เล่มที่ 2 บทที่ 57 เชิญเจ้าได้ใจก่อนเลย

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เรือนงามซ่อนเมีย? หมายความว่าอย่างไร?”

    หลงเทียนอวี้ขลุกอยู่กับกองหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก

    ถูกขนานนามว่าผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ถึงแม้เขาจะรอบรู้มากสักเพียงไหน ทว่าวันนี้กลับถูกพระชายาของตนเองทำให้ชะงักงัน

    “อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยภายในราชวงศ์เพคะ มีฮ่องเต้องค์หนึ่งนามว่าหลิวจื้อ ได้รับแต่งตั้งเป็นฮ่องเต้แห่งเจียวตงตั้งแต่ตอนพระชนมายุได้สี่พรรษา อยู่มาวันหนึ่งได้พูดกับป้าของตนเองว่าหากได้อภิเษกสมรสกับพี่อาเจียว เขาจะสร้างวังทองเพื่อมอบให้กับนาง”

    ทว่าสุดท้ายเฉินอาเจียวถูกปลดจากตำแหน่งและไปตั้งรกรากอยู่ที่พระราชวังจ่างเหมิน

    “เช่นนั้นแสดงว่าฮ่องเต้เจียงตงผู้นั้นคงจะมิได้จริงใจใช่หรือไม่?”

    คิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นคำตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งของหลงเทียนอวี้

    หลินเมิ้งหยามองหลงเทียนอวี้ ทั้งที่เป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่นางเล่าเท่านั้น แต่เขากลับจริงจังเสียเหลือเกิน

    “เหตุใดท่านอ๋องจึงคิดเช่นนั้นหรือเพคะ เมิ้งหยาอยากรู้เหลือเกิน”

    หลงเทียนอวี้เดินออกจากสวน ทั้งสองเดินนำหน้าตามหลังกันมาจนถึงถนนใหญ่

    “ในราชวงศ์หาได้มีความจริงใจไม่ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากน้า ฮ่องเต้เจียวตงจึงเอ่ยเช่นนั้น ท่านป้าซ่างหยูจ่างของข้าเป็นที่รักของเสด็จพ่อ หากไม่ใช่เพราะพระธิดาพระองค์โตสวรรคตก่อนวัยอันควร เกรงว่าพี่น้องของข้าเองก็คงกลายเป็นฮ่องเต้เจียวตงเช่นกัน”

    ทุกราชวงศ์ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น

    หลินเมิ้งหยามองดูตลาดบนถนนที่ทอดยาวอันแสนคึกคัก นัยน์ตาปรากฏร่องรอยแห่งความสับสน

    สถิตบนโลกที่ไม่รู้จัก เพื่อหลินเมิ้งหยาคนก่อน นางจำเป็นต้องอาศัยสถานะพระชายาอวี้เพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งถลำลึก

    หรือชั่วชีวิตของนางจะต้องอยู่แต่เพียงจวนอวี้เท่านั้น จากนั้นกลายเป็นเครื่องมือในศึกชิงบัลลังก์?

    เพียงคิดได้ว่าตนเองอาจกลายเป็นฮองเฮาที่ต้องขจัดคนทุกผู้ที่พยายามทำตัวเป็นเสี้ยนหนาม หัวใจของนางอดที่จะหนาวสั่นไม่ได้

    แล้วแต่บุญแต่กรรมเถิด นางไม่มีทางลืมความตั้งใจแรก ไม่ว่าอย่างไรนางจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องคนของนาง

    “ท่านอ๋องสามารถรับปากข้าหนึ่งเรื่องได้หรือไม่?”

    จู่ๆ ชายเสื้อก็ถูกมือเล็กๆ สองข้างจับเอาไว้ เขาหมุนตัว จ้องมองใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่สวยงามของหลินเมิ้งหยา ท่าทางจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

    “เรื่องอะไร?”

    เขาเลิกคิ้วขึ้น ตอนแรกคิดว่านางจะร้องขออะไรประหลาดๆ อีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเอ่ยเช่นนี้

    “ท่านอ๋องเพคะ หากวันใดเมิ้งหยาไร้ประโยชน์ต่อท่านแล้วละก็ ได้โปรดออกจดหมายยุติการเป็นคู่สามีภรรยาให้กับหม่อมฉัน และปล่อยให้หม่อมฉันพาเสี่ยวอวี้กับป๋ายจื่อไปได้หรือไม่เพคะ?”

    นางพูดด้วยท่าทางจริงจัง น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนแผ่วเบา ทว่าเมื่อหลงเทียนอวี้ได้ยิน หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง

    “เพราะเหตุใด?”

    หรือว่า…นางจะยังมิพึงพอใจกับตำแหน่งพระชายาอวี้?

    หรือว่า…นางอยากได้อะไรที่มากกว่านั้น?

    “หม่อมฉันไม่อยากเป็นนกน้อยในกรงทอง เหตุเพราะท้องฟ้าสูงใหญ่สุดแต่นกจะบิน ผืนน้ำกว้างขวางสุดแต่ปลาจะว่าย หม่อมฉันอยากออกไปเผชิญโลกภายนอก หม่อมฉันไม่อยากปล่อยเวลาทั้งชีวิตอยู่กับการต่อสู้ โลกหล้ามิได้เกี่ยวข้องอันใดกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงอยากใช้ชีวิตตามใจของตนเอง”

    ดวงตาสีดำจับจ้องใบหน้านวลไม่ไหวติง

    หลงเทียนอวี้สับสน นาง…เป็นพระชายาของตนเองจริงหรือ?

    หากเอ่ยว่า อยู่ๆ คนโง่เขลาสติเลอะเลือนคนหนึ่งก็เปลี่ยนไปกะทันหัน สติสัมปชัญญะกลับมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งอุปนิสัยยังเปลี่ยนไปราวกับฟ้าและดิน

    ทว่า อุปนิสัยใจคอกว้างขวางและร่าเริงเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวเลย แม้แต่ตนเองก็เกรงว่าจะทำไมได้

    “ตกลงเจ้า…”

    “ท่านอ๋อง พวกเรารีบกลับกันเถิดเพคะ อย่าทำให้คนผู้นั้นสงสัยเลย มิเช่นนั้นพวกเราคงถูกจับได้”

    หลงเทียนอวี้คิดอยากถามนางว่า…ตกลงเจ้าเป็นใคร

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับจับมือของหลงเทียนอวี้ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ไปทางจวนอวี้

    มองร่างบางตรงหน้า ก้มหน้าดูมือที่กำลังจับกุม สัมผัสนุ่มนิ่มอบอุ่น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของหลงเทียนอวี้ที่รู้สึกสับสนเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง

    ร่างกายของหลินเมิ้งหยาเก็บซ่อนปริศนามากมายเอาไว้ แม้ตนเองจะพยายามเข้าไปไขปริศนามากสักเพียงไหน แต่ก็ไม่อาจค้นพบความจริงใดๆ

    มีเพียงสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ ผู้หญิงคนนี้…ไม่คิดร้ายกับตนเอง

    อีกทั้งนางยังกลายเป็นกำลังหลักของเขาอีกด้วย

    เขาพลิกมือ กุมมืออันแสนบอบบางเอาไว้แน่น

    ความลุ่มลึกจากนัยน์ตาแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางปล่อยคนที่มีประโยชน์กับตัวเองไปง่ายๆ

    หากว่าหลินเมิ้งหยาคิดจะจากไป เช่นนั้นเขาไม่เสียใจเลยที่จะแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรั้งนางเอาไว้

    เช่นเดียวกับที่เขาโน้มน้าวป๋ายหลี่อู๋เจียนและซื้อความจริงใจจากจูเฉียง

    แล้วแบบนี้จะยอมปล่อยให้ขาดหมากที่เหมาะสมกับเกมได้อย่างไร?

    ทั้งสองเดินกลับไปยังจวนเงียบๆ เห็นได้ชัดว่ามิได้กลายเป็นจุดสังเกตของผู้อื่น

    แสร้งทำท่าทีประหนึ่งเพิ่งกลับจากการเดินเล่น หลินเมิ้งหยากลับไปยังสวนหลิวซินของตนเอง

    สาวใช้ทั้งหมดถูกสั่งให้ออกไป ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย ทว่านางกลับได้เห็นชิงหูกำลังเขย่าขาด้วยท่าทางหยิ่งผยองอยู่ในศาลาเล็ก อีกทั้งกำลังลิ้มรสเพลิดเพลินกับชาหอมของนาง

    “เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ช่างกล้านักนะ เจ้าไม่กลัวถูกจับไปถลกหนังหรืออย่างไร?”

    ไม่เกรงใจ นางเหวี่ยงขาเข้าไปเตะชิงหูให้ออกจากตั่งตัวสวยของตนเอง

    ได้เห็นเจ้าเด็กหนุ่มตั้งใจเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน อีกทั้งยังจงใจส่งสายตาน่าสงสารมาให้นาง

    หลินเมิ้งหยาเหล่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหยิบชาบนโต๊ะ แต่กลับถูกชิงหูแย่งไปขณะเอื้อมหยิบ

    “เหยียต้องกลัวสิ่งใด? มีสาวงามจวนไหนบ้างที่ไม่คิดอยากเปลื้องผ้าของเหยีย? แต่เหยียหาได้สนใจพวกนางเหล่านั้นไม่ แต่หากเป็นเจ้าละก็ เหยียก็ยินดีมอบกายถวายตัวให้กับเจ้า”

    เขาดื่มชาที่แย่งมาจากมือของหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางเย้ยหยัน ทว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับหยักยิ้มตาหยีขึ้นอีกด้วย

    ขณะเดียวกัน ชิงหูเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี

    “ไอ้หยา ป๋ายจีรีบไปยกข้าวเหนียวกับน้ำมาให้ข้าที ข้าลืมล้างมือไปเลย!”

    เสียงของชิงหูสั่นเครือ สีหน้าขาวซีด ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

    “เจ้า…เด็กน้อย…เจ้า…เจ้าไปทำอะไรมา?”

    “ข้าเหรอ?” หลินเมิ้งหยายกมือคู่สวยของตนเองขึ้น ก่อนจะเอ่ยเน้นทีละคำ “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อครู่ข้าไปชำแหละศพขึ้นอืดมา ไอ้หยา เจ้าอย่าเพิ่งอ้วกสิ! ป๋ายซ่าวรีบพาตัวเขาออกไป อย่าทำให้ดอกไม้ในสวนข้าต้องแปดเปื้อน”

    หลังจากเอาคืนชิงหูเล็กน้อยแล้ว หลินเมิ้งหยาล้างมือทั้งสองข้างจนสะอาด ก่อนจะพาสาวใช้ทั้งสามและหลินจงอวี้ออกไปนั่งเล่นรับลมที่ศาลาเล็ก

    ชิงหูที่อ้วกจนเกือบหมดไส้หมดพุงนั่งนิ่งเงียบ สายตาที่มองทางหลินเมิ้งหยาเต็มไปด้วยโทสะแต่กลับไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย ท่าทางน่าสงสารมากเพียงพอที่จะอธิบายความขมขื่นในใจ

    ชิ สมน้ำหน้า

    หลินเมิ้งหยาแอบขำในใจ นางไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตัวเองจงใจกลั่นแกล้งชิงหู

    “นายหญิง ท่านไป…ไอ้หยา นี่มันเป็นเรื่องอัปมงคล!”

    ใบหน้าของป๋ายจื่อยับยู่ยี่ประหนึ่งซาลาเปา

    หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปลูบไล้ อืม สัมผัสไม่เลว

    “อัปมงคลที่ไหนกัน พวกเจ้าลองคิดดูเถิด ผอจื่อคนนั้นต้องตายฟรี หากข้าช่วยแก้แค้นแทนนางได้ นั่นเท่ากับว่านั่นเป็นการแสดงความเคารพสูงสุดต่อนางมิใช่หรือ”

    หลินเมิ้งหยาอธิบายสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค นางเล่าเพียงว่าผอจื่อถูกผลักตกบ่อน้ำ ส่วนเรื่องอื่นมิได้เปิดเผยแต่อย่างใด

    “ข้าคิดว่าพี่สาวพูดถูกแล้ว” หลินจงอวี้กลับตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ใบหน้าเรียวเล็กหล่อเหลาเจือไว้ซึ่งความสงสัย

    “ข้าเองก็คิดว่านายหญิงพูดถูก แต่เรื่องบางเรื่องก็ควรระมัดระวังให้ดี จริงสิเจ้าคะนายหญิง ท่านบอกว่านำศพของผอจื่อไปเก็บไว้ที่โรงน้ำชาเลื่องชื่อว่าผีดุข้างถนน แบบนี้จะไม่เป็นการไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ?”

    แม้ป๋ายจีจะมีความเห็นเป็นกลาง แต่นางกลับเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณเป็นอย่างมาก

    “โอ้? ไม่เหมาะสมอย่างไร?”

    หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น สายตาพลันเหลือบมองป๋ายจี

    “ที่แห่งนั้นน่ากลัวชวนขนหัวลุก อีกทั้งยังมีเสียงผีโหยหวนออกมาให้ได้ยินเสมอ หนู่ปี้เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าหากนำศพไปไว้ที่นั่นแล้วทำไม่ดี..จะ…จะถูกสิง!”

    ป๋ายจีกดเสียงต่ำลง สีหน้าหวาดกลัว

    เมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศชวนขนหัวลุก ป๋ายซ่าวที่มักจะองอาจกล้าหาญเสมออดไม่ได้ที่จะหดตัวเล็กลง

    ส่วนคนที่มีความกล้าเพียงน้อยนิดอย่างป๋ายจื่อพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา

    “มีเสียงผีร้องโหยหวนเสียที่ไหน ล้วนเป็นมนุษย์หลอกมนุษย์ด้วยกันเองทั้งนั้น เหยียอยู่ในเจียงหูมานานหลายปี คนตายเพราะฝีมือเหยียเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็ไม่เคยเจอผีเหล่านั้นมาทวงแค้นเลย!”

    ชิงหูหัวเราะเยาะ ใบหน้ารูปไข่แฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังดูแคลนพวกเขา

    หลินเมิ้งหยากลับแสดงสีหน้าฉงน สายตามองทางชิงหู ทว่ากลับลังเลที่จะพูด

    “หากข้าพูด เจ้าอย่ากลัวล่ะ”

    หลินเมิ้งหยาดันตัวป๋ายจื่อออกจากอ้อมกอด เดินเข้าไปยืนข้างกายชิงหู ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเขา

    “เจ้าเด็กน้อย คิดจะทำให้เหยียกลัวอย่างนั้นหรือ? มีอะไรก็พูดออกมา หากข้ากลัว ข้าก็คงมิใช่พี่ใหญ่ชิงหูของเจ้าแล้ว”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มแปลกประหลาด ก่อนจะลูบไล้ปกเสื้อของชิงหู

    “คืนนี้ข้ารับรองเลยว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่ยากจะลืมเลือนของเจ้า วางใจเถิด คืนนี้ข้าจะไล่ทุกคนในสวนของข้าออกไปให้หมด เจ้ามิต้องกังวลไป”

    จู่ๆ กลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยเข้ามาเตะจมูก ชิงหูรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

    ทว่าคำพูดถัดมาของหลินเมิ้งหยาทำให้สัญชาตญาณของชิงหูร้องเตือนขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่ใกล้กับใบหน้าทรงเสน่ห์แต่กลับมีเลศนัยของหลินเมิ้งหยา เขารีบกระโจนออกไปไกลถึงสามฟุต

    “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

    ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะได้พูดอะไร ชิงหูรู้สึกได้ว่าท้องไส้ของตนเองกำลังปั่นป่วน

    ใบหน้าเจ้าเล่ห์พลันขาวซีด ท่าทางไม่น่ามอง ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปทางห้องน้ำ

    “ปาโต้ว1ที่ถูกนำมาผสมกับชา สรรพคุณทำให้ไส้ของเจ้าถูกล้างจนสะอาดอย่างไรเล่า”

    ยิ่งได้เห็นใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่ม หลินเมิ้งหยาปรบมือ ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็กประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มกว้างประหนึ่งดอกไม้บาน

    “คุณหนู พ่อบ้านเติ้งบอกว่าเตรียมการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

    ป๋ายจีที่เคยมีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อครู่เข้ามายืนสงบนิ่งด้านหลังของหลินเมิ้งหยา

    “คิดไม่ถึงเลยป๋ายจีว่าเจ้าจะมีทักษะทางการแสดงที่โดดเด่นเช่นนี้”

    “ป๋ายจีจะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ แต่เพราะพ่อบ้านเติ้งและองครักษ์หลินสั่งสอนหม่อมฉันมากกว่าสองชั่วโมง ป๋ายจีจึงสามารถทำเช่นนี้ได้”

    ใบหน้าของป๋ายจีแดงระเรื่อ แม้นางจะเป็นคนสงบนิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นกลับเป็นสาวใช้ที่ฉลาดที่สุดในสามคน

    หลินเมิ้งหยามองป๋ายจีด้วยความชื่นชม นัยน์ตาเผยให้เห็นแผนการบางอย่าง

    เบ็ดถูกเหวี่ยงไปแล้ว ไม่รู้ว่าคืนนี้ปลาตัวใหญ่จะติดเบ็ดหรือไม่!

***************************

1 ปาโต้วคือสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์เหมือนสลอด