พอนึกถึงเวลานี้พญายม เพราะเรื่องพวกนี้จึงกลัดกลุ้มใจ เล่อเหยาเหยาจึงอยากแบ่งเบาเขายิ่งนัก
อย่าเข้าใจผิด นั่นเพราะพญายมช่วยชีวิตเธอไว้ ดังนั้นเธอจึงคิดแบ่งเบาภาระของเขา
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้เธออ่านเรื่องมหัศจรรย์เกี่ยวกับน้ำท่วมภัยแล้งใประวัติศาสตร์มาไม่น้อย คล้ายกับว่ามีเสนอเรื่องการป้องกันและรอดชีวิตเอาไว้
สมองทบทวนความทรงจำไม่หยุด ทันใดนั้นเล่อเหยาเหยาคล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที
“เร็ว เสี่ยวมู่จื่อ รีบพาข้าไปพบท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพบเขา เร็วเข้า!”
ขณะที่เล่อเหยาเหยาเร่งรัด เสี่ยวมู่จื่อที่แม้ไม่รู้ว่าเล่อเหยาเหยาคิดทำสิ่งใด แต่ยังประคองเล่อเหยาเหยาขึ้นอย่างระมัดระวัง ก่อนเดินไปทางห้องหนังสือ
เพราะเมื่อครู่เข้าทราบว่า ท่านอ๋องเพิ่งกลับถึงวัง เวลานี้จึงน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือ!
และเพราะห้องหนังสืออยู่ห่างจากห้องเล็กของเล่อเหยาเหยาพอสมควร เสี่ยวมู่จื่อร่างกายบอบบาง ดังนั้นตอนที่ประคองเล่อเหยาเหยามาถึงห้องหนังสือ เหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัว หอบหายใจราวกับวัว
แต่เมื่อเขาประคองเล่อเหยาเหยามาถึงประตูห้องหนังสือ จึงคิดปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือพวกเขาไม่ได้บอกกล่าวก่อนมา แต่ผลีผลามมาพบ ไม่รู้ท่านอ๋องกำลังทำเรื่องสำคัญใดอยู่ในห้องหนังสือ หากรบกวนท่านอ๋องเข้า!?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่อรู้สึกลำบากใจ กำลังคิดจะพูดบางอย่างกับเล่อเหยาเหยา ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออกมาจากด้านในพอดี
เงาร่างสีดำสูงใหญ่ พลันปรากฎออกมาต่อหน้าพวกเขา
เป็นหนึ่งในองครักษ์ลับของพญายม คล้ายชื่อว่าเหม่ยอะไรสักอย่าง
พอเห็นคนออกมา เล่อเหยาเหยาตพตะลึงเล็กน้อย
ฝ่ายนั้นเห็นชัดว่าเห็นพวกเล่อเหยาเหยาเช่นกัน
กวาดสายตามองเสี่ยวมู่จื่อที่ประคองเล่อเหยาเหยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพลันเอ่ยปากถามว่า
“มีเรื่องพบนายท่าน?”
“เอ้อ?”
น้ำเสียงเย็นชา ราวบ่อน้ำลึกพันปี ใบหน้าราวน้ำแข็งหมื่นปีนั้น ช่างสูสีกับพญายมจริงๆ
ดังนั้น ขณะที่สังเกตชายหนุ่มที่เอ่ยพูดกับตน เล่อเหยาเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนพลันได้สติ และนึกถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ก่อนหน้านี้ แล้วรีบพยักหน้าเอ่ยออกไป
“รบกวนพี่ชายแล้ว ข้ามีเรื่องด่วนต้องพบท่านอ๋องขอรับ!”
เล่อเหยาเหยารีบเอ่ยปากขึ้น
อันที่จริงตอนนี้ แม้เธอจะเป็นขันทีข้างกายท่านอ๋อง แต่ตอนนี้จะพูดอย่างไร เธอยังไม่ได้บอกกล่าวท่านอ๋องล่วงหน้า และไม่สามารถเข้าพบท่านอ๋องในห้องหนังสือได้ตามใจ
ดังนั้นหลังเห็นเหม่ยออกมา เล่อเหยาเหยาจึงไม่อยากพลาดโอกาสที่หาได้ยากนี้ จึงรีบร้อนเอ่ยปาก
เหม่ยที่ได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยา มองสีหน้าร้อนใจเธออีกครั้ง จากนั้นไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นหมุนกายเข้าไปในในห้องหนังสือ ไม่นานกลับออกมา เอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าเข้าไปได้”
“ขอบคุณขอรับ”
เมื่อได้คำพูดของเหม่ย เล่อเหยาเหยารีบเอ่ยขอบคุณ พลันเดินเข้าไปในห้องหนังสือ โดยการประคองของเสี่ยวมู่จื่อ
หลังเข้ามาในห้องหนังสือ เล่อเหยาเหยากวาดสายตาครู่หนึ่ง จึงพบว่าภายในห้องหนังสือมีเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ บนมือกำลังถือหนังสือเล่มหนา ราวค้นหาบางสิ่งอยู่
เพราะเขาพลิกหนังสือไปมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากเขาไม่มีความสามารถดูได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องกำลังหาบางสิ่งอยู่เป็นแน่ นี้เล่อเหยาเหยารู้หลังจากสังเกตเห็น
อักทั้งวันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวลายเมฆสีดำ ทำให้ท่าทางจริงจังที่ห่อหุ้มเขาไว้นั้น เข้ากับรูปร่างสูงของเขา
ผมยาวตรงสลวยดำสนิทราวน้ำตกบนศีรษะ พร้อมด้วยดวงตาดำขลับสุกใสราวผ้าไหม งดงามจนทำให้คนตกตะลึง
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดที่สุดคือ ใบหน้าประณีตเข้มแข็งนั้นของเขา
ทุกส่วนล้วนสมบูรณ์อย่างไร้ขีดจำกัด แม้ภายนอกเขาจะดูเยือกเย็น แต่มองทั่วร่างกลับช่างสง่างาม สมบูรณ์แบบ หล่อเหลางดงาม
ความน่างเกรงขามระหว่างคิ้ว ทำให้เขาดูมีพลังหยิ่งยโส คล้ายโลกอันกว้างใหญ่ ต้องอยู่ในกำมือของเขา!
แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มมีดวงใจที่ผู้คนคาดคะเนไม่ได้ แต่รูปโฉมของเขา ทุกคนที่ได้เห็นล้วนต้องหวั่นไหวตกตะลึง
และชายหนุ่มคล้ายสังเกตได้ถึงการมองของเล่อเหยาเหยา กลับไม่เงยหน้าขึ้นมา สายตาคมกริบ จ้องเขม็งบนหนังสือในมือ ราวกับสมองของเขามีตาคู่หนึ่งงอกออกมา ดังนั้นทุกท่าทางของเล่อเหยาเหยาจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เจ้าอยากพบข้ามีเรื่องใดหรือ?”
น้ำเสียงแหบพร่าเย็นชาเล็กน้อย ทำให้เล่อเหยาเหยาพลัยได้สติ ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองบ้าผู้ชายเกินไปอีกครั้งแล้ว จึงงอดกัดลิ้นไม่ได้ ทว่าไม่นานนึกจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ได้ขึ้นมา ใบหน้าพลนเคร่งเครียด ดวงตาเป็นประกาย มองตรงไปยังพญายม ลืมกระทั่งทำความเคารพ ก่อนรีบร้อนเอ่ยขึ้น
“ท่านอ๋อง บ่าวรู้เรื่องวิธีจัดการเรื่องน้ำท่วมและภัยแล้งเล็กน้อย ไม่ทราบท่านอ๋องยอมเสียเวลาฟังหรือไม่ขอรับ!?”
แม้ตอนแรกเล่อเหยาเหยาจะอ่านหนังสือมาไม่น้อย และรู้วิธีจัดการน้ำท่วมและภัยแล้วบางส่วน แต่เพราะแต่ละทุกสมัยล้วนไม่เหมือนกัน เธอไม่แน่ใจว่าวิธีเหล่านี้ของตนจะสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่กล้ามั่นใจ
แต่เธออยากพูดออกมา เพราะหลังพญายมฟังแล้ว อาจคิดหาวิธีที่ดีออกมาได้ หรืออาจมีบางเรื่องที่เขาสามารถหยิบไปใช้ประโยชน์ได้
ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา บนใบหน้าตกตะลึงอย่างชัดเจน ก่อนสายตาจะหยุดลงที่ตัวเล่อเหยาเหยาอย่างลึกล้ำอยู่ชั่วขณะ เล่อเหยาเหยาจึงมองอย่างกังวลใจ เสี่ยวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้างตกใจอย่างยิ่ง
อันที่จริงตอนที่เขาพาเล่อเหยาเหยามาที่นี่ เดิมทีไม่รู้ว่าเล่อเหยาเหยาจะมาที่นี่เพื่อพูดเรื่องพวกนี้ ดังนั้นขณะที่ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ในใจสงสัยเล่อเหยาเหยาในอ้อมกอดขึ้นมา
ไม่ใช่เขาไม่เชื่อเล่อเหยาเหยา แต่เรื่องที่ขุนนางและฮ่องเต้ยังไร้วิธีจัดการพวกนี้ เธอจะจัดการได้จริงหรือ?!
ไม่เพียงเสี่ยวมู่จื่อที่คิดเช่นนี้ ความจริงในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็เช่นกัน
ทว่าเมื่อมองดวงตาสุกใสคู่นั้นของเล่อเหยาเหยา และแววตาอันหนักแน่น ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงเริ่มเชื่อมั่นเขาขึ้นมา
อันที่จริง หากในใจเขาไม่มีความมั่นใจใดๆ ทั้งสิ้น คงไม่รีบร้อนมา โดยที่เท้ายังบาดเจ็บอยู่เป็นแน่
พอนึกได้ว่าเท้าของเขายังบาดเจ็บ ดวงตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันเป็นประกาย ก่อนวางหนังสือลง มือหนึ่งชี้ไปที่เก้าอี้ไม้ลายสลักด้านข้าง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ นั่งลงแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
“เอ้อ ขอบพระคุณท่านอ๋อง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงรับรู้ว่าเขายินยอมฟังตน เล่อเหยาเหยาจึงตกตะลึงเล็กน้อยชั่วครู่ คิ้วและตาโค้งงอ ยิ้มอย่างอ่อนโยนดึงดูดใจคน
ทว่าเธอไม่รู้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าตนเวลานี้ งดงามเพียงใด!
ดูภายในใจของบางคน อดสั่นไหวขึ้นมาราวระลอกคลื่นไม่ได้เป็นแน่
…………………………………….