บทที่ 59 เจ้าพอใจหรือไม่

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ช่างยากที่จินตนาการเหลือเกินว่าคำพูดที่มีตรรกะเหตุผลเช่นนี้จะออกมาจากปากของซินหรูได้ ไม่เพียงหลินชิงเวยเท่านั้นที่คาดไม่ถึง แม้กระทั่งจ้าวเฟยก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน

สีหน้าของจ้าวเฟยภายใต้แสงจากคบไฟนั้น เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีสีสันเพียงใด นางเพียงแค่ต้องการมาโอ้อวดและประกาศศักดาเท่านั้น มิได้มาหาเรื่องใส่ตัว

แต่นางคนชั้นต่ำนางนี้ ช่างทำให้คนโทสะเดือดดาลนัก คืนนี้ไม่สั่งสอนนาง เกรงว่าจ้าวเฟยกลับไปถึงตำหนักก็มิอาจนอนหลับได้

นางประสานสายตากับคนทั้งสองที่ยืนอยู่ในแปลงสมุนไพรราวกับกำลังประเมินผลได้และผลเสีย จากนั้นจึงหัวเราะเสียงแหลมออกมา นางยื่นคบไฟให้กับนางกำนัลข้างกาย “เจ้าท้วงเตือนเปิ่นกง เปิ่นกงมิอาจเผาแปลงสมุนไพรเหล่านี้จริงๆ เปิ่นกงย่อมปรารถนาให้อาการประชวรของฝ่าบาทหายเป็นปกติโดยไวเช่นกัน ทว่า” น้ำเสียงของจ้าวเฟยพลันเปลี่ยนไป “บ่าวไพร่ชั้นต่ำเช่นเจ้าที่กำเริบเสิบสานเช่นนี้ เปิ่นกงยังมีอำนาจที่จะจัดการได้ เด็กๆ ยังไม่รีบไปลากตัวนางคนชั้นต่ำออกมาให้เปิ่นกงอีก”

ดังนั้นนางกำนัลสองนางจึงก้าวขึ้นหน้า เหยียบย่ำลงบนสมุนไพรที่พวกนางเพิ่งจะรดน้ำใส่ปุ๋ยอย่างไร้ปราณี มุ่งหน้ามาทางซินหรู แต่ยังเดินไม่ถึงสองก้าว พลันมีเสียงฟู่ๆ ดังขึ้นจากบนพื้นดิน นางกำนัลทั้งสองก้มหน้าลง ราวกับมีสิ่งของอะไรตวัดผ่านเท้าของตน

นางกำนัลสองนางนั้นยังมิทันได้ดูให้ชัดเจน ทว่ากลับถูกเสียงฟู่ๆ นั้นทำให้ตื่นตระหนก จึงรีบถอยหนีทันที จ้าวเฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ก็ได้ยินเสียงของนางกำนัลร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “งู มีงู”

นางกำนัลคุ้มกันจ้าวเฟยให้ถอยหลัง ใบหน้าของจ้าวกุ้ยเฟยซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว

ภายใต้แสงไฟนั้น เห็นเพียงงูสีเขียวราวกับหยกตัวหนึ่งกำลังเลื้อยออกมาจากต้นหญ้า กำลังเลื้อยมาทางจ้าวเฟย บนร่างของมันเป็นสีดำและมีลวดลายสีเหลือง ดูไปแล้วน่าเกลียดและน่ากลัวยิ่ง มันส่งเสียงสื่อสารของงู เสียงนั้นทำให้จ้าวเฟยตื่นตระหนกเสียจนขนลุกเกรียวทั้งร่าง

จ้าวเฟยหน้าเปลี่ยนสี “ไฉนที่นี่จึงมีงูได้เล่า ยังไม่ ยังไม่รีบจับงูออกไปอีก”

ทันทีที่สิ้นเสียง งูสีเหลืองตัวนั้นกลับยืดตัวขึ้น พันรอบข้อเท้าของจ้าวเฟย มันพันรัดอย่างแน่นหนา จ้าวเฟยตกใจเสียจนกระตุกทั้งร่าง ไร้ซึ่งท่าทีหยิ่งผยองเช่นเมื่อแรกมาถึง งูสีเหลืองตัวนั้นอ้าปาก ยังไม่ได้เตรียมจะกัดลงไป จ้าวเฟยก็ถูกทำให้ตกใจจนสิ้นสติไปเสียก่อน ต่อมางูลายเหลืองตัวนั้นยังคงกัดลงบนขาของนางครั้งหนึ่งอย่างเสียไม่ได้

ในเมื่อมาเป็นเหยื่อแล้ว หากไม่กัดสักคำจะได้หรือ นี่มิใช่นิสัยของงู

เดิมทีซินหรูคิดจะเรียกอาหวงกลับมา แต่นางเพิ่งคิดจะเอ่ยปาก ขันทีทางนั้นได้ใช้กิ่งไม้ปลายแหลมเขี่ยอาหวงออกมา เมื่อทำไม่สำเร็จจึงใช้ไม้ปลายแหลมนั้นแทงเข้าไปในร่างของอาหวง อาหวงได้รับความเจ็บปวด จึงผ่อนแรงลงทันที เลื้อยผละออกจากขาของจ้าวเฟยมาบนพื้น

ต่อมาขันทีไม่รู้ไปหยิบดาบมาจากที่ใด ฟาดฟันลงบนร่างของอาหวงจังๆ

ซินหรูเบิกตาโต ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำในชั่วพริบตา นางคิดจะวิ่งเข้าไป ทว่าถูกหลินชิงเวยรั้งเอาไว้ ได้แต่มองอาหวงเจ็บปวดจนขดร่างเป็นก้อนกลมๆ อยู่บนพื้นตาปริบๆ

ขันทียังไม่ยอมเลิกรา ยังคิดจะฟันอีกสองครั้ง หลินชิงเวยจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่า “หากยังมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก เหนียงเหนียงของพวกเจ้าน่าจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดต้องการถูกฝังร่วมไปกับเจ้านายใช่หรือไม่?”

ขันทีตกตะลึง พลันคิดถึงจ้าวเฟยขึ้นมา จึงไม่มีเวลาสนใจงูอีก รีบประคองจ้าวเฟยจากไปอย่างรวดเร็ว

รอกกระทั่งคนทั้งหมดจากไปแล้ว คบไฟที่ตกอยู่บนพื้นเกิดสะเก็ดประกายไฟ ภายในเรือนพลันบังเกิดความเงียบงัน ซินหรูรีบวิ่งเข้าไปอุ้มอาหวงขึ้นมา น้ำตาของนางไหลพรากในชั่วขณะ

“พี่สาว ข้าไม่ควรให้อาหวงออกมาเลย…”

หลินชิงเวยกล่าวเนิบๆ ว่า “เจ้าจะร้องไห้อะไรกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา”

ซินหรูช้อนตาขึ้นมอง เห็นเพียงหลินชิงเวยหันกายเดินเข้าไปในเรือน ภายในเรือนได้จุดโคมไฟสีเหลืองนวลเอาไว้ เสียงดังมาจากข้างในว่า “ยังไม่นำมันเข้ามาอีก”

ซินหรูประคองอาหวงที่ขาดเป็นสองท่อนเข้าไป หลินชิงเวยได้เตรียมเข็มและด้ายไว้พร้อมแล้ว นางกล่าวอีกว่า “การมีชีวิตรอดของงูนั้นแข็งแกร่งยิ่ง เส้นประสาทของมันพัฒนาไปมาก มีพี่สาวอยู่ เจ้ายังกลัวว่ามันจะตายหรือไร? หืม?”

ท่าทีชำนาญคล่องแคล่วของหลินชิงเวยภายใต้แสงของตะเกียง แม้ร่างของอาหวงจะไถลไปไถลมาในมือของนางราวกับเป็นสบู่ ทว่านางยังคงเย็บแผลให้อาหวงราวกับเย็บเสื้อผ้าอย่าไงรอย่างนั้น “ไปเก็บหญ้าสมุนไพรในแปลงสมุนไพรมาสองใบ”

“อ้อ”

หลินชิงเวยนำใบไม้นั้นมาขยี้ให้ละเอียดจนกลายเป็นน้ำสีเขียว แล้วนำน้ำสีเขียวนั้นมาหยดลงบนบาดแผลของอาหวง “ซินหรู เมื่อสักครู่เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก”

ซินหรูน้ำตาเอ่อคลอดวงตาขึ้นมาอีกครั้ง “ที่จริง ที่จริงข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะ มือของข้าสั่นเทิ้ม ทั้งเกรงกลัวว่าจะมีจุดจบเช่นเดียวกับอาหวงในเวลานี้”

“อาหวงยังเป็นเพียงงูเด็กตัวหนึ่ง ง่ายดายยิ่งนักที่จะสั่งสอนมัน ต่อไปหากเจ้าไม่เพียงแต่จะสามารถสอนให้มันฟังคำสั่งของเจ้ารู้เรื่อง อีกทั้งยังสอนให้มันเข้าใจภาษามือของเจ้า เมื่อข่มขู่ให้คนตกใจแล้วก็ต้องรีบถอยอย่างทันท่วงที ก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก” หลินชิงเวยกล่าว “คนต่ำช้าที่รู้จักเสแสร้งในตำหนักในมีมากมาย หากเจ้าข่มขู่ให้พวกนางหวาดกลัวได้ ครั้งต่อไปพวกนางจะไม่กล้ามาสร้างความยุ่งยากให้เจ้า”

ยังดีที่เจ้างูลายเหลืองตัวนี้ได้ถูกหลินชิงเวยรีดต่อมพิษเรียบร้อยแล้ว หาไม่แล้ววันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ด้วยมีคนตายเป็นแน่

วันรุ่งขึ้น ซินหรูจดจ่อเฝ้าแต่ดูแลอาหวงของนาง หลินชิงเวยต้องไปถวายการรักษาฮ่องเต้ยังตำหนักซวี่หยาง ก่อนที่นางจะออกไป พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดที่ส่องสว่างทำให้คนเกียจคร้านนัก เห็นซินหรูประเดี๋ยวอุ้มอาหวงไปตากแดงงที่ขอบหน้าต่าง อีกประเดี๋ยวอุ้มมันไปไว้ใต้ชายคาเรือน หลินชิงเวยจึงเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้ว่า “ซินหรูเอ๋ย มันยังเป็นผู้ป่วย เจ้าย้ายไปย้ายมาเช่นนี้ บาดแผลของมันยังไม่หายดี ก็ถูกเจ้าเล่นจนตายแล้ว เจ้านำมันไปทิ้งไว้ในมุมที่อับชื้นสักหน่อย ให้มันค่อยๆ สมานแผลด้วยตัวของมันเองก็พอ”

รอกระทั่งหลินชิงเวยไปถึงตำหนักซวี่หยาง เซียวเยี่ยนอยู่ที่นั่นด้วย เซียวจิ่นดูเหมือนรอนางอยู่สักพักแล้ว

ทันทีที่เข้าประตูไป เซียวจิ่นก็เอ่ยปากถามทันที “หลินเจาอี๋ วันนี้จะฝังเข็มหรือไม่?”

หลินชิงเวยกล่าว “การฝังเข็มเมื่อวานนี้ทำให้ฝ่าบาทสบายเนื้อสบายตัวใช่หรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นกระแอมกระไอในคอ “พอใช้ได้”

หลินชิงเวยหันไปมองเขานิ่งๆ แวบหนึ่ง “สีหน้าท่าทางของฝ่าบาทดีขึ้นมากเพคะ อาเจียนโลหิตที่เป็นพิษวันละคำ รอกระทั่งอาเจียนหมดแล้ว ก็ไม่ต้องให้หม่อมฉันมาฝังเข็มแล้วเพคะ”

เซียวจิ่นเป็นคนช่างสังเกตสีหน้าท่าทางคนยิ่งยวด เป็นคนมีอุปนิสัยดียิ่ง เขามองหลินชิงเวยแล้วกล่าวว่า “เจิ้นทำให้เจ้าไม่พอใจ?”

เจ้าเด็กคนนี้ทำไมจึงอ่อนไหวขนาดนี้ หลินชิงเวยกล่าวสัพยอกว่า “หากฝ่าบาทยอมขึ้นเงินเดือนให้หม่อมฉันแล้วละก็ หม่อมฉันจะเบิกบานใจขึ้นเล็กน้อยเพคะ”

เซียวจิ่นกล่าว “เงินเดือนของเจ้าไม่เปลี่ยน เพียงแต่ถูกลดตำแหน่งเท่านั้น เมื่อวานเจิ้นออกพระราชโองการได้แจ้งไปกับผู้ดูแลแล้ว” เอ๊ะ เด็กคนนี้ช่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแท้

เซียวเยี่ยนที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างส่งเสียงขึ้นในเวลานี้ “ลดตำแหน่งแล้ว เงินเดือนกลับไม่ลด นี่ไม่เหมาะสมกับกฎเกณฑ์ของตำหนักใน ฝ่าบาททำเช่นนี้ จะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจเอาได้”

หลินชิงเวยกระพริบตาปริบๆ “ทุกคนต่างมิได้อาศัยอยู่ในตำหนักเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าทุกเดือนหม่อมฉันรับเงินเดือนเป็นเงินเท่าใด หม่อมฉันว่าผู้ที่ไม่พอใจน่าจะเป็นเสด็จอากระมัง เสด็จอา ถูกต้องหรือไม่เพคะ?”

เซียวเยี่ยนมองนางด้วยสายตาเงียบขรึมแวบหนึ่ง ทว่ามิเอ่ยวาจาใดๆ

หลินชิงเวยกล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “อีกทั้งหม่อมฉันมิได้รับเงินเดือนเปล่าๆ ปลี้ๆ นอกจากกินดื่มในแต่ละวันแล้ว หม่อมฉันยังถวายการรักษาให้กับฝ่าบาทด้วย ผู้อื่นไม่อาจแต่งตัวงดงามแล้วออกมาเดินเฉิดฉายเช่นคนอื่นๆ ต่อให้ไม่มีความดีความชอบก็ทำงานอย่างหนักเพคะ”