บทที่ 25 เพิ่มการฝึกตน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 25 เพิ่มการฝึกตน

 

ท้องฟ้ามืดแล้ว หลัวซิวฝึกตนอยู่ในเขาสุ่ยวู่อีกหนึ่งคืน พ่นลมหายใจดูดรับพลังชีวิตของสมุนไพรในป่า ผลการฝึกตนมากขึ้นเรื่อยๆ ฝึกขัดเกลาอวัยวะภายใน

เช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับไปยังเมืองชิงหยุน ห่อผ้าทั้งสองใบนูนไปหมด หนักอย่างมาก

ในเมืองมีร้านที่รับซื้อวัสดุต่างๆโดยเฉพาะ หลัวซิวไปหนึ่งในร้านค้าเหล่านั้น คิดจะขายวัสดุที่เก็บรวบรวมได้ทิ้ง ชิ้นส่วนอสูรป่าและอสูรเสือหางเหล็กต่างๆ ขายทิ้งทั้งหมด ได้เงินสามหมื่นตำลึง!

มีเงินทองอยู่ในมือแล้ว สิ่งที่หลัวซินคิดเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือวิธีการพัฒนาความสามารถของตนเอง ขอเพียงผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 ความสามารถของเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน สามารถไปล่าอสูรกาย หาเงินได้มากยิ่งขึ้น

หอบเงินสามหมื่นตำลึง หลัวซิวมายังร้านขายอุปกรณ์ค่ายกลอีกครั้ง

เพราะหลายวันมานี้ล่าสัตว์ในเขาสุ่ยวู่ เสื้อผ้าที่หลัวซิวสวมใส่จึงขาดวิ้น เทียบกับคนที่เดินออกมาจากร้านค้าแห่งนี้ด้วยชุดหรู เขาดูไม่เข้าอย่างมาก

“เถ้าแก่ ผมขออุปกรณ์ค่ายกลของค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งหนึ่งอันครับ” หลิวซิวเดินเข้าไปในร้านค้าแล้วพูด

เถ้าแก่วัยกลางคนด้านหลังเคาน์เตอร์ชะงักเล็กน้อย “ลูกค้าจะซื้อจริงๆ เหรอครับ? ค่ายผนึกปราณระดับหนึ่ง ราคาหนึ่งหมื่นตำลึงเลยนะ”

เห็นได้ชัด เถ้าแก่ร้านนี้ไม่คิดว่าชายหนุ่มเสื้อผ้ามอมแมมจะมีปัญญาซื้อ

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรมากมาย หยิบเงินออกมาแล้วโยนไปบนโต๊ะ

เห้นเงินหนาพึ่บ เถ้าแก่วัยกลางคนยิ้มร่า พยักหน้าติดต่อกัน “ครับๆๆ ลูกค้ารอสักครู่นะครับ ผมจะไปเอาให้ลูกค้าเดี๋ยวนี้”

ไม่นาน เถ้าแก่วัยกลางคนเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้ทรงกลมลวดลายประณีต พูด: “ลูกค้าครับ นี่คือค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งที่ลูกค้าต้องการ”

เปิดกล่องไม้ ด้านในคือแผ่นทรงกลมหนึ่งแผ่น ด้านบนแผ่นกลมสลักด้วยลวดลายที่วิจิตร ตรงกลางแผ่นกลม มีช่องเสียบหนึ่งช่อง นอกจากนี้ด้านบนฝาปิดของกล่องไม้ มีวิธีการใช้งานอธิบายคร่าวๆ

“ต้องเปิดด้วยหินพลังจิต?” หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม

“ฮ่าๆ ลูกค้าคงไม่รู้ อุปกรณ์ที่ใช้ส่งเสริมค่ายกลโดยมากล้วนต้องเปิดด้วยหินพลังจิต มีแค่อุปกรณืค่ายกลประเภทต่อสู้เท่านั้นที่แตกต่างกันเล็กน้อย” เจ้าของร้านพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฟึ่บ!”

หลัวซิวโยนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงลงบนโต๊ะ พูด: “ที่ร้านมีหินพลังจิตไหม? เอามาให้ผมสักหน่อย”

เถ้าแก่วัยกลางคนดีใจอย่างมาก ไม่ได้คาดคิดว่าชายหนุ่มที่ไม่โดดเด่นตรงหน้าจะใจกว้างแบบนี้ รีบสั่งให้คนไปหยิบหินพลังจิตออกมา

อย่างรวดเร็ว มีกล่องไม้อีกหนึ่งกล่องส่งมา ด้านในบรรจุมีหินพลังจิตขนาดเท่าฝ่ามือยี่สิบก้อน หินทรงกลมทอประกายแสงสีขาว

หลัวซิวเก็บของพวกนี้เข้าไป กำลังจะเดินออกไป มีคนสองคนเดินเข้ามาในร้านพอดี

สองคนนี้ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดสีขาว แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายในตระกูลร่ำรวย ระหว่างคิ้วเคล้าไปด้วยความทระนง

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ดวงตาเปล่งประกายและฟันสวย ริมฝีปากยั่วยวน หุ่นอรชร ผิวขาวเนียน

เห็นทั้งสองคน หลัวซิวชะงัก พวกเขาคือหลิวหยู่ซินกับสวีเฟย

“หลัวซิว?” หลิวหยู่ซินมองเขาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเท่าที่เธอรู้ ด้วยฐานะของหลัวซิวไม่มีวันซื้ออุปกรณ์ค่ายกลใดๆในร้านนี้ได้

“หึ เสื้อผ้าขาดวิ้นขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าออกมาทำตัวให้ขายหน้าอีกเหรอ?” สวีเฟยหัวเราะในลำคอ ใบหน้าเคล้าไปด้วยความเย้ยหยัน

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้สนใจสวีเฟย เดินผ่านพวกเขา ออกไปจากร้านค้า

เห็นหลัวซิวกล้าเมินเฉยทำเป็นมองไม่เห็นตน แววตาของสวีเฟยเยือกเย็น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

“นายมีธุระ?” หลัวซิวหันกลับไปมอง ขมวดคิ้วเป็นปม รู้สึกรำคาญเล็กน้อย

“ฉันพูดกับนาย นายไม่ได้ยินหรือไง?” สวีเฟยพูดเสียงเยือกเย็น

“ทำไมฉันต้องได้ยินด้วย?” หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน หมุนตัวหันหลังแล้วเดินไป

“สารเลว!” สวีเฟยโมโหอย่างมาก แต่หลัวซิวเดินไปไกลแล้ว ไม่มีท่าทีจะสนใจเขา

สวีเฟยอยากจะสั่งสอนไอ้คนเจ้าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้จริงๆ แต่หลิวหยู่ซินยืนอยู่ข้างๆ เขาต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทน

“เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก็ถึงวันสอบประจำปีแล้ว ฉันจะคอยดูว่านายจะเป็นคู่ต่อสู้ของจางห่ายได้ยังไง!”

……

หลังจากเดินออกมาจากร้านค้า หลัวซิวไปร้านขายอาวุธ ขายกระบี่ของหวางหยุนและธนูของจางหุน ทำให้เขามีเงินเพิ่มขึ้นอีกแปดร้อยตำลึง

จากนั้น หลัวซิวไปที่ร้านขายยาทิพย์ จ่ายเงินไปกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง ซื้อยาฝึกปราณหนึ่งขวด

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้กลับสำนักยุทธ์ แต่เดินออกนอกเมืองชิงหยุน ไปเขาสุ่ยวู่อีกครั้ง

ที่นี่ทิวทัศน์สวยงาม มีสมุนไพรมากมาย สำหรับหลัวซิว เหมาะแกการฝึกตนมากกว่าที่สำนักยุทธ์

เจอที่เงียบๆ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ เริ่มด้วยหยิบแผ่นกลมค่ายผนึกปราณออกมา วางหินพลังจิตลงไปในช่องว่าง ตัวอักษรวิจิตรบนกล่องส่องสว่างขึ้นมาในทันที ฉายแสงอ่อนๆ

หลัวซิวสามารถมองเห็นและรับรู้อย่างชัดเจน พลังฟ้าดินจิตโดยรอบคล้ายจะมีพลังลึกลับบางอย่างชักนำ รวมตัวมายังตำแหน่งที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว

นี่คือข้อดีสุดมหัศจรรย์ของค่ายผนึกปราณ สามารถหลอมรวมพลังฟ้าดินจิตเข้าด้วยกัน ในรัศมีที่จำกัด ทำให้การฝึกตนของนักยุทธ์เร็วขึ้น

หลัวซิวหยิบยาฝึกปราณออกมา กินเข้าไปหนึ่งเม็ด หลังจากนั้นหลับตาลง ที่จุดเส้นลมปราณภายในร่างกาย ใช้วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก

พลังฟ้าดินจิต พละกำลังสมุนไพร ฤทธิ์ยา ปราณในบริสุทธิ์หลอมรวมอยู่ในร่างกาย กลายเป็นปราณเป็นตาย2ระดับ เข้าไปยังอวัยวะภายในร่างกาย

อย่างไม่รู้ตัว ท้องฟ้ามืดมน หลัวซิวใช้เวลาฝึกตนที่นี่หนึ่งวันแล้ว

หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน หัวใจของตนเต้นแรงและมีพลังแข็งแกร่ง พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายยิ่งอยู่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

ตึ้ง!

พลังบางอย่างวิ่งพล่านในร่างกาย หลัวซิวลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาเคล้าไปด้วยความดีใจ

“สำเร็จแล้ว การกลั่นร่างขั้น7!”

เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว หลัวซิวเหยียดตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ สัมผัสได้ถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของตน

หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าตนจะใช้เวลาแค่หนึ่งวันบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 จากที่เขารู้ คนรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ โดยเฉพาะลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่มีฐานะในการฝึกตนดีกว่าตน ต้องใช้เวลาครึ่งปี ทั้งยังมีคนที่ใช้เวลานานยิ่งกว่านี้จึงจะถึงขั้นนี้ได้

“น่าจะเป็นลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เขาฝึกตนเร็วขึ้น” หลัวซิวคิดแบบนี้

การฝึกตนในครั้งนี้ ใช้ยาฝึกปราณไปสองเม็ด ค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งใช้หินพลังจิตสองก้อน ร่วมกับพ่นลมหายใจดูดลมพลังสมุนไพร พลังนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลั่นแปรได้สำเร็จ

แต่หลัวซิวกลับใช้เวลาสั้นๆก็สามารถกลั่นแปรได้ ดังนั้นผลการฝึกตนของเขาจึงพัฒนาขึ้นเร็วแบบนี้

แน่นอน นอกจากลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายจะส่งผลต่อร่างกายของเขาแล้ว วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูกที่เขาปรับปรุง ผลของการฝึกตนเหนือกว่ากำลังภายในระดับสามหนึ่งขั้น

เวลาต่อจากนี้ หลัวซิวไม่ได้กลับสำนักยุทธ์ เขาเพ็ญตนอยู่ที่เขาสุ่ยวู่ กลางวันออกไปล่าอสูร ต่อสู้กับอสูรกาย ตอนกลางคืนก็เพ็ญตนด้วยความยากลำบาก