บทที่ 42 ปาฐกถาความเป็นไปของโลก Ink Stone_Romance
ตามปกติแล้วลักษณะของซ่งชูอีก็เป็นเหมือนแมวตัวหนึ่งที่นอนหงายอาบแดด ดูเกียจคร้านไร้อันตราย ครั้นยั่วนางให้โมโหแล้ว ก็จะกลายเป็นเสือร้ายที่กัดคนตายทันใด คำด่าหนานฉีครานี้ คือผลลัพธ์ที่เกรงใจเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่นางอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก
อารมณ์เกรี้ยวกราวของนางแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยเมื่ออยู่ในรัฐฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐเว่ย์ที่มีลัทธิขงจื้อเป็นที่แพร่หลาย
หนานฉีก็ประหลาดใจไปชั่วขณะ ทว่าเพียงครู่เดียวก็ทำตัวสงบตามปกติ เอ่ยยิ้มน้อยๆ “ชมเกินไปแล้ว”
ผู้คนโดยรอบตะลึงงันไปชั่วอึดใจ อ้าปากค้าง จีเหมียนกระซิบเสียงเบา “เจ้ามิได้เลอะเลือนใช่หรือไม่? หยุ่นซื่อ คนเขาด่าเจ้า เจ้ายังจะยิ้มอีก!”
อาการของหนานฉีนั้นราวกับทุกคนใต้หล้าติดค้างเขามาโดยตลอด มองใครก็ขัดตาและไม่ค่อยจะยิ้มแย้ม เมื่อครู่เขายิ้มเพราะถูกด่าจริงๆ หรือ? ที่แท้เขาชอบถูกคนดูหมิ่นงั้นหรือ?
“ลัทธิเต๋าสอนเรื่องความสงบสุขและการวางเฉย นางบันดาลโทสะก่อน ก็ย่อมตกชั้นเป็นธรรมดา” หนานฉียกจอกเหล้าขึ้น จิบเหล้าคำหนึ่งอย่างเฉยเมย
ซ่งชูอีนิ่งเงียบ แม้นนางรู้สึกว่า “ตกชั้น” หรือ “ขึ้นชั้น” ล้วนไม่ต่างกันและมิได้มีความหมายอันใด ทว่านางโมโหง่ายเกินไปแล้วจริงๆ ในฐานะกุนซือ จำเป็นต้องเก็บงำอารมณ์ของตัวเองไว้ตลอดเวลาและใช้จิตใจอันสงบนิ่งอยู่เป็นนิจในการชั่งวัด
ซ่งชูอีนั่งตัวตรงฉับพลัน ทุกคนมีสีหน้าตื่นตระหนก ขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมนั้นกลับเห็นนางคารวะหนานฉีด้วยความเคารพ “พี่หยุ่นซื่อกล่าวได้ถูกต้องที่สุด หวยจินรับคำสอนไว้แล้ว”
“แปลกแท้!” ฮุ่ยซูอวิ๋นถอนหายใจ หันมาเอ่ยถาม “ศิษย์สำนักเต๋าล้วนพิลึกพิลั่นเหมือนพวกเจ้างั้นหรือ?”
ซ่งชูอิยิ้มหึๆ ยื่นมือฉีกเนื้อย่างเข้าปาก “พิลึกพิลั่นมีเพียงเขาคนเดียว ข้าปกติมาก”
“ถ้าหากถ้าเดามิผิด เจ้ามาจากลัทธิของจวงจื่อกระมัง ความพิลึกพิลั่นที่แท้จริง” หนานฉีกล่าวเชื่องช้า
หลังจากยุคของเล่าจื๊อแล้ว ลัทธิเต๋าก็ค่อยๆ แตกกลุ่มเป็นลัทธิย่อย หนึ่งในนั้นพัฒนาแนวคิด “นิรกรรม[1]” ของเล่าจื๊อ
จนกลายเป็นปรัชญาแนวสูญนิยม[2] จวงจื่อก็คือตัวแทนของลัทธิย่อยนี้ ยกตัวอย่างเช่น “จวงโจวฝันผีเสื้อ” หรือ ความลึกลับที่อยู่ในความลึกลับแห่งลัทธิเต๋า ส่วนอีกลัทธิหนึ่งได้ละทิ้งองค์ประกอบของพิธีกรรมเชิงลบและกฎตามแนวคิดของเล่าจื๊อ นำหลัก “คุณธรรม” ของเล่าจื๊ออธิบายกลายเป็นระเบียบแบบแผน และตัวแทนนั้นก็คือลัทธิหวงเหล่าจากสำนักปรัชญาจี้เซี่ยแห่งรัฐฉี
ซ่งชูอีกับหนานฉี คือศิษย์ของสองลัทธินี้ที่แยกย่อยออกมา
“ที่แท้หวยจินก็คือศิษย์ของสำนักจวงจื่อหรอกหรือ!” ซีหงเอ่ยประหลาดใจ
จวงจื่อแสวงหาเสรีภาพทางจิตวิญญาณระหว่างความหลุดพ้นและการมีซึ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นทฤษฎีอุดมการณ์ที่นิยมมากในปัจจุบัน
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ เท่ากับเป็นการยอมรับอย่างเงียบๆ แล้ว
ซีหงใช้ตะเกียบตีเป็นจังหวะเพลง “ทิศอุดรมีมัจฉานามว่าคุน คุนตัวใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้ มันได้กลายร่างเป็นวิหคนามว่าเผิง หลังเผิงใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้ ครั้นโผบิน ปีกของมันดุจเมฆในท้องฟ้า มันคือวิหค ด้วยแรงลมบนทะเลจึงย้ายถิ่นฐานไปยังทิศทักษิณ…”
“ดี! งดงาม!” จีเหมียนร้องอุทาน
นี่คือ “การหลีกหนี” ของจวงจื่อ ลัทธิเต๋าแม้นมิเคยสร้างวีรกรรมใหญ่โตในการปกครองบ้างเมือง แต่ในด้านของ
การขัดเกลาจิตใจผู้คนนั้น กลับมีทฤษฎีทางความคิดมากมายที่มิอาจเทียบได้ ด้วยเหตุนี้บัณฑิตส่วนใหญ่จึงเคยอ่านงานของเล่าจื๊อและจวงจื่อมาก่อน
ซ่งชูอีเอาเนื้อเข้าปากพลางฮัมเพลงตามอย่างคลุมเครือ
พวกเขากำลังร้องเพลงด้วยความสำราญ ทันใดนั้นก็ได้ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านล่าง “ท่านที่เพิ่งด่าแม่งอยู่ชั้น
บนเมื่อครู่!”
เสียงของทุกคนหยุดลงกะทันหัน คนที่อยู่ข้างล่างก็ตะโกนอีกครั้ง “พวกข้าได้ยินคำคมคายของท่าน จึงอยากเชิญให้ท่านชี้แนะความเป็นไปของโลกใบนี้”
มันเป็นคำเชิญให้ซ่งชูอีกล่าวคำปาฐกถาของตัวเองให้ทุกคนฟัง
การชุมนุมปาฐกถาเช่นนี้เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างเหล่าบัณฑิต หากกล่าวได้ดีก็อาจโด่งดังในชั่วข้ามคืน หากกล่าวได้ไม่ดีก็จะไม่มีผู้ใดตำหนิ หากไม่รับการปาฐกถานี้ก็ออกจะเสียมารยาทอย่างชัดเจนและจะส่งผลต่อชื่อเสียง
ซ่งชูอีง่วนอยู่กับการแทะเล็มกระดูกในมือให้สะอาด โยนเข้าไปในกล่องอาหาร รับผ้าที่สาวใช้ส่งมาเช็ดๆ มือ ก่อนลุกขึ้นอย่างใจเย็น
เหล่าบัณฑิตโปรดปรานกิจกรรมประเภทนี้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้เมื่อซ่งชูอีปรากฏตัว ทุกสายตาในโรงเหล้าต่างจดจ่ออยู่ที่นาง ในขณะที่เห็นรูปลักษณ์ของนางนั้น สายตาทุกคนมีความประหลาดใจ ไม่ก็เหลือเชื่อ ไม่ก็ผิดหวัง มีความหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ที่ยืนอยู่ที่แท่นภายในห้องโถงเห็นซ่งชูอีกำลังเยื้อย่างลงบันไดมาอย่างเชื่องช้า รู้สึกเสียใจมากในแวบแรก ทว่าเมื่อมองดูท่าทางของซ่งชูอีที่ปล่อยตัวตามสบาย ไม่มีร่องรอยแห่งความตื่นเต้น ไร้ความเฉียบคมดังเด็กหนุ่มแต่เปี่ยมด้วย
ความอาจหาญ พลันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นยิ่ง
ซ่งชูอีก็พินิจพิเคราะห์อีกฝ่ายเช่นกัน เขากำลังยืนอยู่ตรงแท่นนั้นที่มีกระดานหมากวาดอยู่ด้านบน อายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ สวมชุดสีน้ำเงินที่ซักจนขาวสะอาด ผมถูกมัดรวบอย่างเป็นระเบียบ เค้าโครงหน้าชัดเจน คิ้วหนายาวดกดำ ปลายคิ้วชี้เข้าขมับ หัวท้ายดกดำ ดวงตาสดใส จมูกโด่งเป็นสัน ความหนาบางของริมฝีปากกำลังดี
“คิ้วตาช่างสดใสงดงามนัก!” ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน “ท่านมีรูปลักษณ์หล่อเหลายิ่ง!”
หนุ่มผู้นั้นเห็นว่าซ่งชูอีอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกขานว่าเยี่ยงไร นิ่งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนประสานมือเอ่ย “ชมเกินไปแล้ว”
ซ่งชูอีบนไปบนแท่น “มิทราบว่าท่านต้องการจะคุยเรื่องใด?”
“ข้าอยากได้คำชี้แนะจากท่าน ว่ารัฐเล็กสามารถต่อสู้เพื่อครอบครองใต้หล้าได้หรือไม่?” ชายหนุ่มยิ้มถาม
ทันทีที่เอ่ยคำถามนี้ หลายๆ คนโดยรอบที่ยังดื่มเหล้าอยู่ต่างมองมาทางนี้
“ได้” ซ่งชูอีตอบด้วยความมั่นใจและไร้ความลังเล
ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามต่อ เนื่องด้วยกฎในการหารืออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ครั้นผู้ตอบแสดงความคิดเห็นก็จำต้องชี้แจงเหตุผลอย่างละเอียด
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมเอ่ย “ทุกสรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้น ‘คุณธรรม’ ไม่ว่ารัฐน้อยใหญ่ ผู้ที่ปฏิบัติตามคุณธรรมจะรุ่งเรือง ผู้ที่กบฏต่อศีลธรรมจะวอดวาย การเปลี่ยนแปลงทางวัฏจักรคือความเคลื่อนไหวของเต๋า ความบอบบางอ่อนแอคือบทบาทของเต๋า รัฐมหาอำนาจมิได้ระมัดระวังรัฐเล็กเนื่องเพราะมีขนาดเล็กและอ่อนแอ ส่งผลให้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้ เส้นทางนั้นมิได้เที่ยงธรรมเสมอไป อย่างไรก็ดีทุกอย่างที่ดำรงอยู่ล้วนมีเหตุผลในการดำรงอยู่ของมัน เราจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าผู้อ่อนแอมีเส้นทางแห่ง ‘ความตาย’ ให้เดินเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น?”
“ผู้ที่ปฏิบัติตามคุณธรรมจะรุ่งเรือง ผู้ที่กบฏต่อศีลธรรมจะวอดวาย การเปลี่ยนแปลงทางวัฏจักรคือความเคลื่อนไหวของเต๋า ความบอบบางอ่อนแอคือบทบาทของเต๋า เยี่ยม!” ชายหนุ่มทวนความหมายของประโยคนี้อยู่ในใจ แววตาอดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย อุทานว่าเยี่ยมออกมา
รัฐที่เจริญรอยตามคุณธรรมศีลธรรมจะมีความรุ่งเรือง รัฐที่ละเมิดคุณธรรมศีลธรรมจะค่อยๆ เดินเข้าสู่ความหายนะ ตามสถานการณ์ปัจจุบัน คำพูดของซ่งชูอีนี้มีความหมายค่อนไปทางตำหนิว่าเว่ยอ๋องไร้คุณธรรม ไม่ว่าประโยคนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ ทุกคนล้วนฟังด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
“การเปลี่ยนแปลงทางวัฏจักรคือความเคลื่อนไหวของเต๋า ความบอบบางอ่อนแอคือบทบาทของเต๋า” ความหมายก็คือ สิ่งต่างๆ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรและกลับสู่จุดเริ่มต้น ความต่ำต้อยคือพื้นฐานของความสูงส่ง เบื้องหลังคือเงื่อนไขแรกของเบื้องหน้า ฉะนั้นความอ่อนแอคือรากฐานของทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่งเริ่มจากความอ่อนแอ เพราะมีความอ่อนจึงมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่กำลังเสียเปรียบจะต้องพลิกผันความเสื่อมถอยด้วยทัศนคติที่อ่อนน้อมและอ่อนโยน
ผู้ที่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของซ่งชูอีจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นธรรมดา ทว่าก็มีคนที่เข้าใจเพียงผิวเผิน ครั้นได้ยินคำพูดของนางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเยาะ “การกล่าวเช่นนี้ เว่ยอ๋องรังแกรัฐเว่ย์ของพวกเราครานี้ พวกเรายังคงต้องแสดงความอ่อนแอและปล่อยให้เขารังแกเช่นนั้นหรือ!?”
“ที่ข้ากล่าวคือสถานการณ์ของรัฐ บัดนี้หากรัฐเว่ย์ไม่แสดงความอ่อนแอยังจะสามารถทำเยี่ยงไรได้?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม นางมองไปรอบๆ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “กระต่ายที่ต่อสู้กับเสือ สุดท้ายย่อมตกเป็นอาหาร ความอ่อนโยนที่แฝงความแข็งแกร่งคือเส้นทางจะไปสู่ความเข็มแข็งของรัฐผู้อ่อนแอ หากอ่อนนุ่มทั้งนอกและใน เช่นนั้นต่างหากคือสัญญาณแห่งความล่มสลายของรัฐที่แท้จริง”
ห้องโถงเงียบงันครู่ใหญ่ จนกระทั่งทุกคนซาบซึ้งในคำพูดของนาง โห่ร้องยินดีทันใด หนานฉี จีเหมียนและคนอื่นๆ โห่ร้องดังสุด การมีปาฐกถาเช่นนี้ ซ่งชูอีก็สามารถสร้างชื่อในรัฐเว่ย์ได้แล้ว!
“ข้าน้อยซิงโส่ว ได้โปรดชี้แนะนามของท่านด้วย” ชายหนุ่มประสานมือเอ่ย
……………………………..
[1] นิรกรรม คือคุณลักษณะของผู้บรรลุธรรมในลัทธิเต๋า หมายถึงกระทำการสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ความเป็นไปตามธรรมชาติ กระทำการอย่างไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ และไม่ฝืนกับธรรมชาติ
[2] ปรัชญาแนวสูญนิยมคือแนวคิดที่เชื่อว่าการมีอยู่บนโลกใบนี้โดยเฉพาะมนุษย์นั้นไร้ความหมาย ไร้วัตถุประสงค์ ไร้ความจริงที่เข้าใจได้และไร้คุณค่าที่สำคัญที่สุด