ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 30 จิ้งจอกอ้างบารมีเสือ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่เข้าไปในห้องแล้วพูดว่า “ข้อมูลที่ได้มาเบื้องต้นบอกว่ามีคนเคยพบเห็นกล้วยไม้ทองสิบกลีบที่เทือกเขามฤคลับตาขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘เทือกเขามฤคลับตาหรือ…อยู่ด้านนอกของหุบเหวปราการมังกรใกล้ๆ นี้ และอยู่ในแผ่นดินของอาณาจักรถังตะวันออกด้วย’

“อืม ตอนนี้ข้ากำลังว่าง เช่นนั้นไปเดินเล่นแถวเขตเทือกเขามฤคลับตาสักหน่อยแล้วกัน ดูสิว่าจะหลอกล่อให้หัวหน้าค่ายชื่อหลิงออกมาได้อีกหรือไม่”

ความผิดปกติของหุบเหวปราการมังกร การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฒ่ามารหัวขวาน แล้วยังมีการเคลื่อนไหวลับๆ ของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงอีก อีกทั้งทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีการเคลื่อนไหวก่อนเกิดเรื่องทั้งหมดอีกด้วย

แม้ว่าราชาอาณาจักรถังตะวันออกจะโน้มเอียงมาทางเขากว่างเฉิง ทว่าฝ่ายเขากว่างเฉิงมีเพียงเหยียนซวี่คุมการณ์อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอ

ผู้อาวุโสฝ่ายอาญาแห่งเกาะตะวันออกก็มีภารกิจติดตัว จึงไม่สะดวกนักที่จะอยู่ในอาณาจักรนานๆ ถึงกระนั้นเขากว่างเฉิงก็ได้ส่งจอมยุทธ์คนอื่นๆ มาสมทบแล้ว แม้ว่าในตอนนี้เหตุการณ์ของอาณาจักรถังตะวันออกจะยังไม่สงบ แต่คนของทางเขากว่างเฉิงก็ยังคงไม่ขาดแคลน

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงหนีจนมุมแล้วจะเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจนอีกครั้งหรือไม่

ส่วนการออกคำสั่งให้คนเบื้องล่างออกตามหากล้วยไม้ทองสิบกลีบนั้น มีความสำคัญสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอมากกว่า

ขณะเดียวกันการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงรุ่นต่อไป ระหว่างบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอและอาจารย์ลุงรองของเขาก็กำลังเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุดอย่างช้าๆ

เนื่องจากอาจารย์ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอ ประมุขสำนักในปัจจุบันมีความคิดที่จะเข้าฌานเพื่อฝึกปราณมานานแล้ว ทว่าการเข้าฌานในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน เพราะไม่มีกำหนดออกจากฌานที่แน่นอน อาจใช้เวลายาวนานมาก แม้กระทั่งมีอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้

ฉะนั้นเจ้าสำนักจึงวางแผนแต่งตั้งผู้รับช่วงต่ออย่างเป็นทางการก่อนที่จะเข้าฌานไป

สำหรับบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ การกำจัดเหล่าผู้อาวุโสปฏิบัติกิจอย่างชุยซินและเหวินหนิงจือนั้น ไม่ได้ส่งผลกับสถานการณ์โดยรวมเลย

ณ ขณะนี้ เตาผลึกหินชั้นในที่ยังหลอมอาวุธวิญญาณไม่ได้ ก็พูดได้เพียงว่าช่วยเพิ่มคะแนนความประทับใจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ชี้ขาดได้

หากมองจากบางมุมแล้ว การเลื่อนขั้นในสำนักของเยี่ยนจ้าวเกอดูจะมีส่วนช่วยได้มากกว่า

เยี่ยนจ้าวเกอรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และได้มีการตระเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ฉะนั้นในขณะที่ศึกษาเตาผลึกหินชั้นใน เขาก็ทำการวางแผนอีกเรื่องหนึ่งอยู่เช่นกัน

นั่นก็คือ ‘กลั่นโอสถชนิดหนึ่ง’ ซึ่งเป็นโอสถวิเศษที่ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกแปดพิภพ นับจากหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

หากทำเรื่องกลั่นโอสถนี้สำเร็จได้ ก็จะถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่สำหรับการแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของบิดา แทบจะสามารถชี้ขาดผลลัพธ์ในท้ายที่สุดได้เลยทีเดียว

หลังออกจากที่พัก เยี่ยนจ้าวเกอก็ครุ่นคิดในใจ ขณะเดินอยู่บนถนนของเมืองใกล้ปราการ

“จริงสิ คุณชายขอรับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง วัตถุดิบปรุงโอสถสองชนิดที่ท่านให้ข้าตามหาก่อนหน้านี้ ขาดตลาดโดยสิ้นเชิงในอาณาจักรถังตะวันออก ข้าลอบเข้าไปในคลังลับของวังแล้ว ถึงได้มาจำนวนเล็กน้อย”

“เมื่อลองตรวจสอบก็พบว่าเป็นเพราะหอศิลาโอสถ มหาอำนาจที่กลั่นโอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรถังตะวันออก กว้านซื้อไปทั้งหมดขอรับ”

“ขณะเดียวกัน จู่ๆ หอศิลาโอสถก็เริ่มวางขายโอสถศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลที่สาบสูญไปตั้งนานแล้ว นามว่า ‘หมอกควันสลาย’ ขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่า ‘หมอกควันสลาย’ เป็นความลับเฉพาะของท่านตันหั่ว เซียนกระบี่และนักปราชญ์ระดับสูง ทว่าไม่มีการสืบทอดตั้งแต่ล่วงลับไป”

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หลังจากที่เริ่มมีการแบ่งเป็นโลกแปดพิภพอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ตันหั่วเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงสุดในจำนวนน้อยนิด ที่สร้างสิ่งต่างๆ ด้วยกำลังของตนเอง ซึ่งเขาเคยบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

คนผู้นี้มีนิสัยหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง

ในขณะที่มีวิชากระบี่ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง เขาก็ยังเป็นนักกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกด้วย เป็นเลิศทั้งวิชากระบี่และวิชากลั่นโอสถอย่างแท้จริง

เพียงแต่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขากว่างเฉิงมากนัก

และคนผู้นี้ได้ล่วงลับไปหลายปีแล้ว

“อาจจะเป็นเพราะหอศิลาโอสถบังเอิญมีโชค ได้วิชาปรุงโอสถลับที่ท่านนักปราชญ์ผู้นั้นทิ้งเอาไว้ก็ได้ขอรับ” อาหู่คาดเดา

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะด้วยท่าทีที่ไม่ได้สนใจนัก เพราะเขาไม่ได้ใส่เรื่องนี้สักเท่าไร

แท้จริงแล้วหมอกควันสลายเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้รักษาบาดแผลที่หาได้ยากนักในปัจจุบัน ทว่าสำหรับตัวเขาเองแล้วไม่ใช่สิ่งขาดไม่ได้

เมื่อเดินไปได้สักพัก ภายในใจของเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมองไป ก่อนจะเห็นเงาของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่อีกฟากถนน

แม้ว่าคนกลุ่มนั้นจะอยู่ห่างกับเยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างมาก แต่ด้วยระดับความสามารถในการฟังของเขาแล้ว จึงได้ยินสิ่งที่พวกเขาถกเถียงกันอย่างชัดเจน

“ศิษย์น้องเฟ่ย เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายจงใจสร้างความลำบากให้เจ้า เหตุใดเจ้าจะต้องไปฟังที่เขาพูดด้วยเล่า!”

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ว่าเขาคือ ‘หลานเหวินเหยียน’ เขาเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางมาจากสำนักพร้อมชายหนุ่ม เพื่อฝึกฝนในครั้งนี้

สองสามคนข้างๆ หลานเหวินเหยียนล้วนเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางมาฝึกฝนเช่นกัน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจฝึกฝนที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ นอกจากเยี่ยจิ่งที่หายตัวไปแล้ว ในบรรดาศิษย์น้องอีกสิบห้าคนที่เหลือ บางคนเลือกที่จะเดินทางกลับสำนัก ในขณะที่บางคนเลือกอยู่ที่เมืองใกล้ปราการเพื่อฝึกฝนต่อไป

ด้านหน้าของพวกหลานเหวินเหยียน มีเด็กหนุ่มที่มีอายุใกล้เคียงกันนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น พลางยิ้มเจื่อนๆ

“ศิษย์พี่หม่าเป็นผู้ที่ดูแลการฝึกทั้งหมดของข้าในยามปกติ เรื่องที่เขาสั่ง ข้าก็ต้องทำตามแน่อยู่แล้ว”

หลานเหวินเหยียนโกรธสุดขีด “แต่ระดับวรยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ หากไปใต้มหาน้ำตกนั้น แค่ครึ่งชั่วยามก็อาจเกิดเรื่องขึ้นได้”

“นี่ตั้งหนึ่งชั่วยาม เขาคิดจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร”

เด็กหนุ่มแซ่เฟ่ยหน้าดำคร่ำเครียด “คงไม่ถึงขั้นตายหรอกขอรับ พอข้าหมดสติ เขาก็จะมาพาข้าออกไปเหมือนกับครั้งก่อน”

คนข้างๆ คนหนึ่งถามขึ้น “เจ้าทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจใช่หรือไม่ เขาถึงจ้องจะแก้แค้นเจ้าเช่นนี้”

ศิษย์น้องเฟ่ยถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เมื่อก่อนข้าไม่รู้ประสา จึงทำลายแผนการของเขาเข้าตอนที่เขาทำการทุจริต ตอนนี้เขาหันมาจัดการกับข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“ช่างปะไร เจ้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิด จะกลัวเขาไปไย หากเขาจะโจมตีเจ้าเพื่อแก้แค้น เจ้าไปแจ้งท่านอาวุโสปฏิบัติกิจก็ได้”

“ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเช่นนั้น ภายหลังถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คือท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจ มิเช่นนั้นเขาจะยังทำตัวสบายอกสบายใจมาแก้แค้นข้าได้อย่างไร” ศิษย์น้องเฟ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ต่อให้แจ้งท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจไป ศิษย์พี่หม่าเพียงแค่บอกว่าเขาเคี่ยวเข็ญให้ข้าฝึกฝน อย่างมากที่สุดก็แค่อธิบายว่าเขาใช้วิธีรุนแรงกับข้ามากไปหน่อย เขาไม่มีทางได้รับการลงโทษใดแม้แต่น้อย หนำซ้ำหลังจากนั้นเขาอาจจะมาแก้แค้นข้ามากขึ้นเป็นทวีคูณ”

ศิษย์น้องเฟ่ยมองหลานเหวินเหยียนและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ในตอนแรกข้าจึงขอออกจากสำนักมายังที่แห่งนี้เพื่อเป็นกำลังสนับสนุน หากข้ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แต่แรก ข้าคงจะไม่มาเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ข้าคงคิดอะไรตื้นเขินเกินไปจริงๆ”

“ตอนนี้อยากจะกลับไปยังสำนักอีกครั้ง ก็ต้องรายงานท่านผู้อาวุโสปฏิบัติกิจให้ทราบก่อน ศิษย์พี่หม่าคอยเป่าหูอยู่ข้างๆ เช่นนี้ ข้าสู้เขาไม่ไหวหรอก กระทั่งหลบหลีกยังทำไม่ได้เลย”

หลานเหวินเหยียนขมวดคิ้วมุ่น ศิษย์น้องเฟ่ยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นศิษย์ที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขา ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ครั้งนี้มาถึงเมืองใกล้ปราการ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการพบปะกันกับสหายเก่าอีกครั้ง แต่ใครจะไปคิดว่าสหายเก่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลานเหวินเหยียนก็กล่าวด้วยความลังเลว่า “ครั้งนี้พวกข้าเดินทางมากับศิษย์พี่เยี่ยน ฐานะของศิษย์พี่เยี่ยนค่อนข้างพิเศษ หากไปขอร้องให้เขาช่วยพูด ศิษย์พี่หม่าอาจจะไม่กล้ารังแกเจ้าอีกเลยก็ได้ ถ้าเจ้าอยากย้ายออกไปจากเมืองใกล้ปราการก็น่าจะพอมีหวัง”

“ศิษย์พี่เยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอน่ะหรือ?” ดวงตาทั้งสองข้างของศิษย์น้องเฟ่ยพลันเปล่งประกาย ทว่าไม่นานก็มืดมนลง “เรื่องเล็กเช่นนี้ ศิษย์พี่เยี่ยนอาจจะไม่สนใจก็เป็นได้ แถมข้ายังได้ยินว่าศิษย์พี่เยี่ยนและท่านผู้อาวุโสสวีแห่งเมืองใกล้ปราการสนิทกันมากด้วย”

“เช่นนั้นพวกข้าจะรายงานกับทางสำนักให้เจ้าเอง” หลานเหวินเหยียนกล่าว

“ศิษย์พี่หม่าทำให้ข้าลำบากแค่ในเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถเอาผิดเขาได้จริงๆ หรอก หากมีคนจากสำนักมาถาม เขาก็สามารถปกปิดกลบเกลื่อนได้” ศิษย์น้องเฟ่ยยิ้มเจื่อน พลางกล่าวว่า “ช่างเถิดๆ ข้าจะอดทนไว้ก็แล้วกัน ศิษย์พี่หม่าได้ระบายอารมณ์แล้วคงไม่เป็นอะไร เขาเล่นงานจนข้าตายจริงๆ ไม่ได้หรอก คิดเสียว่าเป็นการฝึกฝนไป”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเหตุการณ์นี้เงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่เอียงศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น “ข้าจำได้ว่าในบรรดาลูกศิษย์รับสืบทอดหลักของสวีชวนไม่มีคนสกุลหม่า กลุ่มเครือญาติก็ไม่มีไม่ใช่หรือ“

“ใช่ขอรับ” อาหู่พยักหน้า จากนั้นก็ถอยออกไป เพียงชั่วครู่ก็กลับมารายงานว่า “คนผู้นั้นชื่อหม่าชิว เป็นหลานชายของท่านผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักที่ล่วงลับไปแล้ว สมัยที่สวีชวนยังหนุ่ม เขาเคยได้รับบุญคุณจากท่านผู้อาวุโสหม่าผู้นั้น จึงคอยดูแลหม่าชิวผู้เป็นหลานชาย”

หางคิ้วเยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวีชวนมักจะทำอะไรเรียบร้อย แต่กลับปล่อยให้ลูกหลานของผู้มีบุญคุณทำการทุจริตอย่างนั้นหรือ”

อาหู่ส่ายศีรษะ “เวลากระชั้นชิด ข้ายังสืบข้อมูลที่แน่ชัดไม่ได้ขอรับ ทว่าสวีชวนเหมือนจะไม่ได้รู้เห็นด้วย”

“ตอนที่เจ้าหม่าชิวนี้อยู่ต่อหน้าสวีชวน เขามักจะแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ฉะนั้นสวีชวนจึงมองข้ามความผิดเล็กน้อยไป เพราะเห็นแก่ท่านผู้อาวุโสหม่าที่ล่วงลับไปแล้ว”

“แต่ผลก็คือหม่าชิวเป็นจิ้งจอกอ้างบารมีเสือ[1] ทำให้ผู้อื่นไม่กล้านำเรื่องของเขาไปรายงานให้กับสวีชวนง่ายๆ”

อาหู่หัวเราะเหอะๆ พลางกล่าวว่า “เป็นการรังแกเบื้องล่างปกปิดเบื้องบนที่แท้จริง”

เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้หัวเราะตาม แต่หรี่ตาลง “ไม่หรอก ด้วยความฉลาดของสวีชวน ทั้งคนที่อยู่เบื้องล่างของเขาและหม่าชิว ไม่สามารถโกหกเขาได้”

“ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือหม่าชิวอยู่ เพียงแต่ว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม แท้จริงแล้วกลับชี้ไปทางสวีชวน”

“หม่าชิวผู้นี้จะค่อยๆ กลายเป็นช่องโหว่ของสวีชวน อาจจะกลายเป็นรูรั่วขนาดใหญ่ ดึงเอาสวีชวนลงไปด้วยเขาสักวัน”

“โดยเฉพาะตอนนี้ สวีชวนกำลังรับหน้าที่เป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งเมืองใกล้ปราการและหุบเขาวายุวิญญาณทั้งสองแห่งอยู่ ข้าเกรงว่าอีกฝ่ายใกล้จะลงมือแล้ว…”

ศิษย์น้องเฟ่ยกำลังฝืนยิ้ม หลานเหวินเหยียนและคนอื่นกำลังจะพูดต่อ ทว่าจู่ๆ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง “ศิษย์น้องเฟ่ย เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก หรือยังต้องให้ศิษย์พี่เช่นข้ารอเจ้าที่มหาน้ำตก”

ชายหนุ่มรูปร่างกลางๆ คนหนึ่งเดินเข้ามา เขามองดูทุกคนพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะแสยะยิ้มพูดขึ้นมาในทันใด

“ใช่แล้ว ข้าจ้องจะรังแกเขา แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้?”

คนที่เดินเข้ามาก็คือหม่าชิว ฝ่ายเด็กหนุ่มสกุลเฟ่ยขยับริมฝีปากขยับเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา เขาหันไปยิ้มเจื่อนๆ ให้กับพวกหลานเหวินเหยียน แล้วเดินเข้าไปหาหม่าชิว

“เจ้าไม่ต้องไปกับเขา” เสียงสงบเยือกเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ร่างของซือคงจิงปรากฏต่อหน้าทุกคน

บนใบหน้าของหลานเหวินเหยียนเผยความดีใจออกมา แล้วรีบคำนับซือคงจิง “ศิษย์พี่ซือคง”

สายตาซือคงจิงมองไปยังเด็กหนุ่มแซ่เฟ่ย ก่อนจะมองไปยังหม่าชิว

“การพยายามฝึกฝนและอดทนอดกลั้นแท้จริงก็เป็นเรื่องที่ดี ท่านอาจารย์ในสำนักบางท่านก็มีการบังคับให้ศิษย์เข้ารับการฝึกฝนเช่นนี้”

“แต่นั่นก็มาจากความประสงค์ดี ไม่ใช่เอาความแค้นส่วนตัวมาปนด้วย”

หม่าชิวมองดูชุดขาวที่ตนเองสวมใส่อยู่ แล้วก็มองไปที่เสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ซือคงจิงสวมใส่อยู่ ความแค้นพลันแล่นผ่านสายตาของเขาไป

เขาหัวเราะลั่น “ศิษย์น้องซือคงพูดล้อเล่นแล้ว ข้าก็แค่เล่นสนุกกับพวกเขาเท่านั้นเอง”

ซือคงจิงเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่สนุกเลยสักนิด”

“ศิษย์น้องซือคงสวมชุดสีน้ำเงินอยู่ ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว” หม่าซือยังกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ

“แต่เจ้าจะอยู่ที่เมืองใกล้ปราการนี้อีกนานเท่าไรกัน เขาจะพึ่งพาเจ้าไปได้อีกนานเท่าไร เจ้าไม่มีอำนาจที่จะโยกย้ายเขาไปจากที่นี่เสียด้วย และไม่มีอำนาจย้ายข้าออกไปจากที่นี่เช่นกัน”

“และเมื่อเจ้าไปแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรเล่า”

………………..

[1] จิ้งจอกอ้างบารมีเสือ หมายถึง แอบใช้อำนาจของผู้ใหญ่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว