บทที่ 40 หวั่นไหว

เฉิงกัวอันรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากในครั้งนี้ และในเวลาเดียวกันเขาชมตัวเองในใจไม่หยุดที่ตัดสินใจได้ถูกต้องเรื่องการผูกสัมพันธ์กับอวี้ฮ่าวหราน ไม่เช่นนั้นป่านนี้ทั้งตัวเขาเองและลูกสาวจะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้

“ความสัมพันธ์ของคุณกับไอ้ประธานถงอะไรนั่นมันยังไงกันแน่? ทำไมฝั่งตรงข้ามถึงจองล้างจองผลาญคุณขนาดนี้ ผมไม่เชื่อว่าการแข่งขันระหว่างบริษัทเพียงอย่างเดียวมันจะทำให้พวกคุณขัดแย้งกันถึงจุดนี้ได้” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย เขาแน่ใจว่าสาเหตุเบื้องหลังเรื่องนี้มันไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น

ในทางกลับกัน เฉิงกัวอันเมื่อได้ยินคำถามนี้เขากลับไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเอาแต่ก้มหน้าลงและถอนหายใจราวกับว่าสาเหตุของเรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ทั้งนั้น

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงไม่อยากจะรู้อะไรอีก ตอนนี้เมื่อเห็นแล้วว่าเฉิงชิวอวี้ไม่มีปัญหาอะไรเขาจึงขอตัวกลับทันที

ช่วงบ่าย…

อวี้ฮ่าวหรานมารอที่หน้าโรงเรียนของถวนถวนเหมือนเดิม ตามเวลาเดิมที่ลูกสาวของเขาเลิกเรียน

“พ่อจ๋า!”

เสียงเพียงเสียงเดียวที่ทำให้คนอย่างอวี้ฮ่าวหรานหัวใจละลายดังขึ้น

“พ่อจ๋า วันนี้ครูสวีชมถวนถวนด้วยแหละว่าถวนถวนเก่ง!”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาเดินไปอุ้มเทพธิดาน้อยของเขาขึ้นมากอดและหอมฟอดใหญ่

จากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาถึงบ้านอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น

แต่แล้วเมื่อทั้งคู่กลับไปถึงห้อง อวี้ฮ่าวหรานก็สังเกตเห็นว่าหลี่หรงกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก เขาส่งตัวถวนถวนให้พี่เลี้ยงหนิงไปดูแล ก่อนที่จะเดินเข้าไปถามหลี่หรง

“เกิดอะไรขึ้น?”

อวี้ฮ่าวหรานเดินไปหยิบน้ำอัดลมกระป๋องในตู้เย็นมาก่อนที่จะยื่นให้กับหลี่หรงและนั่งลงข้าง ๆ

“เฮ้อ ตระกูลอู๋อีกแล้วน่ะสิ…” หลี่หรงถอนหายใจ จากนั้นเธอดื่มน้ำอัดลมไปอึกใหญ่

“หลังจากคราวก่อนที่บริษัทชงซานของพ่อรอดไปได้ มาตอนนี้อู๋เส้าฮัวก็ยังไม่เลิกลา เขาเที่ยวไปปล่อยข่าวลือว่าสถานะทางการเงินบริษัทของพ่อไม่ได้ดีเหมือนเดิม จนไม่มีคู่ค้าใหม่ ๆ มาติดต่อกับเราเลย แถมวันนี้เขาก็ยังพากลุ่มคนไปที่หน้าบริษัทชงซาน ไปสร้างความวุ่นวายให้กับที่นั่นจนพนักงานต้องทำงานกันลำบากมากขึ้น”

หลี่หรงแสดงสีหน้าเหนื่อยใจเมื่อเล่าจบ เธอรู้สึกอ่อนล้ามาก ๆ เมื่อเจอกับปัญหาจากตระกูลอู๋แบบนี้

“ทำไมเธอไม่โทรมาบอกพี่?”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินว่าอู๋เส้าฮัวมาสร้างปัญหาอีกแล้วเขาก็รู้สึกโมโหอยู่ในใจ

“ฉันไม่อยากให้พี่ต้องลำบากอะไรมากมายกับเรื่องธุรกิจของตระกูลฉัน และอีกอย่างทุกวันนี้พี่เองก็ยุ่งอยู่แล้วกับการติดต่อกับเฉิงกัวอัน แถมพี่ยังต้องไปรับถวนถวนทุกเย็นอีก…”

เมื่อพูดถึงประโยคนี้ หลี่หรงคิดยังไงไม่รู้หันหน้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานที่กำลังนั่งอยู่ข้างเธอบนโซฟาตัวเดียวกัน แต่ด้วยจังหวะที่อวี้ฮ่าวหรานก็กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน มันจึงทำให้หน้าของทั้งคู่แทบจะชิดติดกัน!

ริมฝีปากของพวกเขาตอนนี้ห่างกันแค่เพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้น!

หลี่หรงอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก และเมื่อเธอได้เห็นใบหน้าของพี่เขยสุดสมบูรณ์แบบของเธอในระยะใกล้ ๆ แบบนี้หัวใจของเธอก็เต้นดังโครมคราม หน้าของเธอแดงราวกับผลแอปเปิ้ล

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกสับสนไม่แตกต่างกัน เขาไม่นึกเลยว่าจู่ ๆ ฝั่งตรงข้ามจะหันหน้ามาแบบนี้

แต่แล้วในขณะที่บรรยากาศกำลังกระอักกระอ่วน อวี้ฮ่าวหรานก็ได้สติและเบนหน้าหนีไปในทันทีด้วยใจระทึก

“อะแฮ่ม เอ่อ…คือ…พี่…”

ในตอนที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งเทพ มันไม่มีสักครั้งที่เขาจะใจระทึกกับผู้หญิงคนไหน แต่ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมระยะนี้เขาถึงรู้สึกอ่อนไหวได้ง่ายขนาดนี้

อันที่จริงหากบรรดาตัวตนระดับสูงของดินแดนแห่งเทพได้มาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่พวกเขาคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นอวี้ฮ่าวหรานใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนเลยในตลอดระยะเวลา 3 หมื่นปี จนทุกคนคิดไปแล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะบ้าแต่บ่มเพาะอย่างเดียวไม่สนใจเรื่องของอารมณ์ตัณหาใด ๆ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพราะอวี้ฮ่าวหรานรักภรรยาของเขามาก ๆ ก็เท่านั้น

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานเบนหน้าหนีไป หลี่หรงก็ได้สติเช่นกัน เธอรีบเอามือปิดหน้าด้วยความอับอายพร้อมกับบ่นว่า

“พี่เขย! ใครบอกให้พี่หันมาในเวลาเดียวกับฉันแบบนี้ เมื่อกี้…เมื่อกี้..พวกเราเกือบ…ฉันเกือบ…”

ประโยคที่เธอไม่กล้าพูดต่อก็คือเมื่อกี้เธอเกือบจูบเขาไปแล้ว!

เอาจริง ๆ ก็คือตอนนี้เธอรู้สึกหวั่นไหวกับพี่เขยของเธอมาก ๆ เพราะหลังจากที่พี่เขยของเธอกลับมา เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งอบอุ่นกับครอบครัว ทั้งสุขม ทั้งลึกลับน่าค้นหา ทั้งมีอำนาจและทั้งแข็งแกร่ง เขาช่างเป็นผู้ชายในอุดมคติที่ผู้หญิงทุกคนอยากจะอยู่ใกล้ โดยเฉพาะเธอที่อยู่ใกล้ชิดเขาที่สุด

อวี้ฮ่าวหรานเมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็รู้สึกจนใจ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนหันหน้ามาหรือไง? ฉันมองเธออยู่เฉย ๆ ตั้งนานแล้ว!

วันถัดมา เมื่อหลี่หรงเดินทางมาถึงบริษัทของเธอ เธอก็พบว่าตอนนี้อู๋เส้าฮัวพาคนกลุ่มหนึ่งมาก่อกวนที่หน้าบริษัทของเธอ

“อู๋เส้าอัว! นายทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยแล้ว!” หลี่หรงตวาดขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล

“เฮ้ เธอหมายความว่ายังไงที่บอกว่าทำเกินไปหน่อย? ฉันแค่พาลูกน้องของฉันมายืนเล่นเท่านั้น ฉันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้ใครสักหน่อย?”

อู๋เส้าฮัวยืนขวางประตูไม่ให้ใครเข้าใครออกด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง

การที่เขายืนขวางประตูเอาไว้แบบนี้มันหมายความว่า วันนี้จะไม่มีลูกค้าคนไหนสามารถเข้าไปติดต่องานในบริษัทของหลี่หรงได้แน่นอน

หากเป็นที่บริษัทของพ่อเธอมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะบริษัทของพ่อเธอทุนหนากว่า แต่ถ้าเป็นบริษัทของเธอที่ทุนน้อย ๆ แล้วล่ะก็ หากอู๋เส้าฮัวมายืนขวางแบบนี้สักอาทิตย์เธอคงล้มละลายแน่นอน

“นาย! นายเป็นผู้ชายหรือเปล่า ทำไมถึงได้ใช้วิธีน่ารังเกียจแบบนี้!”

“ฮ่าฮ่า ฉันเป็นผู้ชายแน่นอน! แต่ถ้าเธอไม่เชื่อลองมาอยู่กับฉันสักคืนไหมล่ะ ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถน่ารังเกียจได้มากกว่านี้อีก!”

อู๋เส้าฮัวพูดออกมาได้โดยที่ไม่อายปากเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขายิ่งแสดงสีหน้าหยอกล้อหลี่หรงมากขึ้นไปอีก

แต่แล้วในขณะที่หลี่หรงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี จู่ ๆ ก็มีเสียงอันเย็นชาดังขึ้น

“แกอยากตายใช่ไหม!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของอู๋เส้าฮัวที่กำลังร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที

เขาจำเสียงได้ทันทีว่าคนที่พูดก็คืออวี้ฮ่าวหราน!

“พี่เขย!” เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานปรากฏตัวขึ้น หลี่หรงก็รีบวิ่งไปหาทันทีด้วยสีหน้าดีใจ

เธอรู้สึกปลอดภัยในทันทีเมื่อได้เห็นหน้าของอวี้ฮ่าวหราน

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มให้กับหลี่หรง และลูบหัวปลอบเธอ “หลบไปก่อน เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง”

หลี่หรงพยักหน้าอย่างว่าง่ายพร้อมกับหน้าแดงเล็กน้อย ตอนนี้ใจของเธอเต้นระทึก พลางคิดอะไรไปไกลเกี่ยวกับอวี้ฮ่าวหราน

ภาพนี้ทำให้บรรดาพนักงานของบริษัทหลี่หรงรู้สึกงุนงง

เมื่อกี้เจ้านายของพวกเขาเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพี่เขย แต่ทำไมการกระทำและสีหน้าของเจ้านายพวกเขามันกลับดูเหมือนว่าเธอไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นน้องภรรยาของเขาแบบนั้น? ไอ้อาการเอียงอายหน้าตาเขินแดง แถมยังมองด้วยสายตาเป็นประกายนั่นมันคืออะไรกัน?