ตอนที่ 69 ฝูหลิง เจ้าต้องทนได้

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ตั้งแต่มาถึงจุดพักผ่อน เมื่อรู้ตำแหน่งพื้นที่ของบ้านตนเองแน่นอนแล้ว ซ่งฝูหลิงกับแม่ของนางก็รีบนำเสื่อออกมาปู 

 

 

บนเสื่อสานด้านบนมีแผ่นรองกันชื้น แผ่นรองกันชื้นด้านบนปูด้วยผ้านวมอีกชั้น ซ่งฝูหลิงเข้าไปนอนไม่ขยับเขยื้อน ไม่สนใจเรื่องอะไร ได้แต่ลืมตาจ้องมองท้องฟ้า 

 

 

เถาฮวาที่เหนื่อยจนเคยชิน เดินมาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พั่งยา ไปเก็บหญ้าแห้งกัน” 

 

 

ซ่งฝูหลิงโบกมือปฏิเสธ ไม่ไป 

 

 

ซ่งจินเป่าอดทนสักพัก ถึงด่าออกมาประโยคหนึ่ง “ผู้หญิงขี้เกียจ” 

 

 

ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปเรียนมากับใคร 

 

 

เดิมทีซ่งจินเป่าอยากจะด่าพี่พั่งยาเหมือนกับทุกครั้งที่เขาด่าพี่สาวแท้ๆ ที่อยากด่าอะไรก็ด่าออกมา แต่เขากลัวว่าจะอดกินข้าวสวย 

 

 

ตอนอยู่บนภูเขา เขาไม่ได้แย่งหมาฮวาของต้ายากับเอ้อร์ยากิน เพราะต้องการรอกินข้าวสวย ตอนนี้เหมือนขี่อยู่บนหลังเสือ ลงมาลำบาก เพราะมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถทำให้พี่พั่งยาขุ่นเคืองใจได้ แต่ถ้าไม่ด่าก็รู้สึกอิจฉาริษยานางมากๆ 

 

 

เขาตัวเล็กกว่าพี่พั่งยามาก นางมีสิทธิ์อะไรได้นั่งรถบ่อยๆ มาถึงสถานที่ตรงนี้แล้วก็ไม่ทำงาน รู้แต่ว่าจะนอนอย่างเดียว 

 

 

ซ่งฝูหลิงนอนเอนกายมองซ่งจินเป่าไปเก็บหญ้าแห้ง จะว่าเป็นผู้หญิงขี้เกียจก็ตามนั้นเถอะ 

 

 

เมื่อครู่ป้ารองจูซื่อยังแอบถลึงตาใส่นาง นางคงคิดในใจว่าเป็นคนผลาญเงินทอง หลังจากนั้นคงเหน็บแนมด้วยคำพูดหลายประโยค คาดว่าคงแขวะนางไปก่อนแล้ว 

 

 

ถลึงตาใส่ก็ถลึงตาไปเถอะ อย่าคิดว่านางไม่เห็น 

 

 

ท่านย่าหม่ากลับมาเห็นหลานคนเล็กมีสภาพแบบนี้ ก็กล่าวตักเตือนไปหลายประโยค 

 

 

ซ่งฝูหลิงคิดในใจ ด่าไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ลุกขึ้น ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ด่าไปประเดี๋ยวก็คงหมดแรงไปเอง 

 

 

ท่านย่า ตอนนี้ท่านด่าข้า เพราะว่าท่านยังไม่ชินไง รอจนชินกับความขี้เกียจของข้า ท่านก็จะคุ้นเคยไปเอง หากวันใดที่ข้าขยันขึ้นมา ท่านจะต้องตบมือตะโกนร้องออกมาอย่างดีใจ “โอ้ หลานสาวคนเล็กของข้ามีอนาคตแล้ว สุดยอดจริงๆ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงฉีกยิ้มมองท้องฟ้า 

 

 

ใบหน้าของซ่งฝูหลิงเปื้อนโคลนจนดำเมี่ยม เวลายิ้มเห็นฟันดูจึงดูน่าเกลียดน่ากลัวนัก ซ่งอิ๋นเฟิ่งที่รีบเดินมาก็เห็นเข้าพอดี 

 

 

นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ยังชอบหลานสาวคนเล็กนี้มาก ที่สำคัญหลานสาวคนนี้ก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของน้องสามด้วย 

 

 

“พั่งยา เจ้าไม่สนใจน้ำแล้วหรือ? ยังต้องกรองน้ำหรือไม่? ถ้าเจ้าไม่กรองแล้วพวกข้าจะได้เทน้ำลงในกระทะ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงสบตากับนาง “ดื่มแบบสกปรกๆ ไปละกัน” พอพูดจบ สมองก็เห็นภาพการทดสอบพิษโดยการถุยน้ำลายลงในแม่น้ำ นางจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านป้า ท่านหยดน้ำส้มสายชูลงไปหลายหยดหน่อยละกัน พวกเรายอมกินน้ำเปรี้ยวๆ” 

 

 

ท่านย่าหม่ากัดฟันบ่น “เรื่องมากจริงเชียว!” 

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเด็กหัวเหม็นนี่จะต้องกินน้ำต้มให้ได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะคับขันแค่ไหนก็ยังจะเรื่องมาก 

 

 

ทำเอานางที่อยู่บนรถลากต้องใช้หม้อเล็กต้มน้ำ เมื่อจะต้มน้ำก็ต้องให้คนลงจากรถไปก่อนเพราะไม่มีพื้นที่ และยังต้องระมัดระวังมากขึ้นเพราะบนรถมีสิ่งของเยอะแยะมากมาย ต้องระวังไม่ให้ไหม้ไฟ และยังต้องคอยระวังหม้อไม่ให้ตกลงมาลวกตนเองอีก 

 

 

ตลอดการเดินทางต้องต้มน้ำถึงสามครั้ง เด็กนั่นเหมือนควาย ดื่มน้ำมากมายไม่รู้จักพอ ดื่มเองก็พอแล้ว ยังจะบอกให้ทุกคนดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อบำรุงร่างกายอีก เจ้าพั่งยานี่ทำตัวเป็นคนดี แต่ทำให้ยายเฒ่าอย่างนางลำบาก ต้องมานั่งต้มน้ำให้บนรถลากแบบนี้ 

 

 

ยังดีที่พั่งยานอนหลับไปนานถึงได้หยุดดื่มสักที เฮ้อ มิเช่นนั้นคงต้องทรมานกว่าเดิม 

 

 

“เจ้าได้ยินไหม ผู้ลี้ภัยพวกนั้นแทบจะดื่มน้ำดิบกันแล้ว ยัยเด็กนี่ยังจะต้องให้ใส่น้ำส้มสายชูอีก” 

 

 

ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบกระซิบห้าม “ท่านแม่ ท่านพูดเบาๆ หน่อย ตอนอยู่บนเขาน้องสามได้กำชับท่านไว้ ท่านลืมแล้วหรือ? พั่งยาโตแล้ว อย่าด่านางต่อหน้าคนอื่น ครอบครัวแต่ละบ้านอยู่ติดกัน  

 

 

เดี๋ยวคนอื่นได้ยินจะเสียหน้าได้ เรื่องใส่น้ำส้มสายชูในน้ำต้ม พวกเราก็ต้องระวังหน่อย ดีกว่ามาท้องเสียทีหลังนะ และมันก็ไม่ได้เป็นการสิ้นเปลืองอะไร” 

 

 

“เปลืองน้ำส้มสายชู” 

 

 

“น้ำส้มสายชูไม่ใช่เกลือหรือซอส ตอนเดินทางจะมีมันหรือไม่มีมันก็ไม่เป็นไร พวกเราดื่มน้ำสะอาดดีกว่าท้องเสียทั้งวัน อีกอย่างท่านแม่ น้ำส้มสายชูของท่าน ให้น้องสามไปพรมใส่กางเกงกับเท้าเพื่อกันงูกันแมลงไปแล้ว ตอนนี้ที่กินอยู่เป็นของครอบครัวน้องสามที่เอามาให้ ดังนั้นพั่งยาก็ไม่ได้กินน้ำส้มสายชูของท่านนะ” 

 

 

พั่งยา “…” คำพูดนี้ทำไมมันฟังดูแปลกๆ? 

 

 

ซ่งฝูหลิงอยู่ตรงนั้น ได้ยินคำพูดที่ท่านป้าห้ามปรามท่านย่าได้อย่างชัดเจน 

 

 

เฮ้อ! 

 

 

นางอยากจะบอกว่า นางพยายามลดระดับความต้องการลงแล้ว 

 

 

ตั้งแต่นางทะลุมิติเวลามา เส้นกราฟจิตใจก็พัฒนามาเป็นแบบนี้ 

 

 

ตอนที่ได้ยินว่าต้องลี้ภัย จำเป็นต้องนั่งรถลากเทียมล่อออกจากเมือง นางไม่เคยนั่ง เคยแค่ขับรถยนต์ขนาดเล็ก นั่งรถลากรู้สึกอย่างไร ยิ่งนั่งยิ่งรู้สึกว่าร่างกายแทบจะพัง ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นยังพอใช้ได้ 

 

 

ตอนที่อยู่ในรถลาก พ่อแม่ของนางก็อาศัยโอกาสนั้นทอดปาท่องโก๋เพื่อเตรียมเป็นเสบียงไว้ล่วงหน้า นางได้ฟังจนจบถึงกับตะลึง พื้นที่คับแคบขนาดนี้ หลังจากวางสิ่งของจนเต็มจะสามารถยืดแข้งยืดขาได้อย่างไร? 

 

 

อืม ก็ทำได้แล้วนี่ไง 

 

 

ตอนนั้นนางรู้สึกลำบากมาก ของที่กินไปมันคืออะไร เทียบไม่ได้กับอาหารกล่องบนรถไฟนี่คือการกินเมื่อก่อนโน้น 

 

 

ที่อยู่อาศัย ตอนนั้นนอนบนรถลากได้สักพัก บนรถมีทั้งสัมภาระและพวกนางหลายคน ยังเพิ่มเฉียนหมี่โซ่วมาอีกคน นอนหดขาอยู่บนรถนานจนรู้สึกว่าข้อต่อกระดูกแข็งไปหมด นี่คือที่อยู่ 

 

 

เสื้อผ้าก็ไม่ต้องพิถีพิถันแล้ว 

 

 

ในตอนนั้น นางรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ที่สามารถอดทนต่อความทุกข์ยากได้ 

 

 

หลังจากนั้น ห่างกันเพียงวันเดียว นางก็ต้องไปอาศัยอยู่ในถ้ำ อยู่ในเต็นท์บนภูเขา ปีนเขาจนเท้ามีแต่ดินโคลน บางเวลาก็ได้ยินเสียงสัตว์ร้อง คนตื่นตระหนกตกใจ ดื่มน้ำในลำธารที่กรองด้วยถ่าน กินแต่อาหารแห้งที่ไม่มีเนื้อและผัก ไม่มีผักดอง ไม่มีรสชาติอะไรในปาก นางคิดว่านางสามารถอดทนต่อความยากลำบากได้มากแล้ว เป็นลูกของพ่อซ่งที่ไม่เรื่องมาก 

 

 

แต่วันนี้ทั้งวันที่อพยพหลบหนีกันมา โอ้ สวรรค์ นางอยากกลับไปที่ถ้ำ ใช้ชีวิตที่นั่นเสียยังดีกว่า 

 

 

ถึงแม้ว่าอาหารที่กินที่นั่นจะไร้รสชาติ แต่ชีวิตก็ยังสงบสุข 

 

 

ตอนเดินเท้า หากนางเดินไม่ไหวก็จะปีนเข้าไปในรถลาก ด้านในมีที่ว่างเพียงที่เดียวขนาดเท่ากับเบาะนั่งเรียนในยุคปัจจุบัน พื้นที่ว่างมากกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว นางยังรู้สึกมีความสุขมาก อีกทั้งยังหลับสนิท 

 

 

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ในวันแรกที่ทะลุมิติมา เป็นวันที่นางไม่ชอบมากที่สุด รู้สึกว่าทุกอย่างยุ่งยาก ทำให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนนี้ หากกลับมาครุ่นคิดดู ตอนนางนั่งอยู่บนรถลากนับเป็นช่วงเวลาที่สามารถนอนลงบนพื้นที่กว้างที่สุด กินอาหารดีสุด และการแต่งกายดูดีสุดแล้ว 

 

 

วันนั้น เมื่อเทียบกันกับวันนี้ สำหรับนางแล้วดูเหมือนเป็นความฝัน 

 

 

แม่เจ้า ถ้าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง นางจะต้องถนอมวันเวลาเหล่านั้นไว้อย่างดี 

 

 

ตอนนี้ต้องดื่มน้ำต้มที่มาจากลำธาร ต้องหยดน้ำส้มสายชูลงไปสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้ถึงวันนั้นไหม 

 

 

“ท่านแม่” ซ่งฝูหลิงรับปัวปัวที่เพิ่งออกจากเตามาใหม่ กัดกลืนกินด้วยความหิวโหย นางพูดขึ้น 

 

 

“ตอนนี้ข้าเชื่อคำพูดประโยคนั้นของท่านแล้ว ไม่มีใครที่ทนความทุกข์ไม่ได้ คนรุ่นหลังปีเก้าศูนย์ หลังปีศูนย์ศูนย์ ทนความทุกข์ยากไม่ได้ ต้องดูเงื่อนไขของเขาเอง อย่างเช่น อพยพลี้ภัยแบบพวกเรา แม้แต่เด็กหนึ่งขวบยังทนความยากลำบากได้ กินอยู่แบบเรียบง่ายได้” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าข้าจะสามารถเดินเท้าได้นานขนาดนี้ นี่ก็เดินมาหลายหมื่นก้าวแล้ว” 

 

 

แต่คำพูดของซ่งฝูเซิงที่พูดขึ้นมา ก็ทำให้สองแม่ลูกตาเบิกกว้างตาแทบจะถลนออกมา