ตอนที่ 63 ศิษย์พี่คุมสอบ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

เมื่อมีการสนับสนุนจากข่ายพลัง ผีดิบที่เข้าใกล้ล้วนถูกต้านเอาไว้อยู่ด้านนอก พวกเขาหยุดลงเพราะไม่อาจโจมตีได้ ก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ พวกเขาล้อมรอบตัวบ้านเอาไว้ จ้องมองคนที่อยู่ด้านในอย่างกระหาย ท่าทางราวกับจะทดสอบความอดทนของผู้คนอย่างนั้น

 

 

ทันใดนั้น ดวงตาสีแดงเลือดและใบหน้าที่เน่าเปื่อยนั้นกำลังจ้องเขม็งไปยังคนในบ้าน สายตามีแต่ความโลภ อีกทั้งยังส่งเสียงกลืนน้ำลายออกมาในบางครั้ง ทำให้คนที่ได้ยินล้วนขนลุกซู่

 

 

“ตอนนี้…ทำอย่างไร” คนในบ้านยังไม่ทันได้วางใจ ก็เป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมองออกไปยังคนทั้งสี่ที่เพิ่งสร้างข่ายพลังกลับมา ในเวลานั้นพวกเขากลายเป็นบุคคลสำคัญทันที “พวกมันหากอยู่ตรงนี้ตลอดไปจะทำอย่างไร” ตอนนี้ถึงแม้จะไม่เป็นไร แต่ข่ายพลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน ก็มีเวลาที่มันจะใช้ไม่ได้ อีกทั้งที่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง อย่างน้อยพวกเขาต้องกินต้องดื่ม

 

 

“ทุกคนอย่ากังวล” ถังเฉินข่มความกลัวภายในใจลง ก่อนจะปลอบโยนทุกคนด้วยเสียงทุ้ม “เวลาการทดสอบมีเพียงสามวัน ตอนนี้เป็นวันที่สองแล้ว เมื่อถึงเวลา สำนักเทียนซือต้องรับรู้ถึงความผิดปกติอย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องส่งคนมาช่วยพวกเราเป็นแน่” ซึ่งก็หมายความว่า พวกเขาแค่อดทนรออยู่ที่นี่ถึงเช้าของวันมะรืนก็พอ ในเวลานี้อย่าตื่นตูมจะดีที่สุด

 

 

เมื่อเขาพูดจบ สีหน้าของทุกคนถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย แต่แล้วก็ยังมีความกังวล “ข่ายพลังนี้…สา…สามารถอยู่ได้ถึงวันมะรืนหรือไม่”

 

 

“ได้แน่นอน!” เขาตอบเสียงดัง แต่สายตากลับหันไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้างเป็นเชิงถาม

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “อืม”

 

 

ในเวลานี้ทุกคนถึงได้วางใจลง

 

 

แต่ว่าสีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวกลับกังวล นางไม่ได้วางใจเหมือนคนอื่น ข่ายพลังสามารถอยู่ได้ถึงเช้าวันมะรืนก็จริง แต่ว่าที่สำคัญคือผีดิบด้านนอกพวกนั้นจะรอถึงตอนนั้นไหม

 

 

นางหันหน้าไปมองฝูงผีดิบที่ทำหน้าโหดเหี้ยม เมื่อนึกถึงยันต์ขนส่งที่ใช้งานไม่ได้อย่างกะทันหัน นางก็รู้สึกว่าเรื่องคงจะไม่ง่ายขนาดนี้ สำนักเทียนซือสามารถมาทันเหรอ

 

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงร้อนรนของชายคนหนึ่งดังขึ้น

 

 

“ท่านสหายอวิ๋น…ท่านสหายอวิ๋น? ท่านได้ยินเสียงข้าหรือไม่”

 

 

“เสียงอะไร” ไป๋อวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างตะลึงงัน มองหน้ากับคนอื่นๆ ก่อนที่สายตาจะหยุดลงอยู่บนตัวอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู เสียงนั้นเหมือนกับว่า…ส่งมาจากบนตัวเจ้า”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวนิ่งอึ้ง ก่อนจะก้มหา สักพักถึงได้หยิบแผ่นไม้ออกมาแผ่นหนึ่ง นั่นเป็นป้ายชื่อของนาง เสียงที่ว่านั้นส่งมาจากแผ่นไม้นี้

 

 

“ป้ายชื่อเจ้า…เป็นสีม่วง!” ถังเฉินเมื่อเห็นว่าป้ายชื่อของนางสีแตกต่างจากคนอื่น สีหน้าของเขาก็แสดงถึงความเหลือเชื่อออกมา ก่อนจะถลึงตาโต “เจ้า…เจ้าเป็นศิษย์พี่คุมสอบของสำนักเทียนซือ!” มีเพียงศิษย์พี่เท่านั้นที่ป้ายชื่อจะเป็นสีม่วง

 

 

“…” อะไรนะ

 

 

ทุกคนราวกับเพิ่งได้สติ สายตาจับจ้องไปบนตัวนางพร้อมกัน ราวกับมองเห็นความหวังขึ้นมา แววตาของทุกคนลุกวาวขึ้นทันที

 

 

สนามสอบรอบที่สามของสำนักเทียนซือ ปกติแล้วจะส่งศิษย์พี่คุมการสอบระดับเจ็ดดอกไม้ขึ้นไป และจะใช้สถานะผู้สอบเข้าร่วม ไม่มีใครรู้ว่าคนคนนั้นคือใคร แต่เขาคนนั้นจะทำการทดสอบพฤติกรรมของทุกคนอย่างลับๆ หนึ่งคือเพื่อเป็นการป้องกันคนที่มีนิสัยย่ำแย่แอบลอบทำร้ายคนอื่นระหว่างการทดสอบ สองคือเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้สอบ ถึงแม้จะไม่มีการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ว่าเป็นกฎกติกาที่ศิษย์ทุกสำนักรับรู้

 

 

โดยปกติแล้วศิษย์พี่ที่คุมสอบจะอยู่ในรายชื่อที่ไม่โดดเด่นมาก ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเล่นใหญ่ขนาดใช้รายชื่ออันดับหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาของทุกคนล้วนมีความเคารพ

 

 

อวิ๋นเจี่ยวที่ถูกจ้องจนขนลุก “…” อะไรกัน คนที่มาสอบครั้งแรกอยากจะบอกว่าตัวเองนั้นไม่รู้เรื่องเลย

 

 

แต่ว่าป้ายชื่อในมือกลับส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “ท่านสหายอวิ๋น…ข้าคือเจียวเหิงอี ท่านได้ยินข้าหรือไม่”

 

 

“ท่านอาวุโสเจียว! เทียนซือระดับสามพระจันทร์ที่ฝึกฝนทางข่ายพลังของสำนักเทียนซือ!” อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันตอบ ก็มีศิษย์ด้านข้างโพล่งออกมา ทำให้ทุกคนยิ่งมั่นใจในสถานะของนางมากขึ้น

 

 

อวิ๋นเจี่ยวนึกออกทันทีว่าเขาคือใคร เขาก็คือหนึ่งในผู้คุมสอบของสนามรอบที่สอง ดังนั้นนางจึงตอบกลับไปว่า “ข้าคืออวิ๋นเจี่ยว”

 

 

“ท่านสหายอวิ๋น!” เสียงนั้นแสดงความดีใจอย่างมาก ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ติดต่อท่านได้เสียที ข่ายพลังขนส่งของสำนักเทียนซือใช้ไม่ได้ ข้าศึกษาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาวิธีซ่อมไม่ได้ ข้าลองตั้งหลายวิธีถึงได้ติดต่อกับท่านได้ ท่านสหายอวิ๋นหากท่านอยู่ที่นี่…”

 

 

เขาพูดพร่ำทำเพลงมากมาย แต่ไม่มีประเด็นสำคัญออกมาเลย เจ้าสำนักสวีทนดูต่อไม่ไหว จึงเอ่ยแทรกขึ้นมาในทันที

 

 

“ท่านสหายอวิ๋น ข้าคือสวีชิงเฟิง ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ศิษย์ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่”

 

 

“ตอนนี้ทุกคนไม่เป็นอะไร” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองทุกคน ก่อนจะบอกเล่าสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียด

 

 

“ผีดิบ!” เมื่อได้ยินคำนี้ เจ้าสำนักสวีก็ตะลึงไปเช่นกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบนโลกนี้มีอะไรแบบนี้ด้วย ปกติแล้วเมื่อคนตายวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง เขายังไม่เคยได้ยินวิธีการขังวิญญาณไว้ภายในร่างกายเช่นนี้ เรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดาแล้ว อาจจะแย่กว่าที่คิดไว้เสียอีก

 

 

เมื่อคิดถึงศิษย์ที่มาขึ้นทะเบียนเหล่านั้น เจ้าสำนักสวีก็ยิ่งร้อนใจ เขากำชับด้วยเสียงทุ้มว่า “ขอให้ท่านสหายอวิ๋นช่วยดูแลเหล่าศิษย์นี้ก่อน ท่านอาวุโสของสำนักเทียนซือกำลังไป อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้เช้าก็คงจะถึง แต่ก่อนหน้านั้น อย่าให้พวกเขาก่อเรื่อง”

 

 

เมื่อเขาพูดจบ ศิษย์ทุกคนต่างโล่งใจ ใบหน้าแสดงออกถึงความดีใจ มีท่านอาวุโสมา แสดงว่าพวกเขาก็จะปลอดภัย

 

 

อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะรับปาก ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นยะเยือกส่งเข้ามาจากด้านนอก

 

 

“เสียดายที่พวกเจ้าคงอยู่ไม่ถึงเวลานั้น”

 

 

ทุกคนต่างตะลึง พวกเขาหันหน้าออกไปมองข้างนอก เห็นเพียงแต่กลุ่มผีดิบหลีกออกไปสองข้างทาง ก่อนที่จะมีชายคนหนึ่งเดินมาทางนี้อย่างช้าๆ เขาสวมชุดสีเขียว เมื่อเทียบกับชาวบ้านคนอื่นที่เน่าเปื่อยแล้ว เขาดูสมบูรณ์แบบกว่ามาก อีกทั้งยังไม่ได้สมบูรณ์แบบจากการปลอมตัวดังเช่นหัวหน้าหมู่บ้าน

 

 

ร่างกายของเขาราวกับคนธรรมดา เพียงแต่ว่าบนใบหน้านั้นมีความแตกต่างไป หน้าทางด้านขวานั้นเป็นลักษณะของผู้มีการศึกษา ส่วนใบหน้าทางด้านซ้ายนั้นกลับเน่าเปื่อยเต็มไปด้วยเลือด อีกทั้งยังมีกระดูกสีขาวโผล่ออกมา และกำลังส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง

 

 

เขาจับไปยังใบหน้าทางด้านซ้ายของตัวเอง ก่อนจะฉีกยิ้มเย็นยะเยือก ใช้สายตาที่มองดูเหยื่อกวาดมองทุกคนแล้วพูดว่า “กว่าจะหลอกพวกเจ้ามาที่นี่ได้ พวกข้าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกเย็นวาบขึ้นภายในใจ พวกเขารวมตัวโดยยึดเอาอวิ๋นเจี่ยวเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างระแวง คนคนนี้คงจะเป็นหัวหน้าของฝูงผีดิบนี้

 

 

สายตาของชายหนุ่มยิ่งร้อนรุ่ม ราวกับอยากจะพุ่งเข้ามาเต็มที กวาดตามองร่างกายของทุกคนไปมา “พวกเราไม่ได้เจอเลือดเนื้อที่มีพลังเช่นนี้มานานมากแล้ว หากกินพวกเจ้าลงไป จะต้องทำให้พวกเราอยู่ได้อีกเป็นหลายร้อยปี”

 

 

สีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีนัก ยิ่งมั่นใจว่าจุดประสงค์ของพวกมันก็คือกินพวกเขา