ม่านรัตติกาลมาเยือน แสงดาวส่องสกาวระยิบระยับ

ด้านนอกสวน มีรถหรูรูปแบบแตกต่างกันออกไปจอดอยู่หลายสิบคัน

ภูเขาเขียวและน้ำสีครามโอบล้อมสวน ตรงกลางมีตำหนักที่สร้างจากอิฐขาว ภายในตำหนักมีแสงไฟสว่างโร่ เคล้าด้วยดนตรีอันไพเราะฟังสบาย

ที่นี่รวมผู้มีอิทธิพลของแต่ละแวดวงในตะวันตกเฉียงใต้ไว้

มียักษ์ใหญ่ในแวดวงการเมือง เศรษฐีระดับท็อปของวงการธุรกิจ และมีผู้นำของตระกูลชื่อดังบางส่วนด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนได้รับการเชื้อเชิญจากเจิ้งหงยี่แห่งสกุลเจิ้ง จึงมารวมตัวกันที่นี่

“รองนายกเทศมนตรีหลิว คุณก็มาด้วยเหรอ” ชายร่างอ้วนคนหนึ่ง เมื่อเห็นชายวัยกลางคนสวมแว่นตายืนอยู่ข้างหน้า ก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นชายร่างอ้วนก็ยิ้มบางๆ “ครั้งนี้ ผมแค่มากับนายกเทศมนตรีฉินก็เท่านั้น”

ชายร่างอ้วนชื่อเหวยหรงฮุ่ย เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ช่วงนี้เพิ่งได้ที่ดินผืนใหญ่ในเมืองหรงเฉิง ครั้งนี้ได้เจอนายกเทศมนตรีฉินโดยบังเอิญ จึงครุ่นคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ตีสนิทเขาดีไหม

เหวยหรงฮุ่ยกับรองนายกเทศมนตรีคุยกันไม่กี่ประโยคแล้ว ก็เดินไปทางนายกเทศมนตรีฉิน

จากนั้น เขาก็เห็นชายร่างกำยำอายุราวๆ สี่สิบปีคนหนึ่ง กำลังยืนเงียบอยู่ข้างๆ

เอ๊ะ…คนคนนี้ดูคุ้นๆ

เหวยหรงฮุ่ยเดินเข้าไป ขอมองหน้าตรงสักหน่อย

ให้ตายเถอะ! นี่มันอธิบดีโจวเจิ้งแห่งกรมตำรวจไม่ใช่เหรอ

ช่วงนี้เขากำลังสาละวนอยู่กับคดีฆาตกรรมประหลาดของหมู่บ้านหวงซีจนปลีกตัวไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีแก่ใจมาร่วมงานเลี้ยงเต้นรำได้

เหวยหรงฮุ่ยทำหน้าตกใจ เขาหวนคิดถึงคำพูดของเจิ้งหงยี่ ตอนที่มาเชิญเขาร่วมงานเลี้ยงเต้นรำ ดูเหมือนจะมีคนอยากแนะนำให้ทุกคนในงานเลี้ยงเต้นรำได้รู้จัก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาที่เกือบจะถูกก้อนเนื้อบดบังคู่นั้นของเขากวาดมองรอบทิศ คิดในใจว่าคงไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่อะไรหรอกนะ

ขณะนั้นเอง ก็มีวัยรุ่นสามคนก้าวเข้ามาในงานเลี้ยงเต้นรำ

ชายที่เดินนำหน้าผอมสูง หลังกวาดสายตามองทั่วงานเลี้ยงแล้ว รอยยิ้มจางๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้า

คนที่เดินตามหลังเขา เป็นโฉมงามผมยาวกับผู้ชายที่ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“อู่หัว คนที่สามารถเข้าร่วมงานนี้ได้ ต่างก็เป็นผู้มีอิทธิพลที่มีหน้ามีตา สำรวมกายและวาจาด้วยล่ะ” ชายคนนั้นเตือน

คนที่ตามหลังผู้ชายผอมสูงคนนั้น คือหลินอู่หัวกับเกาเผิงนั่นเอง

กับคำเตือนของเกาเผิง หลินอู่หัวก็พยักหน้าอย่างจริงจัง

ตอนแรกพวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงระดับนี้ พวกเขามีโอกาสมาถึงที่นี่ได้ มันเป็นเพราะคุณชายเจิ้งที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั่นเอง

คุณชายเจิ้งคนนี้ชื่อเจิ้งหย่ง เป็นลูกชายของเจิ้งหงยี่เจ้าภาพงานเลี้ยงในครั้งนี้

เกาเผิงกับเขาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย และถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันไม่เบา

และเป็นเพราะความสัมพันธ์แบบนี้ เกาเผิงถึงมีโอกาสพาหลินอู่หัวมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้

เกาเผิงจ้องมองยักษ์ใหญ่ที่สะเทือนวงการได้แม้เพียงกระทืบเท้าที่อยู่รอบๆ เหล่านี้อย่างอิจฉาตาร้อน คิดในใจว่าหากผูกมิตรกับพวกเขาได้ บริษัทของเขาต้องก้าวหน้าไปอีกขั้นแน่นอน!

คนส่วนใหญ่ในงานเลี้ยงเมื่อเห็นเจิ้งหย่งก็จะพยักหน้ายิ้มๆ บางคนเป็นฝ่ายเข้าไปถามไถ่ด้วยซ้ำหญิงงามรอบๆ ก็พากันจับจ้องมาที่เจิ้งหย่งกันระนาว ในดวงตาเจือความคาดหวัง

เจิ้งหย่งเองก็เพ่งมองเป็นระยะๆ เช่นกัน คุณหนูตระกูลดังที่เข้าร่วมงานเลี้ยง แม้หลายคนจะหน้าตาสะสวย แต่กลับไม่มีคนไหนที่เขาชอบเป็นพิเศษเลย

สาวงามนับไม่ถ้วนมักจะทำให้เกิดความเหนื่อยหน่ายทางสุนทรียศาสตร์ ตอนนี้เมื่อเขาเจอสาวสวย ก็รู้สึกไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป กระตุ้นความรู้สึกได้ยากยิ่งนัก

แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ก็มีเรือนร่างโผล่มาในลานสายตาของเขา ทำให้เขายืนนิ่งอยู่กับที่

เจิ้งหย่งตะลึงงันไปแล้ว ผู้หญิงที่สวมชุดราตรีสีแดงคนนั้น ทำให้เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยงามสะดุดตาเช่นนี้มาก่อน รูปร่างสมบูรณ์แบบ ใบหน้างามล่มเมือง แค่ปรากฏกายก็โดดเด่นเหนือผู้คน

เมื่อเห็นเจิ้งหยงยืนนิ่งกะทันหัน เกาเผิงก็มองตามสายตาของเขาไป จากนั้นก็อุทานออกมาว่า “พวกเขานี่นา!”

พอได้ยินเสียงของเกาเผิง เจิ้งหย่งก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ แล้วหันมาถามว่า “เกาเผิง นายรู้จักพวกเขาเหรอ”

เกาเผิงพยักหน้า “เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว ฉันรู้จักผู้ชายคนหนึ่งในนั้น เขาชื่ออันหลิน เป็นนักศึกษา ส่วนชายหญิงสองคนนั้น ฉันไม่รู้จัก”

เกาเผิงตั้งใจปิดบังข้อมูลที่ผู้หญิงคนนั้นคล้ายจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอันหลิน

เขาสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ท่าทางเจิ้งหย่งจะสนใจผู้หญิงคนนั้น

ก็จริง ผู้หญิงที่สวยงามสูงศักดิ์แบบนี้ เป็นใครใครก็ต้องหวั่นไหว

นิสัยของเจิ้งหย่งเขารู้ดี จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เหยื่อที่หมายตาไว้

จากนั้น เขาแค่รอดูเรื่องสนุกก็พอ…

“อืม” เจิ้งหย่งได้ยินก็เริ่มประเมินสามคนนั้น

ทั้งสามคนล้วนเป็นคนแปลกหน้า แลดูอายุน้อยมาก มองจากลักษณะแล้ว ก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง น่าจะมาจากตระกูลใหญ่สักตระกูล

“เหล่าหลิว เสิร์ฟเหล้า!” เจิ้งหย่งกวักมือ

จากนั้น พ่อบ้านคนหนึ่งก็ยกถาดเครื่องดื่มมา ยื่นไวน์แดงสองแก้วออกมาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

ไวน์แดงไม่ใช่เหล้าทั่วไป แต่เป็นเหล้ากระตุ้นอารมณ์ที่ถูกบ่มโดยลัทธิไสยเวทสวรรค์ มีสรรพคุณสร้างความลุ่มหลงอย่างรุนแรง

เจิ้งหย่งเป็นคนที่ขี้เกียจเสียเวลากับเรื่องของความรู้สึก หากว่าถูกใจใคร ก็เป็นเรื่องของเหล้าเพียงแก้วเดียว

เขายกแก้วไวน์ จ้องผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเร่าร้อน คิดในใจว่า หญิงงามเลิศล้ำแบบนี้…คืนนี้ฉันต้องได้แน่!

เจิ้งหงยี่กับหวงซานซานจะไปรับแขกที่มาเยือนกะทันหัน จึงออกจากงานไปครู่หนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ เมื่ออันหลิน สวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิงเจอกัน ก็เริ่มเดินเตร่ภายในงานเลี้ยง

“สวัสดี ผมชื่อเจิ้งหย่ง ยินดีต้อนรับพวกคุณเข้างานเลี้ยง”

จู่ๆ ก็มีผู้ชายผอมสูงคนหนึ่ง มาปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาพร้อมกับถือแก้วไวน์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“สวัสดี ผมชื่ออันหลิน” เมื่อเจอกับผู้ชายที่เข้ามาทักทายกะทันหัน อันหลินก็ตอบกลับอย่างสุภาพ

ต่อมา เซวียนหยวนเฉิงกับสวีเสี่ยวหลานเองก็แนะนำตัวเองเช่นกัน

หย่งเจิ้งที่ตั้งใจจะมาชนแก้วกับหญิงงามคนนั้น หลังรู้ชื่อแซ่ของพวกเขาแล้วก็ชะงักไป สภาพดูย่ำแย่ไปเลย

เขานึกถึงคำพูดที่พ่อกำชับเขาก่อนออกไปทำธุระกะทันหัน “เสี่ยวหย่ง อีกสักพักจะมีแขกพิเศษของประเทศมาที่งานเลี้ยง พวกเขาชื่ออันหลิน สวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิง งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อพวกเขา จำไว้นะ ต่อหน้าพวกเขา แกเป็นคนต่ำต้อย อย่าเสียมารยาทเด็ดขาด…”

เจิ้งหย่งย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่เจิ้งหงยี่พูดกับเขาหมายความว่าอย่างไร

สามคนนี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่เขาจะข้องเกี่ยวได้!

คุณพระ…เมื่อครู่เขาคิดจะให้หญิงคนนั้นดื่มเหล้ากระตุ้นอารมณ์…

เจิ้งหย่งยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เหงื่อกาฬผุดเต็มกรอบหน้า

“คุณเจิ้ง เป็นอะไรหรือเปล่า” อันหลินพบว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยสู้ดี จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เจิ้งหย่งได้สติ พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “อ่า…จู่ๆ ผมก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ต้องขออภัย ขอตัวก่อนนะครับ”

ตอนนี้เขาแค่อยากถือไวน์แดงแก้วนี้ออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด

ไวน์แก้วนี้เป็นดังระเบิดเวลา ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

“เอ๊ะ ไวน์แก้วนี้ดูไม่เลวเลย”

อันหลินเห็นไวน์แดงที่วางอยู่บนถาดเครื่องดื่มของพ่อบ้าน จึงฉวยมาแก้วหนึ่ง

บัดซบ!

เมื่อเห็นฉากนี้ เจิ้งหย่งก็ตัวเซทันที

“มาเถอะ พบกันเป็นพรหมลิขิต เรามาชนแก้วกันหน่อย!” อันหลินชูแก้วไวน์ขึ้นยิ้มๆ

เมื่อเจิ้งหย่งได้ยินประโยคนี้ ก็อยากจะปาแก้วไวน์ในมือขวาลงทิ้งเสียเหลือเกิน

ชนแก้วงั้นเหรอ จากนั้นให้อันหลินหลงรักเขาหรือไง

ล้อกันเล่นหรือไง!

บทสนทนาระหว่างเจิ้งหย่งกับพวกอันหลิน ดึงดูดความสนใจของคนในงานไม่น้อยเลย

เกาเผิงมองดูอย่างสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทำไมเจิ้งหย่งที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในตอนแรก จู่ๆ ถึงได้หงอเสียแล้วล่ะ

เมื่อเห็นเจิ้งหย่งลังเล อันหลินก็หรี่ตาเล็กน้อยแล้วถามว่า “ทำไม ไม่สบาย ดื่มเหล้าไม่ได้งั้นเหรอ”

“เฮ้อ ต้องขออภัยจริงๆ ตอนนี้ผมรู้สึกไม่สบายจริงๆ…รอให้ร่างกายหายดีแล้ว ครั้งหน้าผมจะดื่มกับคุณอันให้เมากันไปข้างหนึ่งเลย!”

เจิ้งหย่งโพล่งออกมาทันที

“ไม่เป็นไร ผมมีวิธีรักษาอาการไม่สบายของคุณได้” อันหลินยิ้มบางๆ

“คุณอันรู้ศาสตร์แพทย์เหรอ” เจิ้งหย่งกระวนกระวาย

“อืม วิธีของผมเรียกว่าวิธีรักษาทางกายภาพ…” อันหลินยิ้ม

จู่ๆ เขาก็ยกมือขวาขึ้น ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของเจิ้งหย่งอย่างแรง

เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือดังกึกก้องงานเลี้ยงเต้นรำ

เจิ้งหย่งถูกแรงมหาศาลของฝ่ามือสะเทือนจนถอยออกไปไกลสองเมตร ฟันสองซี่ก็ถูกตบจนหลุดออกมาพร้อมกับเลือด ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกตบจนบวมเป่ง

“ซี้ด!” ผู้คนมากมายที่สังเกตเห็นการกระทำของพวกอันหลิน พากันมองฉากตรงหน้านี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

เกาเผิงเบิกตากว้าง ตกใจจนตัวแข็งไปแล้ว

คุณพระ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมอันหลินถึงตบหน้าเจิ้งหย่งต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้!

อันหลินหันหลังไปคุยกับเซวียนหยวนเฉิงและสวีเสี่ยวหลานที่เหม่อลอยด้วยรอยยิ้มว่า

“อืม กับเดนมนุษย์แบบนี้ ให้ใช้กำลังจัดการ พยายามอย่าใช้วาจา!