพวกเราก็เหลือแค่เจ้าคนเดียวแล้ว”
ฉู่เหยาหน้าแดง “ท่านปู่! ไม่ต้องพูดแล้ว…”
หลินมู่อวี่แอบหัวเราะอยู่ข้างๆ ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน
ตกดึก ท่านปู่ฉู่เฟิงหลับไปแล้ว หลินมู่อวี่และฉู่เหยากลับเด็ดสมุนไพรอยู่ที่ลานบ้าน
“อาอวี่ ท่านปู่ไปสมาพันธ์โอสถแล้ว ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร เจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่” จู่ๆ ฉู่เหยาก็ถามขึ้นมา
“พี่ฉู่เหยา ท่านอยากจะเข้าไปฝึกปรุงยาที่สมาพันธ์โอสถเมืองหยินซานไหม เท่าที่ข้ารู้มา สมาพันธ์โอสถนั่นอยู่ในจวนเจ้าเมือง แม้แต่ทหารองครักษ์ก็เป็นคนของจวนเจ้าเมือง” หลินมู่อวี่ตาเป็นประกายพูดต่อ “ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะดูเป็นคนดี แต่ฮว๋าหวันลูกชายของเขาคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ หรอก”