ตอนที่ 65 อาวุธเทพจำแลงจริงด้วย
หลังมองหลี่ฉางหมิงและลู่อู๋ซวงจากไปจนลับตาแล้ว นักพรตฉางเสวียนก็เดินเข้าสู่ทางเดินด้านหลังของตำหนักไท่เสวียนอย่างรีบร้อน
ทางเดินเส้นนี้ลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ปากทางเข้าถูกปกปิดด้วยค่ายกลมายา ระหว่างทางเดินก็มีค่ายกลสังหารอันน่ากลัวมากมายถูกวางเอาไว้
ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องเส้นทางนี้
นั่นก็คือเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ดูก็รู้ว่าสถานที่ปลายทางของเส้นทางนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับชะตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่
ระหว่างทางเดินที่มืดสลัว นักพรตฉางเสวียนถือตราโบราณเอาไว้ในมือและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสะท้อนพุ่งออกมาจากมุมด้านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เกิดไอพลังรุนแรงพัดมา
นักพรตฉางเสวียนราวกับคุ้นชินกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียแล้ว เขาเพียงหรี่ตาและกระชับมือถือตราโบราณแน่นขึ้น ก่อนจะก้าวเดินต่อไปมิหยุด
มินานภาพอันน่าตกตะลึงก็ปรากฏสู่สายตา
ตราประทับสำริดโบราณที่ปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์มากมายลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
สัญลักษณ์มากมายบนตราประทับสำริดส่องประกายสีทองเจิดจ้า บางคราสัญลักษณ์โบราณเหล่านี้ก็ขยับได้ราวกับมีชีวิต
อีกทั้งรอบ ๆ ตราประทับสำริดนี้ ยังมีหินเจิ้นหลิงขนาดใหญ่สามสี่ก้อนที่เป็นอาวุธวิเศษของค่ายกลลอยวนอยู่รอบ ๆ บนหินเจิ้นหลิงมีสัญลักษณ์โบราณสลักอยู่เต็มไปหมด แต่สิ่งที่ต่างจากตราประทับสำริดก็คือ แสงที่ส่องออกมาจากสัญลักษณ์เหล่านี้กลับเป็นสีฟ้า อีกทั้งไอพลังที่แผ่ออกมาก็ต่างกันอีกด้วย
แค่เข้าใกล้บริเวณนั้นก็จะรับรู้ได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวที่ซุกซ่อนอยู่
มิเพียงเท่านั้น ปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ยังทรงพลังมากอีกด้วย ราวกับเมฆหมอกที่ปกคลุมที่นี่เอาไว้ ทั้งยังบริสุทธิ์เพียงแค่สูดดมเข้าไปก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในพริบตาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าที่นี่ก็คือสถานที่กำเนิดรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั่นเอง
เป็นศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผาที่ปกคลุมทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ในการรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วทุกสารทิศมาไว้ที่นี่ด้วย
ส่วนตราประทับสำริดที่อยู่ใจกลางนั้นก็คือดวงตาของค่ายกล หรือก็คือตราประทับไท่เสวียนที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนถือกำเนิดขึ้น
ตราประทับไท่เสวียนนับเป็นสมบัติโบราณชั้นสูงชิ้นหนึ่ง
“ฟิ้ว ! ”
มีไอพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงแผ่ออกมาจากตราประทับไท่เสวียน
วินาทีนี้แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ที่บรรลุขั้นแดนเทวามานับพันปีเช่นนักพรตฉางเสวียนก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความตระหนกมิได้
แต่มินานใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็ปรากฏรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัยบางอย่างออกมา
‘หากสามารถนำเอาสมบัติโบราณสองชิ้นที่ได้รับมาเป็นดวงตาของค่ายกลป้องกันภูผาได้ ถึงเวลาที่ค่ายกลถูกเปิด เกรงว่าคงมีเพียงท่านบรรพจารย์เย่ที่จะสามารถทำลายได้กระมัง ? ’
นักพรตฉางเสวียนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ก่อนที่จะเพ่งสมาธิแล้วหยิบระฆังสําริดที่สวีฉิงเทียนมอบให้ออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
เขาถือระฆังสําริดด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘ด้านบนของระฆังสําริดใบนี้เหมือนมีผนึกโบราณอยู่ หลังจากเปิดผนึกแล้ว หวังว่าตราประทับไท่เสวียนคงจะสามารถสะกดพลังของระฆังนี้เอาไว้ได้นะ’
หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้วนักพรตฉางเสวียนจึงสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นระฆังสําริดที่มีรอยร้าวใบนี้ก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ
ก่อนจะลอยไปหาตราประทับไท่เสวียน ด้วยการควบคุมของนักพรตฉางเสวียน
“ปัง ! ”
ขณะที่ระฆังสําริดอยู่ห่างจากตราประทับไท่เสวียนเพียงมิกี่เชียะ ก็พลันปรากฏภาพอันน่ากลัวขึ้น
ตราประทับไท่เสวียนราวกับรับรู้ถึงไอพลังบางอย่าง จึงเกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกับส่งเสียงดังออกมาเป็นระลอก ก่อนจะระเบิดลำแสงเจิดจ้ามากมายออกมา
ขณะเดียวกันไอพลังอันน่ากลัวก็ได้แผ่พระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้นักพรตฉางเสวียนจะใช้ลมปราณคุ้มกายป้องกันตนเองเอาไว้ แต่ก็ยังต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างต้านมิอยู่
“ปัง ! ”
มิกี่อึดใจ ตราประทับไท่เสวียนก็ปล่อยพลังทำลายล้างพุ่งเข้าใส่ระฆังสำริดที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ขณะที่ประกายแสงสาดส่องอยู่นั้น เสียงสั่นสะเทือนอันน่ากลัวก็ดังตามมา ก่อนที่ระฆังสำริดจะถูกคลื่นพลังซัดออกไปครึ่งจั้ง1
จนม่านพลังของตราประทับไท่เสวียนมีรอยร้าวมากมายเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
แสดงให้เห็นว่าตอนนี้พลังงานนั้นแปรปรวนมากเพียงใด
“สูด ! ”
หลังจากสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว นักพรตฉางเสวียนก็อดที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างหวาดกลัวมิได้
ก่อนจะรีบนั่งลงบนพื้นและทำท่ามุทราด้วยสองมือ
ทันใดนั้นรอบกายของเขาก็เกิดแสงหลากสีสันแผ่ออกมา ผมสีขาวดุจหิมะพลิ้วไหว ราวกับเซียนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่
เขารู้ดีว่าหากถูกคลื่นพลังของตราประทับไท่เสวียนซัดต่อไปเช่นนี้ มิช้าผนึกบนระฆังสำริดจะต้องถูกทำลายลง ถึงเวลานั้นคงเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้นเป็นแน่
ตอนนี้เขาต้องพยายามควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผา อาศัยพลังของค่ายกลป้องกันภูผาเพื่อสะกดระฆังสำริดที่กำลังจะถูกทำลายเอาไว้ และทำให้ระฆังสำริดผสานกลายเป็นส่วนหนึ่งของดวงตาค่ายกลให้ได้ จึงจะทำให้ค่ายกลป้องกันภูผาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เวลาผ่านไปมิถึงหนึ่งก้านธูป ระฆังสำริดที่สวีฉิงเทียนมอบให้กับนักพรตฉางเสวียนหลังจากแพ้การการประลองไปก็ราวกับถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะนี้ตัวระฆังสำริดสั่นมิหยุด ขณะเดียวกันก็แผ่คลื่นแสงอันรุนแรงออกมา พลังอันน่ากลัวหยุดลง คล้ายกับความสงบก่อนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ก็มิปาน
ราวกับรับรู้ได้ถึงไอพลังที่มิปกติ สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตาโพลงขึ้นมา
“ผนึกใกล้จะเปิดออกแล้ว แต่ไอพลังนี่… เหมือนมีบางอย่างมิถูกต้อง ! ”
นักพรตฉางเสวียนพบว่าไอพลังที่ระฆังสำริดแผ่ออกมา ดูน่ากลัวกว่าไอพลังที่ตราประทับไท่เสวียนแผ่ออกมาเสียด้วยซ้ำไป
ตราประทับไท่เสวียนถือว่าเป็นสมบัติโบราณชั้นสูงที่ท่านบรรพจารย์ทุ่มเทพลังทั้งหมดกลั่นขึ้นมา หากยังมีพลังเหนือกว่าสมบัติโบราณชั้นสูงนี้อีก เช่นนั้นแล้วจะเป็นสิ่งใดกัน ?
หรือว่านี่จะเป็นอาวุธเทพจำแลง ?
เหนือกว่าสมบัติโบราณก็คืออาวุธเทพจำแลง พลังของอาวุธเทพจำแลงมิใช่สิ่งที่สมบัติโบราณจะเทียบได้
นักพรตฉางเสวียนคิดได้เช่นนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกภายในพริบตา
แต่อาวุธเทพจำแลงหายไปจากโลกนี้ตั้งนานแล้ว
การได้ครอบครองอาวุธเทพจำแลงสักชิ้น นับว่าเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญตนทั้งหลายต่างหมายปอง
เรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ปรารถนาก็ว่าได้
แต่เวลานี้นักพรตฉางเสวียนกลับดีใจมิออก
หากสิ่งนี้เป็นอาวุธเทพจำแลงจริง มิเพียงเขาจะถูกพลังสะท้อนกลับ แม้แต่ตราประทับไท่เสวียนของค่ายกลป้องกันภูผาก็ยังมิอาจสะกดระฆังสำริดได้
เช่นนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ไม่ !
พูดให้ถูกก็คือนี่จะนำภัยพิบัติมาสู่ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย
มิแน่อาวุธเทพจำแลงชิ้นนี้อาจทำลายศูนย์กลางของค่ายกลป้องกันภูผา และทำลายรากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไปด้วย
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง นักพรตฉางเสวียนจะต้องกลายเป็นคนบาปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนก็ซีดเผือดลงทันที มือสองข้างถูกกำจนแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เขาส่ายศีรษะไปมา พลางพึมพำว่า “มิมีทาง ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ที่นี่ ข้าก็จะมิยอมเป็นคนบาปที่ทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเด็ดขาด”
“เปรี๊ยะ ! ”
“เปรี๊ยะ ! ”
“เปรี๊ยะ ! ”
หลังจากถูกตราประทับไท่เสวียนพุ่งชนหลายต่อหลายครั้ง ระฆังสำริดก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นมิหยุดเช่นกัน
ขณะเดียวกันเสียงที่เกิดขึ้นราวกับกระแทกจิตวิญญาณของนักพรตฉางเสวียนไปด้วย
หลังจากลำแสงอันเจิดจ้านับมิถ้วนพวยพุ่งออกมา แผ่นทองแดงบนระฆังสำริดก็ค่อย ๆ หลุดออก พร้อมกับสัญลักษณ์โบราณมากมายที่หลุดร่วงลงมาราวกับฝนดาวตก
ทันใดนั้นพลังทำลายล้างก็พวยพุ่งออกมาจนปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับเขื่อนแตก
นักพรตฉางเสวียนมองภาพตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง ระฆังสำริดที่มีตำหนิในที่สุดก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาราวกับมรกต
“เป็นอาวุธเทพจำแลงจริง ๆ ด้วย ! ”
1จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน หนึ่งจั้ง เท่ากับสิบฟุต หรือประมาณ 3.3 เมตร