เจ้าจะด่าเหมารวมไม่ได้…

กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่งไม่พูดอะไร

เชียนหลิงอวี่ยังคงเป็นกังวลอยู่บ้าง “ซีจิ่ว สุภาษิตกล่าวไว้สอนศิษย์จนเชี่ยวชาญตัวอาจารย์ย่อมอดตาย หากพวกเรายอมให้พวกเขาเรียนรู้แนวทางการจับกลุ่มทั้งหมดนี้ เกรงว่าต่อไปพวกเราคงเอาชนะเพวกขาไม่ได้อีกแล้ว”

“ทำไม? กลัวหรือไง?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว

เชียนหลิงอวี่เกาศีรษะ “แค่กังวลเล็กน้อยเท่านั้น”

“ไม่จำเป็นต้องกังวล” กู้ซีจิ่วเอ่ย “พวกเขาไม่มีทางเรียนรู้ทั้งหมดได้”

เชียนหลิงอวี่มองเธอด้วยความประหลาดใจ กู้ซีจิ่วจึงอธิบายให้เขาฟังต่อ “ความจริงแล้วสถานการณ์ของพวกเราสามคนค่อนข้างพิเศษ พลังวิญญาณของเจ้าอยู่ในระดับชั้นเมฆาม่วงระดับสูงแล้ว ขาดแค่การต่อสู้อย่างจริงจังเพียงอย่างเดียว ส่วนข้าถึงแม้พลังวิญญาณจะไม่เข้าขั้น แต่ข้ามีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน รับมือกับสถานการณ์ได้ดี จิ้งจอกน้อยถึงแม้จะใช้กระบวนยุทธ์ได้ไม่เก่งนัก แต่อานุภาพของกระบวนท่าที่นางสำแดงออกมาทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงนัก การจับกลุ่มแบบพวกเรานี้พวกเขาเลียนแบบไม่ได้หรอก…”

ในการจับกลุ่มสู้ ถึงแม้หลานไว่หูจะใช้ห้ากระบวนท่านั้นซ้ำๆ แต่กู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ล้วนเป็นคนหลักแหลม ตอบสนองว่องไว ประสานงานกันดี สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในสนามรบที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้

ก็เหมือนการเล่นเกมออนไลน์ ต่อให้มีกลยุทธ์เขียนไว้ตรงนั้นอย่างชัดเจน แต่มิใช่ว่าจะสามารถเรียนรู้กันได้ทุกคน ยังต้องอาศัยสติปัญญาและความเร็วในการตอบสนองของผู้คน…

พอกู้ซีจิ่วอธิบายเช่นนี้ ในที่สุดเชียนหลิงอวี่ก็เข้าใจ เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา “เช่นนี้ก็ดี! ถ้างั้นพวกเรามาซ้อมกันให้ดีเถอะ แล้วตาหน้าไปบดขยี้ตัวบัดซบชั้นเมฆาม่วงกัน!”

เขาไม่สบอารมณ์ชั้นเรียนเมฆาม่วงมานานแล้ว!

หลานไว่หูพยายามอดกลั้นไว้ แต่ก็อดไม่ได้ “พี่เยี่ยนเฉินของข้าก็เป็ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงนะ เจ้าจะด่าเหมารวมไม่ได้…”

เชียนเหลิงอวี่ก็เลื่อมใสเยี่ยนเฉินมากเหมือนกัน “ได้ ยกเว้นเขาแล้วกัน!”

….

ชั้นเรียนเมฆาม่วงและชั้นเรียนเมฆาคล้อยไม่ถูกกันมานานแล้ว ต่างรู้สึกไม่พอใจกันและกัน

ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงดูแคลนศิษย์ชั้นเรียนเมฆาคล้อย ทุกครั้งที่พบบ้างก็ทำมองเมิน บ้างก็หัวเราะเยาะ

สนามฝึกยุทธ์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นสนามฝึกที่ดีที่สุด อาณาเขตล่าสัตว์ของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงก็ดีที่สุดและใหญ่ที่สุด

อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ยิ่งลึกเข้าไปในหุบเขาเท่าไหร่ก็ยิ่งล่าสัตว์วิญญาณและเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณระดับสูงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ศิษย์ขอชั้นเรียนเมฆาม่วงครอบครองอาณาเขตตั้งแต่หลังเขาไปจนถึงสันเขา ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะขึ้นไปไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าบางครั้งจะลักลอบเข้าไปแต่ก็จะถูกโยนออกมาเสมอ

ต่อให้เป็นตอนที่จัดการแข่งขันกระชับมิตรกับสำนักศึกษาที่อยู่ภายนอก ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็เข้าร่วมไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงแสดงแสนยานุภาพตาละห้อย…

ก่อนที่ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ส่วนใหญ่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการพะเน้าพะนอ ถูกคนในตระกูลเอาอกเอาใจดั่งพญาหงส์ ทุกคนล้วนหยิ่งทะนงภาคภูมิ ถูกเลี้ยงดูจนเสียนิสัยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา

ตราบจนมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ที่นี่มีอัจฉริยะอยู่มากมาย คุณสมบัติของพวกเขามิเลิศเลอไปกว่าฝูงชน ไม่โดดเด่นเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเจียมตนอีกครั้ง

ตอนที่พวกเขาเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาถึงอย่างไรก็เพิ่งอายุสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ล้วนเป็นเด็กน้อยทั้งสิ้น เป็นช่วงวัยต่อต้านพอดี ความสูงส่งทะนงตนผนวกกับความน้อยเนื้อต่ำใจรวมอยู่บนร่างพวกเขา ทำให้บางครั้งพวกเขาก็ดูถูกตนเองยอมรับความพ่ายแพ้ บางครั้งล้มแล้วไม่ยอมลุก บางครั้งก็ทำตัวเกกมะเหรกเกเรเพื่อหาความมีตัวตน ถึงหล่อหลอมให้เกิดเด็กมีปัญหามากมายถึงเพียงนี้ ถึงได้มีชั้นเรียนเมฆาคล้อยแห่งนี้…

ที่นี่ก็เหมือนค่ายฝึกทหารรบ แข่งขันกันอย่างโหดร้าย ต่อสู้กันอย่างดุเดือด มีบางคนที่ได้อยู่ต่อและมีบางคนที่ถูกคัดออก

ผู้ที่เก่งกาจจะกลายเป็นหน่วยรบพิเศษของจักรพรรดิ ผู้ที่ไม่เหมาะสมจะถูกส่งไปเลี้ยงหมู…

ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงก็เหมือนหน่วยรบพิเศษ พวกเขาย่อมไม่เห็นทหารที่ถูกคัดออกแล้วส่งไปเลี้ยงหมูในไร่อยู่ในสายตา…