“ฮ่าๆ ข้ายินดีอย่างยิ่ง” พอสุ่ยเหวินโม่ได้ยินดังนั้น เขาก็เบิกตาขึ้นแล้วยิ้ม หนึ่งเหรียญทองต่อเดือนมันน้อยเกินไปจริงๆ 

 

 

“แล้วข้าล่ะ ข้าจะได้เงินเดือนหรือไม่หากฆ่าเขาตอนนี้? ” เฟิงอี้เซวียนรีบพูดแทรก เขาเป็นแรงงานที่ทำงานฟรีมาโดยตลอด 

 

 

“คราวหน้าแล้วกัน มาดูกันว่าพวกเจ้าสองคนใครจะลงมือได้เร็วกว่ากัน” แคลร์พูดเรียบๆ 

 

 

จินเหยียนเฝ้าดูเหตุการณ์นี้เงียบๆ ดวงตาที่เขามีประกายบางอย่างเมื่อมองแคลร์ 

 

 

การสนทนาระหว่างคนทั้งสามทำให้ขุนนางในห้องโถงทั้งโกรธและกลัวมากจนตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดแทรกขึ้นมา องครักษ์ของพวกเขาไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นได้ 

 

 

ดวงตาของฟอลเลนเดือดดาล สาวน้อยผู้นี้ทำเกินไปแล้ว! นี่มันอะไรกัน?! เขาต้องหาทางนำเรื่องที่นางทำตัวเช่นนี้ขึ้นไปรายงานกับจักรพรรดิให้ได้เลย คอยดูสิ! 

 

 

เรื่องจะต้องไม่จบลงเช่นนี้! 

 

 

“ทุกคนก็รู้ว่าช่วงนี้ข้ายุ่งมาก ดังนั้นข้าคงจะไม่อยู่ต่อแล้ว ข้าจะรายงานองค์จักรพรรดิถึงความเสียสละของทุกคนที่มีต่อเมืองเนียร์ และความภักดีของทุกคนที่มีต่ออาณาจักร เพื่อที่ทุกคนจะได้รับรางวัลตอบแทน เชิญพวกท่านสนุกกันตามสบาย ข้าขอตัวก่อน” แคลร์ยิ้มอย่างสง่างาม พยักหน้าให้คนในห้องโถง จากนั้นก็หมุนตัวออกไป 

 

 

ชายรูปงามสามคนเดินตามแคลร์ไป ทิ้งกลุ่มขุนนางที่มีสีหน้าไม่สู้ดีอยู่ตรงนั้น 

 

 

เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตู จินเหยียนก็ยื่นเสื้อคลุมตัวน้อยให้แคลร์คลุมไว้ นางไม่ได้ไปขึ้นรถม้าแต่เดินไปตามถนนแทน ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวน้อยมีสิ่งของที่จำเป็นของแคลร์และมีไป๋ตี้ที่กำลังหลับใหลอยู่ 

 

 

ในที่สุดเมืองเนียร์ก็กลับสู่ความรุ่งเรืองเช่นเดิม หลายคนลุกขึ้นมาทักทายเมื่อเห็นแคลร์ ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ จากความไม่ไว้วางใจในตอนแรกสู่ความเคารพในตอนนี้ 

 

 

ทันใดนั้นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในชุดกระโปรงลายดอกไม้ก็วิ่งมาพร้อมช่อดอกไม้ นางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแคลร์ ยกดอกไม้ขึ้นและยิ้ม “พี่สาว นี่สำหรับพี่ค่ะ” 

 

 

แคลร์มองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีรอยยิ้มไร้เดียงสาตรงหน้านางด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเด็กหญิงคือความรู้สึกขอบคุณและความสุขอย่างที่สุด 

 

 

“พี่สาวทำให้แม่อาการดีขึ้น พี่สาวเป็นคนดี” เด็กหญิงตัวเล็กถือดอกไม้อย่างไม่ยอมปล่อยหากแคลร์ไม่รับไป 

 

 

“เมอรี่ เจ้าทำอะไรอยู่? ” เสียงตำหนิของผู้ใหญ่ดังมาจากที่ไกลๆ แล้วชายชาวบ้านคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขณะที่มองแคลร์ “ท่านเจ้าเมือง ขอโทษครับ นางยังเด็ก ยังไม่รู้ความ” 

 

 

รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลร์ นางก้มลงเพื่อหยิบดอกไม้จากมือของเด็กหญิง จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กหญิงผู้นั้น “ขอบคุณนะ ดอกไม้สวยมากเลย” 

 

 

ชายหนุ่มตกตะลึง ท่านเจ้าเมืองเป็นถึงขุนนางแต่กลับเป็นกันเองถึงเพียงนี้เลยหรือ? 

 

 

“พี่สาว พี่จะปกป้องพวกเราตลอดไปใช่หรือไม่? ” เด็กหญิงตัวน้อยถามอย่างมีความสุขเมื่อเห็นแคลร์รับดอกไม้ไป 

 

 

“เมอรี่! ” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขารีบดุแล้วอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา จากนั้นก็รีบขอโทษแคลร์ “ท่านเจ้าเมือง ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ…” 

 

 

“อื้ม ข้าจะทำ ข้าจะปกป้องทุกคนจากอันตรายไปตลอดเลย” แคลร์สัญญาด้วยรอยยิ้มและมองสาวน้อยที่กำลังคาดหวังอยู่ 

 

 

“ว้าว! ดีจัง! ” เด็กหญิงตัวน้อยส่งเสียงยินดีกอดคอพ่อของนางแล้วยิ้มอย่างมีความสุข 

 

 

แคลร์ยิ้ม มองชายหนุ่มแล้วพูด “เจ้าไม่ต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้หรอก ลูกของเจ้าน่ารักมาก ต่อไปถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรก็ไปหาผู้รักษาการเจ้าเมืองที่คฤหาสน์เจ้าเมืองได้เลย เขาจะช่วยเหลือเจ้า” 

 

 

“ขอบคุณท่านเจ้าเมือง ขอบคุณท่านเจ้าเมือง” ชายหนุ่มรีบขอบคุณ 

 

 

วัลโดถามอย่างเฉยเมย “แคลร์ เจ้าเป็นคนใจดีตั้งแต่เมื่อใดกัน? ” หลังจากถามวัลโดก็เตรียมรอรับการถูกบีบที่คุกคามชีวิตของแคลร์ แต่นางกลับไม่ตอบสนองใดๆ ไปเป็นเวลานาน 

 

 

แคลร์เงียบไม่พูดอะไร 

 

 

ใจดี? 

 

 

งั้นหรือ? 

 

 

ทำไมคำนี้ช่างน่าขันนักนะ? 

 

 

เมื่อวัลโดเห็นว่าแคลร์ไม่ได้พูดอะไร เขาก็ยิ่งพูดพล่ามมากขึ้น “แคลร์ วันนี้เจ้าไปสูบอะไรมาหรือ? เมื่อกี้เจ้ายังหัวเราะ สั่งฆ่าหั่นศพอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่แสนน่ารักไปแล้ว วันนี้เจ้ากินสิ่งใดที่ไม่ควรกินหรือดื่มสิ่งใดที่ไม่ควรดื่มมาหรือ…” วัลโดพูดไม่หยุด 

 

 

แคลร์เงียบและเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง 

 

 

ในขณะนั้น เด็กหนุ่มตัวเตี้ยๆ ก็เดินเฉียดพวกเขาไป 

 

 

เมื่อแคลร์ได้สติ นางก็พบว่าเสียงของวัลโดไกลออกไปแล้ว! 

 

 

เกิดอะไรขึ้น? 

 

 

“แคลร์ ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าคนงี่เง่า ข้าถูกขโมยมาแล้ว! เด็กที่เพิ่งเดินผ่านเจ้าไปขโมยของจากกระเป๋าของเจ้า มาช่วยข้าที…” วัลโดตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว 

 

 

อะไรนะ?! สีหน้าของแคลร์เปลี่ยนไปในทันที เด็กที่เพิ่งเดินผ่านไป? เด็กนั่นขโมยของของนางไปแล้ว แคลร์รีบแตะที่กระเป๋าเสื้อคลุมตัวน้อยแล้วนางก็พบว่าไป๋ตี้ยังคงนอนหลับอย่างสงบอยู่ สิ่งอื่นๆ ก็ยังอยู่ มีแต่เงินและหินจิตวิญญาณเท่านั้นที่หายไปแล้ว 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือแคลร์? ” เฟิงอี้เซวียนถาม เขาเห็นแคลร์ดูผิดปกติ 

 

 

“พวกเราถูกขโมยของแล้วล่ะ” แคลร์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม 

 

 

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาทั้งหมดแตะที่กระเป๋าของตัวเอง มีเพียงสุ่ยเหวินโม่เท่านั้นที่มีใบหน้าสงบเพราะเขาไม่มีกระเป๋าเงินและไม่มีของมีค่าอื่นๆ 

 

 

สีหน้าของจินเหยียนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน มีคนขโมยเงินเขาไปโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย! 

 

 

เฟิงอี้เซวียนโกรธมาก มีคนกล้าขโมยของเขาไป! ถ้าเจอเจ้าหัวขโมยล่ะก็เขาจะตีจนแม่ของคนผู้นั้นจำตัวเขาไม่ได้เลย! 

 

 

แคลร์หันกลับมาและเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบ นางพูดอย่างเย็นชา “ตามข้ามา” 

 

 

ถ้าแค่ขโมยเงิน แคลร์อาจจับขโมยไม่ได้เลยจริงๆ 

 

 

แต่นี่ขโมยอะไรไม่ขโมย มาขโมยคนไปได้! 

 

 

วัลโดถูกขโมยไปเช่นนี้! 

 

 

ขโมยผู้นี้ฝีมือไม่เบา ฝีมือไม่เบาจริงๆ 

 

 

แคลร์เดินไปตามทางที่วัลโดบอกด้วยใบหน้าสงบ นางเดินผ่านถนนสองสายไล่ตามไปจนถึงตรอกลึกซึ่งเป็นซอยเงียบๆ ที่ไม่มีคน เมื่อเดินไปจนสุดทาง ด้านขวามือมีป้ายบอกว่านี่คือโรงแรม 

 

 

แคลร์ผลักประตูเข้าไป คนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ดูง่วงเหงาหาวนอน เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นแคลร์และพรรคพวก เขาก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แคลร์กลับสะบัดนิ้วของนางแล้วลูกไฟเล็กๆ ก็บินไปตรงหน้าของเถ้าแก่ จากนั้นมันก็หมุนรอบเขาสองทีแล้วดับลง 

 

 

เถ้าแก่อ้าปากค้างไม่พูดอะไร นักเวทย์! มีนักเวทย์อยู่ในโรงแรมเล็กๆ ของเขา! 

 

 

“เรากำลังตามหาใครบางคนอยู่ ถ้าเกิดเสียงอะไรขึ้นเจ้าไม่ต้องสนใจ แล้วข้าจะชดเชยความเสียหายทั้งหมดให้เป็นสองเท่า” เฟิงอี้เซวียนแทบจะกัดฟันอย่างแค้นแล้วพูดคำเหล่านั้นออกมา 

 

 

แคลร์เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรสักคำ 

 

 

เสียงร้องของวัลโดยังคงดังอยู่ “แคลร์ ทำไมเจ้าโง่เช่นนี้? ห้ะ? ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดนี้กลับถูกขโมย เขาจับกระเป๋าของเจ้า เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือไง ห้ะ? “ 

 

 

แคลร์รีบวิ่งไปห้องที่วัลโดบอกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกขโมยของ! 

 

 

“สุ่ยเหวินโม่ เจ้ารับผิดชอบทางหน้าต่าง จินเหยียน เจ้าดูทางประตู” แคลร์โกรธจริงๆ นางถูกขโมยของโดยไม่รู้ตัวเลย! 

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่นี่? ” เฟิงอี้เซวียนมองไปที่ประตูห้องอย่างสงสัย 

 

 

“ข้าวางคาถาเวทย์เล็กๆ ไว้ที่กระเป๋าเงิน” แคลร์ตอบอย่างขอไปที 

 

 

เฟิงอี้เซวียนเข้าใจได้ทันที จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูให้เปิดออก สุ่ยเหวินโม่พุ่งตรงไปที่หน้าต่างเพื่อปิดทางหลบหนีของคนที่อยู่ในห้อง ส่วนจินเหยียนเฝ้าอยู่ที่ประตู 

 

 

เฟิงอี้เซวียนยิ้ม กำมัดแน่น คราวนี้ถ้าไม่ได้อัดไอ้หัวขโมยก็อย่ามาเรียกเขาว่าเฟิงอี้เซวียนเลย 

 

 

หลังจากประตูถูกเตะเปิดออก ปฏิกิริยาแรกของคนในห้องก็คือรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง แต่ที่หน้าต่างมีสุ่ยเหวินโม่ป้องกันไว้อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีคนเฝ้าที่ประตูด้วย 

 

 

“เจ้าจะไปไหน? ” เฟิงอี้เซวียนยิ้มอย่างมีความสุข 

 

 

แคลร์มองหัวขโมยหนุ่มในห้องนั้น เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ผมสีน้ำตาล และมีผมหน้าม้ายาวปิดคิ้วของเขา ดวงตาสีเข้มคู่โตมองมาที่พวกเขาอย่างตื่นตระหนก 

 

 

“ข้าจะคืนของให้พวกเจ้า ปล่อยข้าไปเถอะ” หัวขโมยหนุ่มรีบพูด เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน เดิมทีคิดว่าเขาได้ของดีมา แต่เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะมีฝีมือที่ทรงพลังเช่นนี้ ช่างเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดมาก หัวขโมยหนุ่มรีบหยิบถุงเงินทั้งหมดออกมาวางไว้บนโต๊ะ มีหินจิตวิญญาณของแคลร์อยู่ด้วย ของทุกอย่างถูกเอาออกมาทั้งหมด 

 

 

แคลร์เงียบ นางหยิบกระเป๋าเงินและหินจิตวิญญาณใส่กระเป๋ากลับไปที่เดิม 

 

 

“ให้ปล่อยเจ้าไปน่ะได้ แต่รอให้ข้าอัดเจ้าจนกว่าจะจำหน้าตัวเองไม่ได้เสียก่อนแล้วจะปล่อยเจ้าไป” เฟิงอี้เซวียนถกแขนเสื้อของเขาเพื่อจะเริ่มลงมือ 

 

 

แต่แคลร์กลับมายืนขวางตรงหน้าระหว่างหัวขโมยกับเฟิงอี้เซวียนที่กำลังใกล้เข้ามา หัวขโมยหนุ่มสบตาแคลร์แล้วก้าวถอยหลัง หญิงผู้นั้นทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างไม่สามารถอธิบายได้ 

 

 

“เจ้าชื่ออะไร? ” แคลร์ถามพลางมองไปที่เด็กชายตัวผอมตรงหน้านาง 

 

 

เด็กชายกัดริมฝีปากไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

ทันใดนั้นแคลร์ก็หัวเราะเยาะ “ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะให้พวกเขาเปลื้องผ้าเจ้า มัดเจ้า แล้วส่งตัวเจ้าเข้าคุก กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินเลย เพราะข้าเป็นเจ้าเมืองเมืองนี้” 

 

 

หัวขโมยมองไปยังแววตาที่เย็นชาของแคลร์ อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นแล้วกระซิบตอบ “ข้าชื่อซัมเมอร์ ไอล์” 

 

 

ทุกคนในห้องพึมพำเมื่อได้ยินคำขู่ของแคลร์ นี่มันคำขู่อะไรกัน? เปลื้องผ้าหรือ? แค่ส่งเข้าคุกทำไมต้องเปลื้องผ้าด้วยล่ะ? 

 

 

“ดีมาก ซัมเมอร์ เรามาคุยกันเถอะ ทำไมเจ้าถึงขโมยของ” แคลร์พูดเรียบๆ นางดึงเก้าอี้และนั่งลง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้จินเหยียนปิดประตู 

 

 

“ข้าเป็นหัวขโมย” ครั้งนี้ซัมเมอร์ไม่มีน้ำเสียงอับอาย แต่เขากลับยืดอกแล้วพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ ความหมายของเขาก็คือเขาเป็นขโมย ดังนั้นเขาก็ควรขโมยของไง แต่แคลร์สังเกตเห็นว่าซัมเมอร์มีความภาคภูมิใจตอนที่เขาพูดเช่นนี้ 

 

 

……………………………………………………………………………..