เมื่อไปถึงบ้าน เซี่ยยวี่หลัวเปิดประตู ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดประโยคแรก “เอาล่ะ ในบ้านไม่มีเงินแล้ว ยังดีที่ก่อนหน้านี้ซื้อของจำพวกข้าวสาร น้ำมัน และไข่ไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีเงิน อาจต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากเล็กน้อย พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”
เซียวจื่อเมิ่งรีบส่ายหน้า กล่าวเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่กลัวหรอกเจ้าค่ะ!”
พี่สะใภ้ใหญ่ส่งเงินทั้งหมดไปให้พี่ใหญ่ นางจึงไม่กลัว ต่อไปแม้ต้องกัดก้อนเกลือกินแต่ผักทุกวัน กินข้าวไม่อิ่มท้อง เซียวจื่อเมิ่งก็จะไม่บ่น
เซี่ยยวี่หลัวหันมองเซียวจื่อเซวียน
เซียวจื่อเซวียนเข้าประตูเป็นคนสุดท้ายก็งับปิดประตูช้าๆ เมื่อหันกลับมา ก็แย้มรอยยิ้มกว้าง
เขามองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางเคารพเลื่อมใสเหมือนเซียวจื่อเมิ่ง แววตาซื่อตรงและหนักแน่น วาจาเต็มไปด้วยความสนิทสนมและเคารพแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็ไม่กลัว!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียก “พี่สะใภ้ใหญ่” จากใจจริง
เซี่ยยวี่หลัวแย้มยิ้ม แต่กลับรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย
ถ้าเด็กสองคนไม่กลัว นางก็ไม่กลัว!
นางเชื่อว่าชีวิตในแต่ละวันจะดีขึ้นเรื่อยๆ
เพราะยังติดค้างเงินที่ขอเบิกล่วงหน้าจากเซียวยิง นอกจากเวลาทำอาหารและนอนหลับในแต่ละวัน เซี่ยยวี่หลัวใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการคัดตำรา
เงินห้าตำลึงที่ขอเบิกล่วงหน้า คัดตำราเล่มละสี่สิบอิแปะ คำนวณแล้วต้องคัดหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเล่ม
แค่ลองคิด เซี่ยยวี่หลัวก็สูดลมหายใจเฮือกด้วยความใจหาย
หากคัดตำราให้เสร็จทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเล่มจริง แขนของนางก็คงใช้การไม่ได้แล้ว
ทว่าสิ่งที่ติดค้างคนอื่น อย่างไรก็ต้องชดใช้ ใครให้ตอนที่ขอเบิกล่วงหน้า อีกฝ่ายยอมมอบให้อย่างใจกว้างเช่นนั้น!
ตั้งแต่เซียวจื่อเซวียนกับเซี่ยยวี่หลัวเปิดอกปรับความเข้าใจกัน และเซี่ยยวี่หลัวนำเงินทั้งหมดที่มีในบ้านมอบให้เซียวยวี่ ท่าทีของเซียวจื่อเซวียนที่มีต่อนางก็ต่างจากเดิมราวฟ้ากับดิน
ไม่เพียงสนิทสนมกับเซี่ยยวี่หลัว ยังเอ่ยเรียกพี่สะใภ้ใหญ่เต็มปาก แม้แต่เรื่องที่ปกติเขาจะกำชับให้เซียวจื่อเมิ่งอยู่กับเซี่ยยวี่หลัวตลอด ก็ไม่ทำอีก
ขอเพียงเซี่ยยวี่หลัวคัดตำราอยู่ที่บ้าน เขาก็จะพาเซียวจื่อเมิ่งไป โดยบอกให้ไปเก็บผักป่าด้วยกัน ส่วนเซี่ยยวี่หลัว นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยได้ยินเสียงประหลาดอีก
นางรู้ว่า เซียวจื่อเซวียนใช้วิธีนี้เพื่อบอกนาง ว่าเขาไม่ระแวงนางแม้แต่น้อย เชื่อมั่นในตัวนางอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวรู้เช่นนั้นก็ดีใจ ตั้งใจคัดตำราทุกวัน พักผ่อนตามเวลาปกติ ผ่านไประยะหนึ่ง แม้จะเมื่อยเอวปวดหลังและปวดแขน แต่ก็รู้สึกอุ่นใจ
ครอบครัวเดียวกันก็ต้องสามัคคีปรองดองเช่นนี้
วันที่เซียวยวี่สอบเสร็จ เซียวเหลียงไปรอในตัวอำเภอล่วงหน้าแล้ว
เพื่อให้สะดวกต่อการหาเซียวยวี่ เซียวเหลียงทำตามวิธีการของเซี่ยยวี่หลัว หาแผ่นไม้ขนาดใหญ่ ใช้หมึกสีแดงเขียนคำว่าเซียวยวี่ตัวใหญ่ไว้บนแผ่นไม้ ไปยังภัตตาคารที่อยู่ตรงข้ามสนามสอบ หาห้องพิเศษชั้นสองที่มีทัศนวิสัยดีเยี่ยม
รอคอยนานครึ่งค่อนวัน เมื่อเสียงระฆังบ่งบอกว่าการสอบสิ้นสุดดังขึ้น ประตูสนามสอบเปิดออกช้าๆ ผู้เข้าสอบที่ถูกกักอยู่ด้านในนานหลายวัน ต่างสะพายอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบรวมถึงสัมภาระ ทยอยกันออกมา
ผู้เข้าสอบนับร้อยถูกกักตัวอยู่ด้านในถึงห้าวัน ต้องกินนอนและทำทุกอย่างในนั้น ดังนั้นการสอบไม่เพียงแต่ทดสอบความรู้ของผู้เข้าสอบเท่านั้น ทว่าเป็นการทดสอบพลังกายและความอดทนด้วย
ประตูใหญ่เปิดช้าๆ เหล่าผู้เข้าสอบทยอยกันพุ่งไปทางร้านขายสุราหรือโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ห่างนัก ราวกับเป็นเหล่าผีหิวโซที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำก็มิปาน บางคนก็กินอาหารดีๆ สักมื้อหนึ่งก่อน บางคนก็ไปอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน แล้วจึงไปหาอาหารดีๆ กิน
เซียวเหลียงจับแผ่นไม้ไว้ มองไปทางกลุ่มผู้เข้าสอบ
คนที่สวมใส่เสื้อผ้าประณีต มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนมีเงิน เซียวเหลียงจะไม่มอง บ้านเซียวยวี่ยากจน เขาย่อมไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าไหมใส่แน่
ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่ เซียวเหลียงเบิกตากว้างคอยมองหาโดยละเอียด หาอยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวยวี่
ยังดีที่แผ่นป้ายนั้นดูสะดุดตา มีผู้เข้าสอบจำนวนหนึ่งเห็นแล้ว จึงชี้ไปทางแผ่นป้ายพลางถามว่าใครคือเซียวยวี่ ถามกันปากต่อปากจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นยี่สิบ ก็มีคนจำนวนมากรู้แล้ว ว่าในภัตตาคารที่อยู่ตรงข้ามสนามสอบ มีคนแขวนป้ายไม้ขนาดใหญ่ไว้ กำลังหาคนที่ชื่อเซียวยวี่
สนามสอบของเซียวยวี่อยู่ด้านในสุด นอกจากนั้น หลังจากเขาเขียนข้อสอบเสร็จ ก็ตรวจทานอย่างละเอียดอยู่นาน จนเสียงระฆังดังขึ้น เขาจึงส่งข้อสอบ ส่วนผู้เข้าสอบคนอื่นๆ จำนวนไม่น้อย หลังจากเขียนเสร็จก็รีบเก็บสัมภาระ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ส่งข้อสอบก็พุ่งตัวออกไปทันที แต่เซียวยวี่ในยามนี้กำลังเก็บสัมภาระอยู่ จึงออกมาช้ากว่าคนอื่น
เมื่อเขาออกจากประตู หันมองไปตามทิศที่ผู้เข้าสอบด้านหน้ากล่าวถึง ก็เห็นว่าที่ภัตตาคารตรงข้าม มีแผ่นป้ายแขวนอยู่แผ่นหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรสองตัวที่เขียนด้วยหมึกสีแดง —— เซียวยวี่
เป็นชื่อของเขา แต่คนไม่แน่ว่าจะหมายถึงเขา
จนถึงตอนที่เซียวเหลียงเห็นเซียวยวี่ที่ยืนอยู่หน้าภัตตาคารแหงนหน้าดูแผ่นป้าย จึงโบกมือเรียก “เซียวยวี่ เซียวยวี่…”
เซียวยวี่คิดอยู่ในใจ มาหาเขาจริงด้วย! เพียงแต่ เขาประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดท่านอาเซียวเหลียงถึงมาหาเขา!
ภัตตาคารอยู่ตรงข้ามสนามสอบ ที่นั่งด้านในเต็มนานแล้ว
เซียวยวี่เข้าไปในภัตตาคาร เซียวเหลียงรอเขาอยู่หน้าห้องพิเศษแล้ว
“เซียวยวี่…” เซียวเหลียงทักทายเซียวยวี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้ว่าภายในใจเซียวยวี่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เอ่ยเรียกท่านอาเซียวเหลียงด้วยความเคารพ ก่อนปิดประตูห้องพิเศษ ปิดกั้นเสียงวุ่นวายไว้ภายนอก
เซียวเหลียงตบอกเบาๆ กล่าวด้วยความหวั่นใจ “ยังดีที่ข้าฟังคำเตือน ทำแผ่นป้ายไว้ ไม่อย่างนั้น มีคนมากถึงเพียงนี้ ข้าคงหาเจ้าไม่พบจริงๆ”
ผู้เข้าสอบจำนวนมากออกมาพร้อมกัน กระจุกกันอยู่ตรงนั้น มองจากระยะไกล ความสูงและรูปลักษณ์ภายนอกของแต่ละคนดูไม่ต่างกันมากนัก แยกแยะได้ยาก
“ท่านอาเซียวเหลียง ท่านมาได้อย่างไร?” เซียวยวี่ถามด้วยความสงสัย
เซียงเหลียงรีบปลดหีบไม้ไผ่ด้านหลังลง ยิ้มพร้อมกล่าว “อย่าเพิ่งถามเลย สอบนานหลายวันถึงเพียงนี้เชียว? อยู่ในนั้นคงอึดอัดมากใช่หรือไม่? มาๆๆ พวกเราอาหลานมากินก่อนค่อยว่ากัน”
เซียวเหลียงสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะนานแล้ว มีทั้งเนื้อและผัก
เซียวยวี่มองเซียวเหลียงด้วยท่าทางสงสัย ไม่เข้าใจความหมายของเขา
เซียวเหลียงรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนคิดอะไรซับซ้อน จึงกล่าว “ข้ามาซื้อของในตัวอำเภอ ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าจะสอบเสร็จ คิดว่าไม่ได้พบเจ้านานแล้ว เจ้าอยู่ในสนามสอบไม่มีของอร่อยให้กินแน่ จึงมาเลี้ยงอาหารเจ้า”
ที่แท้ก็มาซื้อของ!
“ขอบคุณท่านอาเซียวเหลียง!” เซียวยวี่กล่าวด้วยความตื้นตัน
สำหรับเซียวยวี่ อาหารหนึ่งมื้อก็ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว เขาเป็นคนรู้คุณคน
“มาเถิดมา กินก่อน กินก่อน!” เซียวเหลียงพาเซียวยวี่ไปนั่ง ตักน้ำแกงไก่ชามใหญ่ให้เซียวยวี่ ในนั้นยังมีน่องไก่อีกหนึ่งอัน “มา กินน่องไก่บำรุงร่างกาย!”
เมื่อเซียวยวี่เห็นน้ำแกงไก่สีเหลืองที่มีไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก กระตุ้นต่อมความอยากอาหาร อย่าว่าแต่กินเนื้อเลย ช่วงหลายวันที่ผ่านมา แม้แต่หมั่นโถวที่ดีหน่อยเขาก็ยังไม่ได้แตะ
ในสนามสอบก็มีข้าวและอาหารร้อน แต่อาหารมื้อหนึ่งต้องใช้เงินไม่น้อย เพราะเสียดายเงินจึงได้แต่ซื้อขนมปังแห้งจำนวนไม่น้อยจากข้างนอก นำเข้าไปในสนามสอบ กินขนมปังแห้งกับน้ำร้อนที่ได้รับในสนามสอบทุกวัน อย่างน้อยก็ทำให้อิ่มท้องได้ แต่เพราะในท้องไม่มีอาหารอย่างอื่นเลย เมื่อเซียวยวี่ได้กลิ่นหอมของน้ำแกงไก่ จึงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งตามสัญชาตญาณ
กินขนมปังแห้งกับน้ำมาติดต่อกันเกือบสิบวัน ไม่มีอาหารอื่นแม้แต่น้อย เซียวยวี่ไม่อาจต้านทานความอยากอาหารบนโต๊ะนี้ได้เลยแม้แต่น้อย