เล่ม 1 ตอนที่ 55 นอกใจ

ราชินีพลิกสวรรค์

“เขายังไม่มาหรือ” มู่หว่านโหรวถามด้วยเสียงเบา

 

 

บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางส่ายหัวอย่างช้าๆ แล้วหลบตา

 

 

ทำให้มู่หว่านโหรวหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไปสืบมาใหม่”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง” บ่าวรับใช้รีบถอยออกมาอย่างเงียบๆ

 

 

ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของทางนี้จะน้อยมาก แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเฮ่อเหลียนเฟิง อู๋เชียน หนานอู๋เฮิ่น และคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันกับมู่หว่านโหรว ในใจของพวกเขาต่างก็สงสัย แต่ก็มั่นใจแล้วว่าองค์หญิงอันผิงมาที่งานประลองชิงเจียวแห่งเมืองซูหนานด้วยตัวเอง แท้จริงแล้วนางมาเพื่อใครบางคน แต่ทว่าคนคนนั้นคือใคร หรือจะเป็นลู่เจี้ย นายน้อยตระกูลลู่ที่หมั้นหมายกับนาง ข้อนี้ความเป็นไปได้ไม่ค่อยมากนัก ถ้าหากมู่หว่านโหรวอยากเจอลู่เจี้ยก็ต้องรองั้นหรือ ลู่เจี้ยก็อยู่ในจวนตระกูลลู่ ไปหาเลยก็ได้ แต่ว่าก่อนหน้านี้มีคนเสนอให้นางเข้าพบลู่เจี้ย นางก็ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและห่างเหิน

 

 

ในเมื่อไม่ใช่ลู่เจี้ย ถ้าเช่นนั้นเป็นใครกัน ใครกันที่องค์หญิงอันผิงให้ความสำคัญมากจนกระทั่งระยะทางไกลเพียงใดก็เดินทางมาเมืองซูหนานเพื่อเข้าร่วม ถ้าหากเป็นผู้ชายล่ะก็…

 

 

เฮ้อ เฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนส่งสายตากันอย่างลับๆ แล้วเก็บเรื่องที่คาดเดาไว้ในใจ โธ่ นายน้อยลู่ดีขนาดนี้ แต่กลับยังห้ามคนรักไม่ให้นอกใจไม่ได้

 

 

จะมีเพียงหนานอู๋เฮิ่นเท่านั้นที่ชายตามองมู่หว่านโหรวด้วยความเฉยเมย ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอันใด

 

 

มู่หว่านโหรวรับรู้ได้ถึงการถูกทั้งสามคนจับสังเกต แต่ก็ไม่สนใจและไม่ได้อธิบายอะไร นางยังคงเยือกเย็นดั่งลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง ไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร

 

 

“ท่านเจ้าเมือง ระหว่างสองคนนั้น มีเรื่องอันใดใช่ไหม” หนานอู๋เฮิ่นยกมือทันทีแล้วชี้ไปที่เย่ว์หนานซีและเจียงหลีที่อยู่ท่ามกลางผู้คนด้านล่าง ตอนนี้เย่ว์หนานซีได้นำคนตระกูลเย่ว์เดินมาอยู่ตรงหน้าเจียงหลี

 

 

พอเฮ่อเหลียนเฟิงมองก็หัวเราะออกมาทันทีราวกับเป็นเรื่องตลก เล่าเรื่องความขัดแย้งกันระหว่างตระกูลเย่ว์และเจียงหลี “ผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของเจียงหลีเฟิง ด้วยความเมตตาของฝ่าบาท จึงอภัยโทษให้กับลูกสาวตระกูลเจียง”

 

 

ในขณะที่เขาเล่าความจริง เย่ว์หนานซียืนอยู่ตรงหน้าเจียงหลี เขาหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม ความเกลียดชังที่ถูกปิดบังไว้ในสายตาของเขา “อย่างเจ้าน่ะเหรอ มีคุณสมบัติมากพอที่จะเดินมาอยู่ตรงหน้าข้า”

 

 

เจียงหลียิ้มมุมปาก ไม่สนใจคำพูดที่ถือดีของเขา ชายตามองไปตรงที่เจียงอวี๋ยืนอยู่ หัวเราะแล้วพูดฉีกหน้าเขาว่า “เจียงอวี๋ยังสบายดีอยู่ไหม”

 

 

พูดถึงเจียงอวี๋ แววตาเย่ว์หนานซีก็เปลี่ยนไป เกิดความหม่นหมองขึ้นในใจ เจียงอวี๋และแม่ของนางถูกไล่ออกจากตระกูลเย่ว์ ตอนเขาสลบไป รอเขาตื่นขึ้นมา หลังจากรู้เรื่องนี้ก็สั่งให้คนไปตามหา แต่กลับไม่ได้ข่าวคราวอะไร

 

 

เขาก็ชอบเจียงอวี๋อยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเลย ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อยังนำข่าวที่เขานัดประลองกับเจียงหลีกลับมา ตอนนี้ทันทีที่เจียงหลีพูดขึ้นมา ก็เหมือนดั่งเสี้ยนหนามทิ่มแทงหัวใจเขา

 

 

ความทุกข์ในแววตาของเขา เจียงหลีเห็นแล้ว เขายิ่งทุกข์มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งยิ้มได้อย่างมีความสุขมากเท่านั้น ทันใดนั้นนางเพ่งสายตาไปที่เจียงอวี๋ยืนอยู่แล้วเงยหน้าขึ้น สบตาเย่ว์หนานซีเพื่อบอกเป็นนัย ท่าทางของนาง ทำให้เจียงอวี๋ที่อยู่ไกลๆ แข็งทื่อไปทั้งตัว

 

 

โดยเฉพาะตอนที่เย่ว์หนานซีหันมองมาด้วยความสงสัย นางยิ่งแทบอยากจะมุดดินหนีฃ นางก็อยากเจอเย่ว์หนานซี แต่ก็ไม่ใช่ในเวลาแบบนี้

 

 

“อวี๋เอ่อร์ เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ” ลั่วเทียนเจียวถามด้วยความห่วงใย

 

 

“ข้า ข้าไม่เป็นอะไร” เจียงอวี๋ก้มหน้าลงหลบสายตาของเย่ว์หนานซี ในใจกลัวเป็นอย่างมาก

 

 

เวลานี้ สีหน้าของนางเหอซื่อเปลี่ยนไป เรื่องนี้ก็ยากจะปิดบังเอาไว้

 

 

นางรู้ว่าเย่ว์หนานซีต้องมาที่นี้ แต่คิดว่าคนเยอะเช่นนี้ เขาคงไม่เห็นตน ใครจะไปนึกถึงว่าทาสอย่างเจียงหลีจะทำร้ายแม่ลูกอย่างพวกนาง

 

 

“นี่ เย่ว์หนานซี คนรักของเจ้าอยู่ตรงโน้น ไม่เข้าไปคุยกันหน่อยหรือ จึ๊ๆ ดูคุณชายที่อยู่ข้างๆ นาง จะเอาใจนางเป็นอย่างมาก” เจียงหลีเห็นท่าทางตกใจของเจียงอวี๋ตอนที่เย่ว์หนานซีปรากฏตัว นางจึงหัวเราะขึ้นมา

 

 

น่าชังนัก!

 

 

เย่ว์หนานซีได้ยินคำพูดของเจียงหลี ตาก็จ้องเขม็งไปที่เจียงอวี๋ด้วยความโกรธ

 

 

เขาไม่มีทางจำเจียงอวี๋ไม่ได้ ต่อให้สวมผ้าคลุมหน้าก็ปิดบังเขาไม่ได้ โดยเฉพาะนางเหอซื่อที่หลบอยู่ข้างๆ แต่ว่าทั้งใบหน้าโผล่ออกมาด้านนอก

 

 

สำหรับเย่ว์หนานซี เขาสามารถทิ้งผู้หญิงได้ แต่ผู้หญิงจะมาทำเล่นๆ กับเขาไม่ได้ ขณะนั้นเย่ว์หนานซีก็แค้นใจเจียงอวี๋ด้วย เขาควบคุมความโกรธของตัวเอง หันกลับไปมองเจียงหลีที่ใบหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของเขา พูดถากถางด้วยความเยือกเย็น “ที่แท้ผู้หญิงตระกูลเจียงล้วนเป็นผู้หญิงสำส่อน”

 

 

“ชมเกินไปแล้ว ผู้ชายตระกูลเย่ว์ก็ล้วนแต่เห็นของใหม่แล้วก็ลืมของเก่าไม่ใช่หรือ” เจียงหลีตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

เย่ว์หนานซีแววตาจริงจัง รังสีอัมหิตนั้นราวกับของจริง จ้องเจียงหลีตาเขม็ง

 

 

เจียงหลีไม่ทนเลยโบกไม้โบกมือ “อย่าจ้องมองข้าเช่นนี้ จ้องไปก็ฆ่าข้าไม่ได้ พยายามหน่อยนะ ข้าจะมาจัดการเจ้าด้วยตัวเอง แต่อย่างไร ข้าก็เป็นกำลังใจให้เจ้านะ”

 

 

คำพูดที่ยั่วยุให้โกรธจบลง เย่ว์หนานซีกำหมัดแน่น จ้องมองเจียงหลีตาเขม็ง

 

 

“เจ้า!” เย่ว์หนานซีได้เพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดใจเหมือนจะระเบิดออกมา ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจียงหลีนังผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการยั่วโมโหคนได้ขนาดนี้

 

 

เจียงหลีขี้เกียจเล่นสงครามน้ำลายกับเขา หัวเราะเหยียดพวกเขาแล้วพาหม่าหยวนจย่าเดินเฉียดด้านข้างของเย่ว์หนานซีผ่านไป

 

 

เย่ว์หนานซีผู้ถูกเมินโกรธจนตัวสั่น มองไปที่เจียงหลีแล้วพูดอย่างโหดเ**้ยม “เจียงหลี ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นแน่” แล้วเขาก็หันไปมองทางที่เจียงอวี๋ยืนอยู่ด้วยแววตามืดสนิท เขาพูดเสริมด้วยน้ำเสียงต่ำ “ผู้หญิงตระกูลเจียง ข้าจะไม่เว้นสักคน”

 

 

 

 

มองไปบนเวที เฮ่อเหลียนเฟิงได้เล่าเรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างเจียงหลีและตระกูลเย่ว์อย่างครบถ้วน

 

 

หลังจากที่รู้ว่าเจียงหลีเป็นบ่าวรับใช้บ้านตระกูลลู่ มู่หว่านโหรวพูดได้แค่ว่า “ตระกูลลู่เป็นตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์ ฐานะมั่นคง แต่ทว่าด้านการอบรมสั่งสอนบ่าวรับใช้กลับถูๆ ไถๆ”

 

 

พอนางพูดเช่นนี้แล้ว ใครจะกล้าพูดอะไรได้อีก

 

 

ตอนนี้บ่าวรับใช้ที่มู่หว่านโหรวสั่งให้ไปสืบความกลับมาอย่างรีบร้อน มาถึงด้านข้างตัวนางแล้วก็โค้งตัวลงมากระซิบข้างหูนาง

 

 

อันที่จริงแล้วเสียงกระซิบกระซาบนั้นจะปิดพวกเขาไม่กี่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร

 

 

บ่าวรับใช้พูดเพียงสามคำ “เขามาแล้ว”

 

 

ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเฟิง อู๋เชียน หนานอู๋เฮิ่น พวกเขาทั้งสามคนเห็นแววตาของมู่หว่านโหรวเปล่งประกาย จึงลุกยืนขึ้น ก้าวท้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ให้สายตามองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

 

พวกเขาทั้งสามคนต่างสงสัย แท้จริงแล้วองค์หญิงอันผิงรอผู้ใดอยู่ นอกจากหนานอู๋เฮิ่นที่ยังคงสงวนท่าทีไว้ได้ เฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนล้วนแต่นั่งยืดตัวแล้วมองไปด้านนอก

 

 

เห็นเพียงแค่เงาคนที่สูงใหญ่เดินเข้ามาจากด้านนอกท่ามกลางผู้คนที่มาเข้าร่วมงานประลองชิงเจียวด้านล่าง เขาเหมือนดั่งควันในทะเลทรายอันไกลโพ้น ทั้งตัวเขาเผยให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวที่คนเห็นแล้วไม่กล้าเข้าใกล้

 

 

ทั้งตัวคลุมด้วยเสื้อคลุมสีกรมท่า ซักจนสีซีดจาง แต่งตัวซอมซ่ออย่างเห็นได้ชัด แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความถือดีของเขา

 

 

คือเขานั่นเอง

 

 

เฮ่อเหลียนเฟิงดวงตาหดลง ภาพใบหน้ารูปงามราวกับถูกแกะสลักปรากฏขึ้น เขาก็พูดในใจ ผู้ที่เก่งกาจที่สุดในงานประลองชิงเจียวครั้งนี้ จะเป็นใครอื่นไม่ได้

 

 

“ไอ้เด็กหนุ่มท่าทางเก่งกาจผู้นี้คือใครกัน” อู๋เชียนถามเฮ่อเหลียนเฟิงด้วยความสงสัย

 

 

—–