บทที่ 63 สอนสั่ง
“ลูกพี่ ท่านได้ยินมารึยัง เมื่อวานนี้ที่ลานประลองเป็นตาย คนแล่เนื้อเฉินเฉียงแห่งแผนกวิชายุทธพิเศษทั้งๆที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ระดับทหารขั้นสูง แต่กลับสามารถเอาชนะจ้าวฮั่นที่อยู่ระดับนายพลวิญญาณให้ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถได้เลย”
“เจ้าจะพูดทำไมกัน เมื่อวานนี้ข้าลงฝั่งจ้าวฮั่นไปทำให้ค่าเสียแต้มคะแนนไปกว่าสองร้อยแต้มเลยนะนั่น”
“เฮ้อ ใครจะไปคิดว่าจ้าวฮั่นจะด้อยความสามารถได้ถึงขนาดนั้นกัน”
“เขานั้นทำไม่ได้แม้แต่การชนะลูกหมาระดับทหารแบบนี้ ช่างน่าอัปยศอดสูจริงๆ”
“ถึงแม้จ้าวฮั่นนั้นจะเป็นศิษย์ด้อยอันดับในแผนกวายุก็ตาม แต่ไอ้บ้านั่นก็มีผู้อาวุโสจ้าวคอยหนุนหลังอยู่ เจ้าคนแล่เนื้อนั่นช่างบ้าดีเดือดดีจริงๆ มันไม่กลัวจ้าวฮั่นจะเอาคืนนอกเกมมั่งรึไงนะ”
“เอาคืนเหรอ เอาคืนกับผีอะไรกัน ข้าขอบอกพวกเจ้าเลยนะเห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย เมื่อวานหลังจากจ้าวฮั่นแพ้แล้ว หมอนั่นยอมรับไม่ได้แล้วพูดด่าว่าคนแล่เนื้อนั่นตรงนั้นเลย”
“หมอนั่นไม่รู้ว่าคนแล่เนื้อนั้นไม่ใช่คนที่เดินตามขนบธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แล้ว หมอนั่นโดนคนแล่เนื้อท้าทายรอบสองเสียตรงนั้นเลยทีเดียว”
“แล้วผลเป็นยังไงรู้รึเปล่า”
“จ้าวฮั่นกลัวจนหนีหางจุกตูดไปเลย”
“ห้ะ หนีงั้นเหรอ ไอ้ฉิบหาย เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่มีสำนักมาเลยนะ”
“ยอมแพ้โดยไม่สู้นี่มันจะทำตัวน่าอับอายเกินไปแล้ว”
“ดูเหมือนว่าจ้าวฮั่นนั้นคงจะมีชะตาที่ต้องหลบเลี่ยงผู้คนแน่นอนยามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับคนแล่เนื้อคนนั้นน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
…
เมื่อได้ยินข้อความที่พูดคุยกันผ่านกำไลสื่อสารแล้วทำให้จ้าวฮั่นผู้ซึ่งเก็บตัวอยู่ในห้องรู้สึกโกรธอย่างมาก เขาต้องทำลายข้าวของในทุกๆครั้งที่ได้ยินหรือได้เห็นข้อความแนวนี้ จนในตอนนี้เขานั้นเกือบจะพังบ้านของตัวเองลงแล้ว
“ฮั่น เจ้าทำอะไรเนี่ย”
ในตอนที่จ้าวฮั่นกำลังระบายโทสะกับข้าวของ จ้าวหยางก็ได้ปรากฏตัว
“ปู่ ข้ารับไม่ได้อีกแล้ว” สายตาของจ้าวฮั่นในตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินที่แสดงออกมาซึ่งการถูกทำให้อัปยศอดสู
จ้าวหยางถอดถอนหายใจและค่อยๆพูดออกมา
“ฮั่น ในเมื่อเจ้านั้นไม่ยอมรับแล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
“ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพียงการประลองระหว่างศิษย์กันเท่านั้น แล้วเจ้าจะจดจำมันฝังใจไปทำไม”
“ในสำนักเรานั้นมีการประลองในลานประลองเป็นตายกันทุกวัน มีผู้แพ้เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน ทุกๆคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเจ้า หากว่าเมื่อแพ้แล้วทุกคนต้องทำตัวอย่างเจ้า แล้วลานประลองนั่นจะไปมีค่าอะไรกัน”
“แต่ท่านปู่ เฉินเฉียงมันเป็นเพียงระดับทหารเองนะ แถมมันเป็นแค่คนแล่เนื้อ”
“ข้าจะแพ้ให้กับใครก็ได้ แต่กับมัน… มันคือตัวอัปยศอดสูของมวลมนุษย์”
“แล้วเจ้าจะทำเพียงซ่อนตัวอยู่ในห้องทำลายข้าวของอยู่อย่างนี้น่ะรึ”
จ้าวหยางได้ตะคอกออกมาอย่างดังลั่น หลังจากนั้นเขาก็ได้ถอดถอนลมหายใจก่อนจะพูดออกมา “ฮั่น เมื่อเจ้าได้รับรู้ความอับอายและอัปยศอดสูแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมัน”
“ในเมื่อเจ้านั้นรับรู้การได้รับความอัปยศอดสูนี่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ควรที่จะหาวิธีนำเกียรติยศของเจ้ากลับคืนมาให้ได้ แทนที่จะหลบซ่อนอยู่มุมห้องแล้วบ่นกระปอดกระแปดร้องไห้ฟูมฟายแบบนี้ การกระทำของเจ้าในตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากคนขี้ขลาด”
เสียงตะคอกของจ้าวหยางเมื่อครู่ได้ปลุกจ้าวฮั่นขึ้นมาจากความอดสู เขาปาดน้ำตาที่ไหลรินและพูดออกมาด้วยเสียงค่อยๆ “ท่านปู่ ข้ารู้แล้วว่าข้าทำตัวผิดไป อย่าเป็นกังวล ข้าจะดึงตัวเองให้ออกจากสภาพนี้เดี๋ยวนี้ครับ”
เมื่อเห็นว่าจ้าวฮั่นนั้นตื่นขึ้นมาจากความโศกเศร้าแล้ว จ้าวหยางได้เผยรอยยิ้ม เขาได้พูดปลอบหลานชายตัวเองอีกครั้งและจากไป
ในห้องที่ว่างเปล่า จ้าวฮั่นได้ยืนอย่างเงียบเฉียบครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่นและเย็นยะเยียบ “พวกเจ้า”
ไม่นาน ศิษย์สำนักสี่คนก็ได้เข้าและมายืนรอรับคำสั่งด้วยความเคารพ
“ทำความสะอาดห้องนี้ซะ แล้วก็ ไป๋จี้ เจ้า ส่งคนไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไอ้คนแล่เนื้อนั่นมาให้หมด อย่าได้ตกหล่นแม้แต่น้อย”
“นายน้อย ตามกฎของสำนักเราห้ามไม่ให้ศิษย์ต่อสู้กันเองนะครับ ท่านต้องคิดเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนก่อน”
ศิษย์สำนักที่ชื่อไป่จี้ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงละมุนเพื่อเตือนสตินายน้อยของตน เพราะว่าเขานั้นเห็นท่าทีอันเย็นชาของจ้าวฮั่นในตอนนี้แล้วรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้
“แน่นอนว่าข้าจำกฎข้อนี้ได้ แต่ข้าไม่เชื่อว่าไอ้บ้านั่นมันจะหดหัวอยู่แต่ในสำนักไปตลอดกาล”
“เมื่อใดก็ตามที่มันออกจากสำนักเมื่อไหร่ คอยดูเถอะ ฮึ่มมม”
“ทำตามที่ข้าบอกไปก่อนก็พอ แล้วก็คอยส่งคนติดตามดูมันไว้ทุกฝีก้าว”
“ได้ครับ นายน้อย”
…
ที่บ้านพักของฮู่ต้าไฮ่ หลังจากสั่งให้ศิษย์ทุกคนกลับไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่ยังคงอยู่
ในห้องตอนนี้เต็มไปด้วยความเงียบงัน เงียบชนิดที่ว่าแม้แต่เข็มตกพื้นก็ยังได้ยิน
เฉินเฉียงยังคงรออาจารย์ของเขาลงโทษอย่างไม่ร้อนรน
หลังจากผ่านพักใหญ่ ฮู่ต้าไฮ่ก็ได้พูดออกมา “เฉินเฉียง เจ้าสู้กับจ้าวฮั่นและศิษย์พี่ใหญ่ในสนามประลองเป็นตาย ถึงแม้ว่าทั้งสองจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นทั้งคู่ แต่ผลลัพธ์นั้นกลับแตกต่างกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
เฉินเฉียงได้นิ่งคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนที่เขานั้นจะตามออกมาอย่างมั่นใจ “เรียนอาจารย์ ข้าสัมผัสได้ว่าพลังสายเลือดของศิษย์พี่ใหญ่นั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวฮั่นอย่างมาก นี่ทำให้ข้าไม่สามารถทะลวงผ่านชั้นพลังสายเลือดที่ศิษย์พี่ใหญ่ใช้เคลือบป้องกันร่างกายได้ อีกอย่างหนึ่งคือ ศิษย์พี่ใหญ่นั้นได้เปิดจุดชีพจรลับได้แล้วสิบสองจุด ส่วนจ้าวฮั่นนั้นกลับเปิดได้เพียงแค่จุดเดียวเท่านั้น”
“ถือได้ว่าเจ้ารู้แค่บางส่วนแต่ไม่ได้รู้ทั้งหมด” ฮู่ต้าไฮ่ในตอนนี้ได้ยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาใช้มือไพล่หลังและเดินไปในห้อง
“ความจริงแล้วต่อให้ศิษย์พี่ของเจ้านั้นเปิดจุดชีพจรลับได้เพียงจุดเดียว เจ้าก็ยังไม่อาจจะชนะเขาได้”
“ที่เป็นแบบนั้นนั่นก็เพราะระดับทหารนั้น ไม่ว่าจะเปิดจุดได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็จะไม่สามารถใช้พลังสายเลือดออกมาได้ยังไงล่ะ”
“แล้วก็สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือคุณภาพของจุดชีพจรที่อยู่ในร่างกายก่อนที่เจ้านั้นจะสามารถเปิดจุดแรกได้สำเร็จ”
ฮู่ต้าไฮ่ได้หันไปมองเฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมา “ในช่วงเกือบสองเดือนมานี้ เจ้าสามารถเปิดจุดชีพจรได้สิบเอ็ดจุด อาจารย์เชื่อว่าจุดสุดท้ายของเจ้านั้นอีกไม่นานก็คงจะเปิด”
“เฉินเฉียง เจ้าต้องจำไว้ว่า หลังจากที่จุดชีพจรทั้งสิบสองได้เปิดแล้ว พลังงานสายเลือดของเจ้าจะกลับกลายเป็นพลังภายในของเจ้าในทันที”
“และกระบวนการนี้มีความสำคัญกับเจ้าอย่างมาก”
“เหตุผลที่ว่าทำไมพลังสายเลือดของจ้าวฮั่นถึงได้อ่อนด้อยนั้นเป็นเพราะว่าก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณนั้น เขาไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนพลังงานสายเลือดทั้งหมดให้กลายเป็นพลังงานภายในได้ทันทำให้พลังภายในดั้งเดิมและพลังงานภายในของสายเลือดได้ผสมปนเปและขัดแย้งซึ่งกันและกัน”
“และด้วยความไม่ตระหนักในเรื่องนี้เอง ต่อให้เขาสามารถก้าวผ่านไปยังระดับนายพลวิญญาณชั้นสูงได้ในอนาคต แต่เขาก็จะอ่อนด้อยที่สุดในเหล่าศิษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน”
“ดังนั้น เฉินเฉียง หลังจากที่เจ้าเปิดจุดชีพจรทั้งหมดได้แล้ว เจ้าจะต้องใช้พลังงานสายเลือดทั้งหมดของเจ้าหลอมรวมมันเป็นหนึ่งและใช้มันเปิดจุดชีพจรลับภายในร่างของเจ้าให้ได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ศิษย์ทราบแล้ว” เฉินเฉียงได้นึกทบทวนคำพูดของอาจารย์ของตน เขารู้สึกได้ว่าการท้าประลองในช่วงสองวันมานี้ทำให้เขาได้กำไรแบบสุดๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากว่าเป็นไปตามที่อาจารย์ของเขาพูดไว้ละก็ หากว่าเขานั้นยังคงสู้ต่อไป ดีไม่ดีหลังจากสู้จนจบแล้วอาจจะก้าวข้ามไปยังระดับนายพลวิญญาณโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการนี้ไปล่ะก็ เขาคงจะหมดอนาคตไปแล้ว
ฮู่ต้าไฮ่พยักหน้ารับกับท่าทีของเฉินเฉียงก่อนจะพูดออกมา “อืมถ้าดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ในตอนนี้ระดับของเคล็ดวิชาการฝึกฝนร่างกายพื้นฐานของเจ้านั้นสมควรอยู่เพียงระดับต้นเท่านั้นใช่หรือไม่ เจ้าต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ให้ดี แผนกของเรานั้นใช้เคล็ดวิชานี้เป็นรากฐานในการฝึกฝน ในเมื่อเจ้าไปถึงระดับนี้แล้วก็อย่าทำให้มันสูญเปล่าซะล่ะ เอ้า ไปได้แล้ว”
หลังจากกล่าวลาอาจารย์ของตนแล้ว เฉินเฉียงก็กลับไปบ้านพักของตน เขาใช้เวลาอยู่ครึ่งวันเพื่อทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมาในช่วงสองวันนี้ก่อนที่จะนั่งปรุงยาให้หลิวซวนเอ๋อ
สำหรับเหล่านักรบวิญญาณระดับนายพลวิญญาณนั้น ทุกคน ล้วนแล้วแต่ผ่านการบ่มเพาะสายเลือดนี้มาแล้วทั้งสิ้น
และเหตุผลที่อาจารย์ของเขานั้นได้พูดคงเรื่องนี้เองก็เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้เฉินเฉียงทำตัวเหมือนจ้าวฮั่นที่มุ่งเน้นในการก้าวข้ามไปยังระดับนายพลวิญญาณโดยเร็วและไม่ใส่ใจที่จะบ่มเพาะพลังงานวิญญาณภายในร่าง และให้ความสนใจกับการเปิดจุดชีพจรลับมากเกินไป
ส่วนผลลัพธ์นั้นก็เป็นดั่งที่เขาได้เห็นไปแล้ว พลังงานสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจ้าวฮั่นนั้นอ่อนด้อยแบบสุดๆ หากว่าเขานั้นต้องการจะเปิดจุดชีพจรลับจุดถัดๆไป เขาทำได้เพียงอาศัยยากลั่นเลือดพวกนี้เท่านั้น แถมนั่นจะทำให้เมื่อเขาเปิดจุดชีพจรได้ ร่างกายจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอีกด้วย
จากข้อมูลเหล่านี้แล้วนี่ทำให้เฉินเฉียงตระหนักได้ว่าการก้าวข้ามไปยังระดับนายพลวิญญาณนั้น การบ่มเพาะพลังสายเลือดของตนนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ด้วยการที่ระดับของยากลั่นเลือดนี้เองคุณภาพอ่อนด้อยกว่ายาทะลวงจุดที่เขาปรุงให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาทำให้เฉินเฉียงทำเสร็จลงได้อย่างไม่ยากเย็น
เหตุผลที่เขานั้นหลุดพ้นจากงานโรงครัวที่น่าเบื่อหน่ายนั่นได้เป็นเพราะหลิวซวนเอ๋อผู้นี้ที่ช่วยเขาไว้อย่างมาก
และเมื่อเขาปรุงยาเสร็จแล้ว เฉินเฉียงก็ได้รีบส่งข้อความไปบอกหลิวซวนเอ๋อในทันที