บทที่ 53 ท้อแท้ Ink Stone_Romance
จวนตะวันออก
หลังจากสั่งงานมากมายเสร็จ นายท่านสองก็เข้าไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อเห็นว่าเขามาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าลืมตาขึ้นแล้วสั่งสาวใช้ที่ปรนนิบัตินางให้ถอยออกไป
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าดูซีดเซียว หายใจลำบาก
นายท่านสองค่อยๆ ย่องเข้าไปหายืนค่อมตัวลง “หมอมาดูอาการน้องหกเรียบร้อยแล้วขอรับ บาดแผลสาหัสนิดหน่อย เกรงว่าจะลุกจากเตียงไม่ได้อีกสองสามเดือน”
แล้วจู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ปาถ้วยชาในมือใส่นายท่านสอง
“พวกเจ้าพี่น้องอยากให้ข้าตายนักใช่หรือไม่!” นางดุด่าด้วยความโกรธ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
นายท่านสองไม่สนใจว่าร่างกายของตนนั้นเปียกอยู่ เขารีบคุกเข่าลงที่หน้าเตียงแล้วพูดด้วยความจริงใจไปว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเราเองขอรับ ท่านแม่โปรดดูแลสุขภาพของตนเองด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าน้ำตาไหลพราก นางชี้ไปที่นายสอง แต่ก็โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ!” นายท่านสองเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปลูบปลอบนางแต่กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าผลักออกไป
“พวกเจ้า พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากดเสียงด่าเขา “หลายปีเพียงนี้กลับปิดบังข้าไว้ซะมิด คิดว่านอกจากลูกหกที่ทำตัวเกเรแล้ว คนอื่นๆ ล้วนทำตัวดีมีอนาคต ใช่ พวกเจ้าดี ดีจริงๆ! เรื่องเช่นนี้ยังกล้าคิด! นี่ถ้าท่านพ่อของเจ้ายังอยู่ เขาคงตีเจ้าไม่ยั้ง!”
นายท่านสองที่ไม่ค้านอะไรสักคำก็เงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าท่านพ่อตายอย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธ “เขาอายุสั้น เจ้าถามทำไมกัน”
“หากบอกว่าเป็นท่านอาสองที่อายุสั้นดูจะมีเหตุผลเสียกว่า ท่านพ่อมีสุขภาพแข็งแรงมาตลอดจะอายุสั้นได้เยี่ยงไร” นายท่านสองมีสีหน้าเศร้าหมอง
“ท่านพ่อรู้สึกคับใจถึงได้จากไปเร็วเช่นนี้ นับตั้งแต่ท่านปู่ถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย ท่านพ่อก็ไม่ยิ้มอีกเลยเป็นเพราะท่านโมโหมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอนกายพิงหัวเตียงโกรธจนร้องไห้ “เจ้ากล้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านปู่ของเจ้าทำเรื่องที่ผิด ซ้ำร่างกายยังถูกยากัดกร่อนถึงได้จากโลกนี้ไป เพื่อรักษาหน้าตาของปู่เจ้า ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงไม่เอาความ! เหตุใดเจ้าถึงได้กล้าลบหลู่เช่นนี้!”
“แต่แผ่นดินต้าฉีนี้พวกเราตระกูลหมิงก็มีความดีความชอบด้วย!” น้ำเสียงของนายท่านสองต่ำลง เขาไม่ยอมแพ้ “ท่านปู่ทุ่มเทด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาเพื่อเขาแล้ว ท่านพ่อและท่านอาสองเองก็ทำงานอย่างหนักแต่เนิ่นๆ เพื่อเขา เหตุใดเขาถึงทำให้ชีวิตท่านปู่พังพินาศไปในพริบตาเดียวด้วยความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ทำให้ท่านพ่อต้องจากไปอย่างทุกข์ทรมาน”
“เจ้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนพูดไม่ออก มือที่ชี้หน้าเขาสั่นเทา พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปสักพักนางถึงได้ถามออกไปว่า “พวกเจ้าพี่น้องคิดเช่นนั้นหรือ”
นายท่านสองคุกเข่าต่อหน้านาง ปิดปากตนเองแน่น แต่สีหน้าท่าทางของเขานั้นยืนยันประโยคที่พูดออกไปโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาทั้งน้ำตา “เวรกรรม! ข้าเลี้ยงพวกเจ้ามาหลายปีเพียงนี้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าทุกคนต่างไม่นึกถึงบิดามารดา ไม่เคารพฝ่าบาทเช่นนี้!”
นายท่านสองพูด “ผู้ใดคือฝ่าบาทกัน เขาทำตัวเป็นศัตรูไร้น้ำใจ ยังถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมอยู่อีกหรือ”
“เจ้าหุบปาก!” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเสียงเข้ม “เจ้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้ ไม่กลัวผู้อื่นได้ยินเข้าหรืออย่างไร”
นายท่านสองปิดปากสนิทแล้วก้มหน้าลง ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งรู้สึกผิดหวังที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ “ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดพวกเจ้าต้องไปบังคับสะใภ้สามด้วย พวกเจ้ามองข้ามเรื่องความสัมพันธ์ไปได้อย่างไร ตระกูลเราไม่มีปัญญาหาซื้อหญิงงามเพียงนั้นเลยหรือ”
“เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ขอรับ” นายท่านสองอธิบายเสียงเบา “น้องหกดื่มหนักแล้วทำเรื่องนั้นลงไปแล้วบังเอิญว่าทางฝั่งจวิ้นอ๋อง…”
“พอแล้วๆ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าขัดจังหวะเขา “เรื่องพวกนี้อย่ามาเล่าให้แสลงหูข้า!”
“…ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูด “หากข่าวการตายของสะใภ้สามไปถึงเมืองหลวง ตระกูลจี้จะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าปล่อยให้เสี่ยวชีตามท่านลุงของนางกลับไปเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของนางอ่อนลง นายท่านสองก็โล่งใจ “ท่านแม่วางใจเถอะขอรับ เสี่ยวชีเป็นสายเลือดตระกูลหมิง นางไม่ลำบากแน่นอนขอรับ”
“เจ้ายังกล้าพูด!” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง “หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ เสี่ยวชีที่ไร้เดียงสาจะไปที่สวนซิ่นแห่งนั้นได้อย่างไร ตอนนี้ไม่รู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้างแค่จะถามข้ายังไม่กล้า! ได้แต่หวังว่าท่านลุงของนางจะเห็นแก่ท่านแม่ของนางไม่สืบหาความจริงในเรื่องนี้”
นายท่านสองยอมรับผิด “เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ท่านอย่าเพิ่งโกรธเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกท้อแท้ “ข้าแค่หวังว่าข้าจะตายในเร็ววันจะได้ไม่ต้องมาเห็นบ้านแตกสาแหรกขาด”
“ท่านแม่ขอรับ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าออกไปเถอะ” แล้วนางก็หันหน้าหนี ไม่อยากคุยกับเขาต่อ
นายท่านสองลุกขึ้นโค้งกายแล้วรีบเดินออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเยาะตนเอง “ตกลงข้าเลี้ยงลูกๆ มาเป็นคนแบบใดกันแน่นะ”
……….
นายท่านสองกลับมาที่เรือนเล็ก แล้วคนสนิทของเขาก็รายงานว่า “แม่นางอาหว่านกลับไปแล้วขอรับ”
“ก่อนนางจากไปนางได้พูดอันใดหรือไม่”
“ไม่ได้พูดอันใดขอรับ”
“แล้วมีอันใดผิดปกติหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ”
นายท่านสองพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ” เมื่อคนสนิทจากไป นายท่านสองจึงเดินเข้ามาในห้อง
ทุกคนในเรือนต่างคิดว่าที่นี่เป็นห้องหนังสือของเขา แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าแท้จริงแล้วเป็นที่พักอาศัยของคนผู้หนึ่ง ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าไป เขาก็เห็นชายผู้นั้นนั่งหันหลังให้เขาอยู่หลังโต๊ะ
“ตกลงเสี่ยวชีเป็นอันใดหรือไม่” เขาถาม “ผ่านไปข้ามคืนถึงถูกส่งตัวกลับมา หรือว่าคุณชายหยาง…”
“ยังไม่รู้เลย” นายท่านสองตอบ “ตอนนี้อารมณ์ของเสี่ยวชีไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก ข้าเลยไม่กล้าส่งคนไปสอบถาม”
ชายผู้นั้นพูดขึ้น “สั่งให้คนอื่นจับตามองนางให้มากขึ้น หากมีอันใดผิดปกติให้รีบรายงานข้าทันที”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” นายท่านสองชะงัก “ท่านยังสงสัยนางหรือ”
“ไม่สงสัยไม่ได้” เขาตอบ “ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่าข้าไม่ลองเรียกดวงวิญญาณของนางกลับมาหรือไม่รักษานางแล้ว เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้หายป่วยขึ้นมาแล้วยังมีเรื่องแปลกๆ อีก เราต้องไม่ประมาท”
“แต่ตอนนี้เกิดความผิดพลาดเช่นนั้น” นายท่านสองขมวดคิ้วแน่น “หากคุณชายหยางยื่นมือเข้ามาจะทำเยี่ยงไร”
“ดูและจัดการไปตามสมควร!” เขาตอบ “ผู้ที่ส่งนางกลับมาไม่ได้จากไปแล้วหรอกหรือ อย่าให้นางติดต่อกับคนภายนอก รอให้เหตุการณ์ผ่านไปก่อนแล้วค่อยลงโทษนาง”
“อืม” นายท่านสองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าว่าท่านคงคิดมากเกินไป หากไม่ใช่เพราะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด นางจะเป็นกังวลเพียงนี้ได้อย่างไร ไม่แปลกที่นางจะไปแทน”
“หวังว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น” เขาพูดเสียงต่ำลง “หากไม่มีปัญหาก็ดีไป ตอนนี้นางรู้ความลับของพวกเราแล้ว แล้วยังมีปิ่นนั่นอยู่ในมืออีก เราจะต้องไม่ผิดพลาดเด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“พิธีศพในวันรุ่งขึ้นคงมีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย น้องสี่เองไว้ใจไม่ได้ ท่านไปจัดการเถอะ”
“ได้” นายท่านสองเดินจากไป
ผ่านไปเป็นเวลานาน สักพักคนที่อยู่ในห้องที่มืดมิดก้มหน้าลงมองสองมือของตนเอง
เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
ภายในห้องที่เงียบสงบไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ ว่าตนเองจะทำเรื่องเช่นนั้นออกไปได้”
“ในชาตินี้ข้าต้องขอโทษท่านในชาติหน้าหากท่านอยากแก้แค้นข้า ข้าก็ยินดี”
“แต่ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็มาหยุดข้าไม่ได้!”
……………………………………………..