บทที่ 41 พรสวรรค์ด้านบทกวีของผู้ใต้บังคับบัญชา

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนในสำนักทะเลาะวิวาทกันหรือ เป็นเพราะการสนทนาเต๋าทะลุถึงขีดจำกัดหรืออย่างไร สุภาพบุรุษจึงเลื่อนขั้นจากการใช้ปากมาเป็นลงไม้ลงมือแทน? องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง นางเคยร่ำเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่อยู่ระยะหนึ่ง

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนในสำนักมักจะนั่งพูดคุยหารือกัน พวกเขายิ้มเมื่อมีความสุข เมื่อตอนที่ร้อนรนก็จะตะโกนด่าทอกันอย่างรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์

แต่สถานการณ์ที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือนางไม่เคยเจอมาก่อน

ตัวตนของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นสูงส่งน่านับถือ เป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่น จะลงมือกันง่ายๆ ได้อย่างไร

จ้าวโส่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาวางถ้วยชาลง และถามว่า “ลงไม้ลงมือกันด้วยเหตุใด”

ชายชราคนนั้นส่ายหน้าและพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้ เดิมทีท่านมู่ไป๋กำลังเซ็นลงนาม แต่ทันใดนั้นสุภาพบุรุษทั้งสองก็ปรากฏตัว จากนั้นพวกเขาก็ทะเลาะกันขอรับ”

ชายชราชะงักไปครู่หนึ่ง และกล่าวเสริมด้วยสีหน้าวิตกกังวล “เจ้าพูดว่า ‘ตาเฒ่า’ เขาพูดว่า ‘โจรเฒ่าไร้ยางอาย’ ดูจะโกรธจริงๆ ขอรับ”

เวลานี้เจ้าสำนักผู้ใจสงบนิ่งดั่งขุนเขาตกตะลึงและตระหนักได้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ

องค์หญิงใหญ่พูดว่า “เจ้าสำนักพาข้าไปด้วยเถิด”

จ้าวโส่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในระยะหนึ่งจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 10 ฟุต) ของข้า เป็นเขตของราชวิทยาลัยปราชญ์”

องค์หญิงใหญ่ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นรูปปั้นนักบุญที่ถือม้วนกระดาษไว้ในมือ เปลวไฟลุกพรึ่บ ควันสีเขียวขดตัวอยู่ในห้องโถง

นอกห้องโถงเกิดความโกลาหลขึ้น ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาข้างใจทำให้เทียนดับไป

เจ้าสำนักจ้าวโส่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะหายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เผชิญกับลมกระโชกแรง นางเดินไปทางประตูโถง

ลมแรงทำให้ชุดของนางปลิวไปข้างหลัง ปกเสื้อแนบติดกับหน้าอก แม้แต่ชุดฤดูหนาวหนาๆ ก็ไม่อาจปกปิดสัดส่วนโค้งเว้าของนางได้

เมื่อมองออกไปไกลๆ กลางอากาศ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทังสามกำลังยืนอยู่ในอากาศ

ระลอกคลื่นยักษ์น่าเกรงขามแผ่ออกมาจากร่างของทั้งสามคน กลิ่นอายความเที่ยงตรงและไม่ยอมอ่อนข้อปะทะกัน อากาศปั่นป่วนจนทำให้เกิดลมแรง

จางเซิ่นร้อง ‘หึ’ ออกมา “หลี่มู่ไป๋ เจ้ามันคนไร้ยางอาย แย่งชิงนักเรียนกับข้าในวันนั้นก็เพียงพอแล้ว วันนี้ยังทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้อีก หรือความรู้ของปราชญ์ที่เจ้าอ่านลงท้องสุนัขไปหมดแล้ว?[1]”

องค์หญิงใหญ่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่มู่ไป๋ทำอะไรจึงทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นขุ่นเคืองเช่นนี้

แย่งนักเรียนหรือ ทั้งสองคนแย่งนักเรียนกันหรือ

หลี่มู่ไป๋โต้กลับเสียงดัง “ในฐานะอาจารย์ จะมีปัญหาอะไรกับการช่วยศิษย์ขัดเกลาบทความและบทกวี เห็นชัดว่าตาเฒ่าอย่างเจ้าริษยาความฉลาดหลักแหลมของข้า”

เฉินไท่กล่าว “เจ้าหุบปากไปเลย ตาเฒ่าอย่างข้าทนดูไม่ได้แล้ว”

หลี่มู่ไป๋เหล่มองเขา “คนแซ่จางกับข้าโกรธนั้นยังมีเหตุผล แล้วเจ้าล่ะ เฉินไท่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาสอด จะไปไหนก็ไป!”

เวลานี้จางเซิ่นดึงหนังสือออกมาจากในอ้อมแขน และพูดงึมงำว่า “ดูเหมือนการแข่งขันอย่างซื่อตรงจะแยกแยะได้ยาก”

เขาฉีกหน้าหนึ่งออกแล้วจุดไฟ

ทันทีที่กระดาษถูกเผาจนหมด เมฆสีเขียวก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งไปทางหลี่มู่ไป๋

นั่นคือแมลงปีกแข็งที่มีสีเขียวเข้มทั้งตัว มีปากที่ดุร้ายราวกับฝูงตั๊กแตนที่รวมตัวกันหนาแน่น

“สองสามปีก่อนข้าเดินทางไปทั่วโลก ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย” หลี่มู่ไป๋ไม่ตื่นตระหนกเลย เขาดึงหนังสือออกมาเหมือนกัน ฉีกกระดาษออกมาสองแผ่นแล้วและจุดไฟพร้อมกัน

เมื่อหน้าหนึ่งถูกเผาจนหมด มันก็กลายเป็นภาพมายาเสมือนจริงของกิ้งก่าสีแดง

แก้มของกิ้งก่าสีแดงพองขึ้น และทันใดนั้นก็พ่นเปลวไฟร้อนแรงยาวหลายสิบจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 10 ฟุต) ออกมาแผดเผาเมฆสีเขียวบนท้องฟ้าให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ขณะเดียวกัน กระดาษอีกแผ่นก็เผาไหม้เสร็จ แปรสภาพเป็นหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ร่างกายเบาราวกับปลาว่ายน้ำ ว่ายไปทางจางเซิ่น

ระหว่างที่เข้าไปใกล้ เปลือกตาของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางก็หนักอึ้ง อาการง่วงนอนเพิ่มขึ้นอย่างยากจะต้านทาน

หญิงสาวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเข้าใกล้จางเซิ่นด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์

ในเวลานี้เฉินไท่ก็เผากระดาษแผ่นหนึ่งในมือ แก่นปราณ[2]สว่างสดใสปรากฏขึ้น และเปล่งแสงสีทองออกมา

“อ๊ะ…”

หลี่มู่ไป๋ถูกแทงข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งตัว และถูกแสงสีทองฟาดจนโซเซ จางเซิ่นเองก็ถูกเผาไหม้ด้วยแก่นปราณเช่นกัน จึงหลุดจากอาการง่วงนอน รีบขับลมปราณที่กำลังปั่นป่วน และสามารถสลายหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้องนั้นไป

องค์หญิงใหญ่มองฉากนี้อย่างเงียบๆ

ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกสามารถเรียนศาสตร์ของระบบอื่นได้ และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรลงในหนังสือ

สิ่งที่จางเซิ่นใช้เมื่อสักครู่นี้คือวิธีของระบบหมอผี และหญิงสาวบนกระดาษของหลี่มู่ไป๋ก็น่าจะเป็นระบบพ่อมด… แต่ระดับที่เท่าไหร่ นางก็ไม่รู้แน่ชัด

ส่วนที่เฉินไท่ใช้ หากนางมองไม่ผิด เป็นแก่นปราณของลัทธิเต๋า

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามกำลังต่อสู้กันอย่างเต็มกำลังกลางอากาศ เหล่านักเรียนมองอย่างเพลิดเพลินด้านล่าง แม้ว่าจะรู้สึกหนักใจเล็กน้อย และกังวลกับการต่อสู้กันอย่างกะทันหันระหว่างผู้อาวุโสทั้งสามของสำนัก แต่การได้ดูเหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ต่อสู้กันนั้นเรียกได้ว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่หาได้ยาก

เมื่อเห็นว่านานแล้วยังไม่อาจเอาชนะหลี่มู่ไป๋ได้ จางเซิ่นก็คิดขึ้นมาได้ “หลี่มู่ไป๋ กางเกงเจ้าหลุด”

หลี่มู่ไป๋รู้สึกเย็นวาบที่ใต้ขา และพบว่ากางเกงของตัวเองไหลลงไปถึงข้อเท้าแล้วอย่างอึ้งๆ

“บัดซบ!” หลี่มู่ไป๋ระเบิดอารมณ์ออกมา และตะโกนว่า “กางเกงของทุกคนจงหลุด”

ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างล่างก้มลงดึงกางเกงขึ้นอย่างตื่นตระหนก

จี้หยกสีขาวนวลที่เอวขององค์หญิงใหญ่เปล่งแสงแรงกล้า

เสียงน่าเกรงขามดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจน “ที่นี่ห้ามคนสำนักเดียวกันต่อสู้กัน”

“ที่นี่ห้ามลอยขึ้นไปบนฟ้า ไสหัวลงมาซะ!”

เมื่อสิ้นเสียง ปราณที่ปั่นป่วนของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็สลายไปโดยอัตโนมัติ นิวตัน[3]ได้หน้าคืนมาอีกครั้ง ดึงพวกเขาลงมาจากกลางอากาศ

จ้าวโส่วที่สวมชุดผ้าป่านและผมหงอกสยาย เดินไปตรงหน้าทั้งสามคมด้วยใบหน้าสงบนิ่ง และพินิจด้วยสายตาอันเฉียบคม “เกิดอะไรขึ้น”

จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋สบตากันไปมาเงียบๆ เกิดความรู้สึกสามัคคีกันขึ้นมาทันที จางเซิ่นเอ่ยเสียงเย็น “ไม่มีอะไรขอรับ เพียงแค่มีความคิดเห็นทางวิชาการที่แตกต่างกัน และไม่มีใครโน้มน้าวใครได้”

หลี่มู่ไป๋พูดต่อ “ดังนั้นจึงเปลี่ยนวิธีการ”

การโน้มน้าวใจด้วยเหตุผลสอดคล้องกับวิถีของลัทธิขงจื๊อ

“เจ้าสำนัก ข้าขอรายงานว่าพวกเขาทั้งคู่หลอกลวงท่าน” ทันใดนั้นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินไท่ก็แทงข้างหลังทั้งสองคน จบการสังหารครั้งที่สอง

จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋หันหน้าเข้าหากัน จ้องกันด้วยตาถมึงทึง

เฉินไท่มองไปทางผนังประกาศ “เจ้าสำนักรู้จักบทกวี ‘ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว’ สินะขอรับ”

จากนั้นจ้าวโส่วก็มองไปทางผนังประกาศ และมองอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง เห็นตัวอักษรตัวเล็กๆ ก็เข้าใจในทันที

เขารู้ถึงความริษยาของจางจิ่นเหยียนกับหลี่ฉุนจิ้งที่มีต่อฆราวาสจื่อหยางในช่วงนี้

‘บทกวีบนผนังประกาศบทนั้น เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะมีชื่อเสียงมากมายแค่ไหนหลังแพร่ออกไป ในอนาคตก็มีโอกาสมากที่จะส่งต่อไปถึงคนรุ่นหลัง พวกเขาสองคนโต้เถียงกันเพื่อชื่อเสียง แต่ก็ให้อภัยได้… ช้าก่อน เมื่อครู่นี้พวกเขาปิดบังอะไรข้า…’ ใบหน้าของเจ้าสำนักจ้าวกระตุก

เขากำลังจะพูด หางตาก็เหลือบไปเห็นกระโปรงยาวลากตามพื้น องค์หญิงใหญ่ที่บุคลิกเยือกเย็นและหรูหราเดินมาอย่างเนิบนาบ

เขากลืนคำพูดที่อยากพูดทันที

องค์หญิงใหญ่กวาดดวงตาอันงดงามมอง และยิ้มอย่างสงวนท่าที “บทกวีใดที่ทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองขัดแย้งกัน”

จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋โค้งคำนับทันที “เป็นเพียงบทกวีส่งเสริมการเรียนรู้พ่ะย่ะค่ะ”

ไม่นานสายตาขององค์หญิงใหญ่ก็หันไปทางผนังประกาศ ดวงตาคู่สวยเปล่งประกาย “เป็นบทกวีที่ดี”

หลังจากชะงักไปพักหนึ่ง ริมฝีปากก็เปิดเล็กน้อย “บทกวีบทนี้ผู้ใดเป็นคนแต่ง”

จางเซิ่นกัดฟัน “เป็นนักเรียนของข้า… อ้อ ‘ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว’ เขาก็เป็นคนแต่งพ่ะย่ะค่ะ”

“มือเร็วของที่ว่าการอำเภอฉางเล่อคนนั้นน่ะหรือ” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ส่องประกาย

“เขาชื่อสวี่ชีอัน” หลี่มู่ไป๋ตอบ และกล่าวเสริมว่า “แล้วก็เป็นศิษย์ของข้าเช่นกัน”

องค์หญิงใหญ่รู้สึกคุ้นชื่อนี้เล็กน้อย เหมือนได้ยินใครเอ่ยถึงชื่อนี้ เพียงแค่ไม่ได้เก็บไว้ในใจ ดังนั้นจึงนึกไม่ออก

‘พรสวรรค์มากมายเช่นนี้ แต่เป็นมือเร็วในที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ นับว่าเสียเปล่ามาก แม้ว่าจะทำได้เพียงแต่งบทกวี ก็เพียงพอที่ตัวข้าจะชุบเลี้ยงให้เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการในวัง…’ องค์หญิงใหญ่ไตร่ตรองในใจ

เหล่านักเรียนในสำนักยืนอยู่ไกลๆ มองใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงใหญ่ นางงดงามราวกับบัวหิมะที่โดดเดี่ยว กลิ่นอายหรูหรานั่นทำให้ผู้คนลืมไม่ลง

“คนอื่นๆ อยู่ที่ใด” ดวงตาอันกระจ่างใสขององค์หญิงใหญ่กวาดไปทางฝูงชน และเพ่งมองอย่างเอื่อยๆ

“ไปที่ภูเขาพ่ะย่ะค่ะ” เฉินไท่กล่าว

นักเรียนจำนวนมากที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาตกอยู่ในอาการตกตะลึงไปชั่วขณะ ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าบทกวีส่งเสริมการเรียนรู้บทนี้ใครเป็นคนแต่ง

…………………………………………………………

[1] ความรู้ที่อ่านลงท้องสุนัขไปหมดแล้ว หมายถึง เคยอ่าน เคยศึกษามาแล้วแต่ก็ยังไม่รู้แจ้งในสิ่งที่ศึกษา อ่านก็ไม่เหมือนไม่ได้อ่าน ไม่มีประโยชน์อะไร

[2] แก่นปราณ คือ ลมปราณ เป็นคำจีนโบราณ

[3] เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Issac Newton) นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกที่เป็นผู้คิดค้นกฎแรงโน้มถ่วง