เล่ม 4 เล่มที่ 4 ตอนที่ 122 หนูสำเร็จโทษ ข้าจะให้เจ้าชิมดูก่อนสักหน่อย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นกับร่างกายของซูจิ่นซีแล้ว เยี่ยโยวเหยาจึงวางใจและออกไปทำงาน

        ซูจิ่นซีเพิ่งได้รับทักษะจากดอกปี่อั้นจึงรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก นางนั่งหลับตาอยู่ในลาน ฟังเสียงแปลกประหลาดเหล่านั้นที่เกิดขึ้นโดยรอบ

        เรือนที่อาศัยอยู่ด้านข้างคงเป็นครอบครัวของขุนนาง ผู้เป็นนายท่านต้องการรับอนุเพิ่ม ทว่าฮูหยินและเหล่าอนุไม่ยินยอม จึงเกิดการทะเลาะกันเสียงดังโวยวาย ผลสุดท้ายกลับพบว่าฮูหยินของตนลอบคบชู้กับผู้อื่น

        นอกจากนั้นยังมีเด็กสองคนกำลังเล่นต่อสู้กันในตรอกนอกกำแพง เด็กคนหนึ่งแพ้ ทว่ากลับไม่รู้ว่าการเล่นต่อสู้ของเขานั้น แท้จริงแล้วถูกคนลงมือจัดการลับหลัง

        อีกทั้งยังมีคนหาบเร่แผงลอยบางส่วนนอกประตูกำลังส่งเสียงด้วยความเบิกบานเป็นอย่างมาก

        และแม่นมฮวาที่กำลังหยอกลวี่หลีอยู่ในครัว นางสอนลวี่หลีว่าหลังจากนี้ให้จัดการอย่างไรกับชายของตนเอง ลวี่หลีจึงหน้าแดงหูแดง เขินอายเป็นอย่างยิ่ง

        ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้โลกช่างสวยงามเสียจริง

        ซูจิ่นซีศึกษากำไลดอกปี่อั้นอยู่นาน นางพบว่าเกสรที่อยู่ตรงกลางของดอกปี่อั้นบนกำไลข้อมือนั้นมีกลไก เมื่อหมุนเกสรก็เหมือนการกดปุ่มวิทยุอย่างไรอย่างนั้น สามารถปรับระดับเสียงดังเบาให้เหมาะสมได้

        ซูจิ่นซีต้องการฟังเหตุการณ์บริเวณใกล้ๆ ก็สามารถฟังได้ หากต้องการฟังเรื่องจากที่ไกลสักหน่อย ก็สามารถทำได้เช่นกัน ทว่าไม่สามารถไกลเกินกว่าขอบเขตที่กำหนด นอกจากนั้นยังมีการปรับระดับเสียง หากไม่ต้องการได้ยินก็สามารถขันเกสรดอกไม้ให้ปิดสนิท เหมือนกับการได้ยินแบบปกติธรรมดา

        หึ ที่แท้ของเล่นนี้ยังเป็นวิทยาศาตร์ระดับสูง! เหมือนได้รับคลื่นวิทยุที่ไม่จำกัดอย่างไรอย่างนั้น

        ทันสมัยเสียจริง

        ซูจิ่นซีพลิกกำไลดอกปี่อั้นกลับไปกลับมา ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายที่แต่งกายด้วยชุดขุนนางเต็มยศ

        เป็นคนจากคุกหลวง “คำนับพระชายา! ”

        ซูจิ่นซีหัวเราะเย็นชา “หึหึ ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทของพวกเจ้าเกิดตระบัดสัตย์ เห็นดอกบัวเป็นกงจักรจึงคิดจะจับข้าเข้าคุกใช่หรือไม่? ”

        “พระชายาเอาที่ใดมาพูดพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? ” พัศดีผู้นี้คงเป็นขุนนางที่อยู่ด้านในคุกหลวง คำพูดดูมีมาตรฐาน “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ บิดาของท่าน หรืออดีตผู้นำสำนักหมอหลวงซูได้ก่อเรื่องขึ้นในคุกหลวง ดังนั้นที่ข้าน้อยมาวันนี้ก็เพื่อเชิญท่านเข้าไปอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”

        ก่อนหน้านี้เนื่องจากหลักฐานของเยี่ยโยวเหยา ฮ่องเต้จึงไม่สามารถจับสกุลซูเข้าคุกได้ ทว่าพระองค์กลับพบข้ออ้างที่จะโยนความโกรธของตนไปที่ซูจ้ง ฮ่องเต้ได้ส่งตัวซูจ้งเข้าคุกหลวงโทษฐานที่รักษาโรคและวินิจฉัยโรคของฮองเฮาผิดพลาด

        เขาก่อเรื่องในห้องขังอย่างนั้นหรือ?

        “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ” ซูจิ่นซีถาม

        “ผู้นำสำนักหมอหลวงซูฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ฆ่าตัวตายหรือ?

        คราแรกซูจิ่นซีรู้สึกแปลกใจ ทว่าไม่นานก็เข้าใจ คนอย่างซูจ้งนั้นเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะคิดฆ่าตัวตายได้อย่างไร?

        เขาสามารถถือมีดมาฟันบุตรสาวของตนได้ ยอมแทงผู้อื่นตายดีกว่าแทงตนเองให้ตาย

        “ในเมื่อฆ่าตัวตายแล้ว พวกเจ้าก็เพียงลากไปฝัง! หรือไม่ก็ให้คนของสกุลซูไปเก็บศพ มาหาข้าก็เปล่าประโยชน์! ”

        ใบหน้าของพัศดียังคงยิ้มร่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ผู้นำสำนักหมอหลวงซูถึงแม้จะฆ่าตัวตาย ทว่ากลับไร้ผล เขาถูกทหารในคุกหลวงช่วยชีวิตลงมาได้”

        เช่นนั้นก็น่าขันแล้ว!

        ซูจิ่นไม่พูดไม่จา แสดงออกอย่างชัดเจนมากว่าไม่ไป!

        พัศดียิ้มร่าเดินไปยังข้างกายของซูจิ่นซีและกระซิบว่า “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ผู้นำสำนักหมอหลวงซูบอกว่า เขามีเรื่องที่ต้องพูดกับพระองค์ หากพระองค์เห็นสิ่งนี้จะต้องไปพบเขาอย่างแน่นอน”

        ขณะที่พูดอยู่ พัศดีก็หยิบของบางอย่างออกมาจากอ้อมอกของเขา

        เมื่อซูจิ่นซีเห็นของสิ่งนั้น ดวงตาก็ปรากฏความซับซ้อนขึ้นมาในทันใด

        “พระชายา ผู้นำสำนักหมอหลวงซูบอกว่า ถ้าพระองค์ไม่ไป หากเขาตาย พระองค์จะไม่ได้สิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”

        พัศดีผู้นี้ถูกซูจ้งติดสินบน

        “เจ้าช่างเป็นสุนัขที่ดีของซูจ้ง! ”

        ซูจิ่นซีแย่งของในมือของพัศดีมา

        หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ซูจิ่นซีก็มาถึงยังคุกหลวง

        นี่คือคุกหลวงที่ใหญ่ที่สุดในจงหนิง ทั้งยังเป็นคุกหลวงที่มีอำนาจสูงสุด คนส่วนใหญ่ในคุกเป็นนักโทษที่ได้รับการสอบสวนโดยศาลต้าหลี่ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านกฎหมายอาญาสูงสุดแห่งแคว้นจงหนิง

        คุกทุกแห่งต่างมีคนเฝ้ารักษาการตั้งแต่ทางเข้าจนถึงด้านใน บรรยากาศทั้งมืดและเปียกชื้น มืดจนกระทั่งไม่รู้วันรู้คืน

        ระหว่างทางจะแขวนเครื่องมือทรมานนักโทษไว้หลายชุด พวกมันส่งกลิ่นเหม็นคาว ทำให้ผู้ที่มองเกิดความรู้สึกหวาดกลัว

        เมื่อผ่านมายังทางเข้าห้องมืด ซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่คุ้นเคย เป็นเสียงของบุรุษเพศ ทว่าไม่ใช่เสียงของซูจ้ง

        ซูจิ่นซีคิดไม่ออกว่าผู้ใดคือเจ้าของเสียงนี้ นางค่อยๆ กดปุ่มบนกำไลดอกปี่อั้น ทว่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ซูจิ่นซีก็รีบกดปิดทันที

        ใบหน้าแทบซีดเผือกด้วยความตกใจ

        หนู หนูจำนวนมาก มีประมาณร้อยถึงเกือบพันตัว ทั้งยังเป็นหนูที่หิวโซเหมือนไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน

        หนูสำหรับสำเร็จโทษหรือ?

        ขังผู้ใดไว้ด้านในกัน คาดไม่ถึงว่าจะใช้กฎหมายป่าเถื่อนเช่นนี้กับเขา?

        “ขังผู้ใดไว้ข้างใน? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

        พัศดีที่เดินตามซูจิ่นซีเข้ามามีใบหน้าลำบากใจเล็กน้อย ท่าทางลังเล อึกๆ อักๆ ไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้

        ทว่ากลับเป็นทหารที่เฝ้าหน้าประตูห้องมืดพูดขึ้นว่า “ทูลพระชายา ผู้ที่ถูกขังอยู่ข้างในเป็นองครักษ์หลินเฟิงที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

        หลินเฟิง?

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะเหลือบมองไปยังทหารผู้นั้น พบว่าเขาแต่งกายแตกต่างจากทหารคนอื่นๆ ในห้องขังนี้ หลังจากดูอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นคนข้างกายของเยี่ยโยวเหยา ตอนอยู่ที่ด่านปราการประตูเจิ้นเป่ย นางเคยเห็นเขายืนอยู่ข้างกายของฉินเทียน

        มิน่าเล่า เมื่อพูดกับซูจิ่นซีจึงไม่มีท่าทีห่างเหิน ที่แท้ก็เป็นคนของตนเอง

        “หลินเฟิงถูกขังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาทำเรื่องผิดอันใด? ”

        “ทูลพระชายา ครั้งก่อนที่ท่านอ๋องมีรับสั่งประหารชีวิตซูเมิ่งเหยา เป็นหลินเฟิงที่ปล่อยตัวซูเมิ่งเหยาไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนไม่ชัดเจน เรื่องนี้องครักษ์ฉินพึ่งจะทราบเมื่อไม่กี่วันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูเมิ่งเหยาและหลินเฟิงเป็นชู้กัน?

        เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ซูเมิ่งเหยาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานมากผู้หนึ่ง นอกจากนั้นนางยังชอบเยี่ยโยวเหยาด้วย!

        เป็นหลินเฟิงที่ตกหลุมรักซูเมิ่งเหยาใช่หรือไม่?

        ซูจิ่นซีเข้าใจแล้ว เยี่ยโยวเหยานำตัวหลินเฟิงมาขังไว้ที่นี่ และตั้งใจลงโทษเขาด้วยหนู เยี่ยโยวเหยากำลังเปลี่ยนวิธีลงโทษซูเมิ่งเหยา!

        เพราะซูเมิ่งเหยาก็ถูกขังอยู่ในคุกหลวงด้วยเช่นกัน

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะมองผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้าไปยังห้องมืดด้านใน ทันใดนั้นช่องท้องก็ราวกับมีน้ำไหลย้อนขึ้นมา อีกนิดก็เกือบจะอาเจียนแล้ว

        หลินเฟิงถูกหนูพวกนั้นแทะกินเป็นอาหาร มันเปลี่ยนโฉมหน้าเขาไปจนจำแทบไม่ได้ เลือดและเนื้อหนังปะปนกันไปทั่ว

        “ซูจิ่นซี… โอ้ย! ”

        เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง ฟังดูน่าขนลุกและน่ากลัวยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีหันไปมองก็เห็นคนผู้หนึ่งที่ผมยาวสยาย มีใบหน้าดุร้าย กำลังทำท่าทางแปลกๆ นางกางนิ้วทั้งห้าเกาะบนรั้วในห้องขังราวกับผีอย่างไรอย่างนั้น และจ้องมองมาทางซูจิ่นซี

        เมื่อซูจิ่นซีกะพริบตาดูก็ถึงกับต้องตกใจ ทว่าหลังจากใช้เวลามองนานขึ้นเล็กน้อย ภายในใจของซูจิ่นซีก็สงบลง

        “ซูเมิ่งเหยา เจ้าเคยใช้ยาพิษเหล่านั้นกับข้ามาก่อนใช่หรือไม่? ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันนี้ได้”

        “ซูจิ่นซี ข้าเกลียดที่ไม่ได้วางยาพิษให้เจ้าตาย เพียงทำให้ใบหน้าของเจ้าเสียโฉมเท่านั้น หากข้ามีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะให้เจ้ากินพิษทะลุลำไส้อย่างแน่นอน จะทำให้รูทวารทั้งเจ็ดของเจ้าต้องหลั่งเลือด ให้เจ้าได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด”

        “น่าเสียดาย เจ้าไม่มีวันได้รับโอกาสอีกแล้ว! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น พร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ซูเมิ่งเหยาเล็กน้อย “พี่หญิงสี่ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าทานก่อนสักหน่อย จะได้ให้เจ้าช่วยชิมว่ารสชาตินั้นเป็นอย่างไร? ”

        “ซูจิ่นซี ข้าอดใจรอที่จะกินเนื้อและดื่มเลือดของเจ้าไม่ไหวแล้ว! ”

        ซูเมิ่งเหยาพูดเสียงดัง โผตัวเข้าหาซูจิ่นซี ทว่าน่าเสียดายที่ด้านหน้าเป็นรั้วแข็งกั้นไว้ ศีรษะของซูเมิ่งเหยาจึงชนเข้าที่รั้ว ทันใดนั้นนางก็ล้มลงกับพื้น