บทที่ 65 เพื่อนสาวคนสนิทของจางหยวน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 65 เพื่อนสาวคนสนิทของจางหยวน

หลังจากออกจากสำนักมาแล้ว เขาก็ได้มองไปยังหินก้อนยักษ์ที่ภูเขาทางเข้าสำนัก นี่ทำให้เฉินเฉียงนึกถึงจางหยวนขึ้นมา

ที่ด้านขวาของก้อนหินนี้ จางหยวนได้กล่าวปรามาสเขาต่อหน้าทุกคนในวันนั้นเอาไว้ “หาปีหลังจากนี้ หากว่าเจ้าไม่ได้โผล่หน้าไปที่ตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราล่ะก็ ข้า จางหยวนผู้นี้จะกลับมาที่สำนักเต่าดำและฆ่าเจ้าในทันทีที่เห็นและนำเหรียญตราแห่งสำนักเต่าดำคืนมา”

นับจากตอนนั้นก็ผ่านมาได้สองเดือนแล้ว ตอนนี้ตัวเขานั้นจากเดิมที่เป็นนักรบสายเลือดระดับทหารขั้นกลางก็ได้เลื่อนระดับการบ่มเพาะเป็นขั้นสูง และเปิดจุดตันเถียนได้สิบเอ็ดจุดแล้ว

ส่วนจางหยวนนั้น เขาเองก็ยังคงอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นอยู่ นี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาถึงห้าปีจริงๆรึเปล่า

“ศิษย์พี่กัว ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเหรียญตราเต่าดำบ้างรึเปล่า”

“เหรียญตราเต่าดำเหรอ….” กัวเหลียงได้มองไปที่เฉินเฉียงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุ

“ศิษย์น้อง นี่เจ้ากำลังคิดถึงพี่จางหยวนอย่างนั้นเหรอ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องอย่าได้เป็นกังวลไป ข้ากับศิษย์พี่จางหยวงค่อนข้างจะสนิทกัน อย่าได้ไปใส่ใจในคำพูดของเขาเลยน่า”

“ศิษย์พี่กัว ศิษย์น้องเฉิน ทั้งสองคนคุยอะไรกันอยู่เหรอ” หลิวซวนเอ๋อได้เดินเข้ามาและถามด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรมากหรอก พวกเรากำลังพูดถึงจางหยวนน่ะ”

สองเดือนก่อน จางหยวนเป็นคนนำศิษย์น้องมาที่นี่ แล้วก่อนจากกัน เขาได้พูดคำอาฆาตเอาไว้ว่าถ้าศิษย์น้องไม่ไปรายงานตัวที่กองกำลังเทียนเว่ยในห้าปีล่ะก็ เขาจะมาเก็บเหรียญตราเต่าดำหลังจากฆ่าศิษย์น้องไปในทันทีที่พบหน้า

หลิวซวนเอ๋อที่ได้ยินก็อดที่จะปิดปากด้วยความตกใจไม่ได้เมื่อได้ยิน

“เป็นอะไรล่ะนั่นศิษย์พี่หลิว หรือพี่จะบอกว่าพี่เองก็รู้จักจางหยวนด้วยเหมือนกัน” เฉินเฉียงรีบถามออกมา

“หืม หมายความว่าไงที่ว่าเธอแค่รู้จักจางหยวน” กัวเหลียงได้มองไปที่เฉินเฉียงด้วยอารามตกใจ ก่อนที่จะนิ่งคิดไปพักหนึ่งและพูดออกมา “ศิษย์น้อง…อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้สายสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้”

คำพูดของกัวเหลียงทำให้ไป๋ชิจิ้งและคนอื่นๆอีกสามคนที่ตามมาอยู่ข้างหลังได้เปลี่ยนท่าทีในทันที

ดูเหมือนว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ

เฉินเฉียงในตอนนี้มีสายตาที่เป็นประกายพร้อมความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น

“ศิษย์น้อง ตอนที่จางหยวนเข้ามาสำนักเต่าดำนั้น เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีความเหมาะสมที่จะครองคู่กับศิษย์น้องหลิวมากที่สุด”

“แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหลังจากเขาเข้ามาในสำนักได้ปีเดียว เขาก็ได้ออกจากสำนักไป”

“ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ จางหยวนกับศิษย์น้องหลิวนั้นคงได้ครองคู่กันแล้ว”

“ศิษย์พี่กัว ท่านอย่าได้พูดไร้สาระนะ”

หลิวซวนเอ๋อในตอนนี้ใบหน้าสีแดงฉานเมื่อได้ยิน เธอมองไปที่เฉินเฉียงและพูดออกมาอย่างช้าๆ “ศิษย์พี่ไม่คิดเลยจริงๆว่าที่ศิษย์น้องเฉินเข้ามาที่นี่ได้นั้นเพราะมีความสัมพันธ์กับพี่จางแบบนี้”

หลิวซวนเอ๋อในตอนนี้เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ท่าทางของเธอในตอนนี้ดูเหมือนยังไม่อาจลืมเลือนสายสัมพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นนี้ได้ หลังจากนิ่งนึกไปพักหนึ่ง เธอก็ได้พูดต่อ “ศิษย์น้องเฉิน เจ้าอย่าได้ถือสาระจากคำพูดของศิษย์พี่กัวเป็นอันขาดนะ”

“สองปีก่อนพี่จางเองเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่สำนักของเรานั้นได้มีโอกาสรับเข้ามา”

“หากไม่ว่าเขานั้นต้องออกจากสำนักไปล่ะก็ อย่างน้อยๆเขาก็สมควรจะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้วในตอนนี้”

“ในตอนนั้น อยู่ๆพี่จางก็ตัดสินใจออกจากสำนักไปเข้าร่วมกับตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทรา หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด ในที่สุดเขาก็ได้เข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยและในที่สุดก็ได้ขึ้นเป็นกัปตันของทีม”

“หลังจากเขาเข้าร่วมไปแล้ว พวกเราก็พึ่งจะรู้ว่าเหตุผลที่เขาออกจากสำนักไปเข้าร่วมกับตึกจอมพลนั้นเป็นเพราะว่าพ่อของเขาได้ตกตายในสนามรบ ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่พ่อของเขายังอยู่นั้นก็เป็นหนึ่งในคนของกองกำลังเทียนเว่ย”

“ส่วนเหรียญตราเต่าดำนั้นเป็นสุดยอดเหรียญตราที่ถูกควบคุมโดยผอ.สำนักเต่าดำ”

“โดยปกติแล้ว ศิษย์ของสำนักเต่าดำนั้นจะไม่อนุญาตให้สู้กันเองใช่ไหมล่ะ อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่ เมื่อใดก็ตามที่ใครคนนั้นนำเหรียญตรานี้ออกมาล่ะก็ คนคนนั้นจะสามารถสู้เป็นตายจริงๆต่อหน้าทุกคนในสำนักได้”

“อย่างไรก็ตาม กับเรื่องนี้นั้นศิษย์น้องอย่าได้เป็นกังวลไป ถ้าจางหยวนมาที่นี่จริงๆล่ะก็ ศิษย์พี่จะช่วยพูดให้อีกคนหนึ่ง”

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของหลิวซวนเอ๋อแล้ว นี่ทำให้เฉินเฉียงได้เข้าถึงประสบการณ์ของจางหยวนมากขึ้นอีกนิดหน่อย เขาพยักหน้าและพูดออกมา “เรื่องราวของศิษย์พี่จางเป็นเช่นนี้นี่เอง”

“ถูกต้องแล้วศิษย์น้อง และนี่เองทำให้จางหยวนนั้นยึดถือว่าธงตรากองพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยของเขานั้นคือที่สุดแห่งตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา จึงไม่แปลกที่จางหยวนนั้นจะทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า”

“ตอนที่ศิษย์น้องเข้ามาในสำนักเองก็เป็นเพียงระดับทหารขั้นกลางเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เขาจะกล่าวอาฆาตมาดร้ายขนาดนั้น”

“ศิษย์น้องเฉิน นี่เจ้าก็ต้องการเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยเหมือนกันเหรอ” หลิวซวนเอ๋อที่ได้ยินว่าจางหยวนพูดว่าอะไรก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้าง

หลังจากฟังเรื่องราวระหว่างจางหยวนและหลิวซวนเอ๋อแล้ว เฉินเฉียงในที่สุดก็ได้มองไปที่หลิวซวนเอ๋อด้วยสายตาที่ร้อนแรง

“ถูกต้องแล้วครับศิษย์พี่หลิว ที่ข้าเข้ามาที่นี่เป็นเพราะต้องการพัฒนาตัวเองเพื่อเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยให้ได้ในสักวันหนึ่ง”

“เยี่ยมไปเลย ศิษย์น้อง เจ้าต้องพาพี่ไปด้วยล่ะ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะไปด้วยกัน”

“ถ้าศิษย์พี่ไปพวกเราก็จะไปด้วย โอ้…”

เพียงสิ้นเสียงของหลิวซวนเอ๋อ เหล่าผู้ติดตามก็ได้มีไฟลุกโชนที่จะไล่ตามเธอไปให้ได้

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องหลิว ศิษย์น้องอย่าพึ่งรีบดีใจไปจะดีกว่านา”

“เจ้านั้นคงยังไม่รู้สินะว่าทำไมศิษย์พี่จางหยวนของเจ้านั้น ทำไมถึงได้กล้าที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเลว่าจะนำเหรียญตราสำนักออกมาท้าประลองเป็นตายกับศิษย์น้องน่ะ”

หลิวเซียนเอ๋อเองไม่ใช่ผู้หญิงไร้สมอง เธอที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ฉุกใจคิดได้ในทันที

“….ศิษย์น้อง คงไม่ใช่ว่าเจ้านั้นไปท้าประลองกับศิษย์พี่จางหรอกนะ”

“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ศิษย์พี่จางเป็นคนที่แยกแบ่งระหว่างเรื่องดีและชั่วอย่างชัดเจน นี่ทำให้เขานั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ถ้าไม่ใช่เจ้าไปหาเรื่องก่อน ไม่มีทางเลยที่คนอย่างเขาจะพูดออกมาแบบนั้น”

เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นเดียวกัน

ข้อตกลงของเขากับจางหยวนนั้น ถึงแม้กัวเหลียงจะรู้แต่ก็ถือได้ว่าไม่ได้รู้ไปทั้งหมด

ในตอนนั้นจางหยวนเพียงแค่ต้องการยุยงกัวเหลียงจึงได้เล่าเรื่องเพียงเขาต้องการเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยเท่านั้น แต่จางหยวนไม่ได้บอกเรื่องที่ว่าเขาเองก็หมายตาไปจนถึงขั้นธงตราแห่งกองกำลังเทียนเว่ย

ถ้ากัวเหลียงและหลิวซวนเอ๋อรู้เข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นสายสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็เกรงว่าจะไม่เพียงพอที่จะสลายความแค้นของเขาและจางหยวนลงได้

“ว่าแต่ ศิษย์พี่กัว การที่จะจบจากสำนักเต่าดำได้นี่ต้องผ่านเกณฑ์อะไรบ้างเหรอครับ”

เฉินเฉียงได้เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยในทันทีเมื่อเห็นบรรยากาศที่คุกรุ่นในตอนนี้

“เอ้อ… ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายนักหรอก ขนาดศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ที่นี่มาเพียงสามปีแต่ในตอนนี้เขาก็บรรลุระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว ข้าได้ยินมาว่าอีกไม่นานเขาก็จะถือได้ว่าจบการศึกษาจากที่นี่และต้องการที่จะเข้าร่วมกองกำลังหลินเฟิงแห่งตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราในฐานะองครักษ์”

“เอ้อ เจ้ารู้เรื่องนายพลหลินเฟิงรึยัง ในตอนนี้ท่านมีระดับการบ่มเพาะในระดับกึ่งราชันย์สงครามแล้วนะ อีกไม่นานเขาก็จะก้าวล่วงไปยังในระดับราชันย์สงครามแล้ว”

“หากศิษย์พี่ใหญ่ได้ไปอยู่ที่นั่นในฐานะองครักษ์ล่ะก็ เขาต้องมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน”

“อ้าว แล้วศิษย์พี่ล่ะ ศิษย์พี่จะจบเมื่อไหร่กัน”

“ข้าเหรอ…เหอเหอเหอ” กัวเหลียงเกาหัวตัวเองไปสองสามแกรกก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างเนือยๆแล้วพูดต่อ “ปีหน้า จะมีการจัดการประลองขึ้นสี่สนาม”

“หากว่าข้าสามารถผ่านการประลองทั้งสี่สนามไปได้ล่ะก็ ข้าเองก็นับว่าจบได้แล้ว หลังจากนั้นข้าจะไปขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยหางานให้”

“การประลองสี่สนาม…หมายความว่ายังไงล่ะนั่น” นี่เองเป็นครั้งแรกที่เขาพึ่งจะได้ยินเรื่องนี้จึงต้องถามออกมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้องพึ่งจะเข้ามานี่เนาะ เดี๋ยวถึงเวลาเจ้าก็รู้เองล่ะน่า อีกอย่าง เจ้าในตอนนี้ยังเป็นเพียงระดับทหารขั้นสูงเท่านั้น หากเจ้าต้องการจะร่วมประลองล่ะก็อย่างน้อยๆเจ้าต้องอยู่ในระดับนายพลวิญญาณเสียก่อน”

“ก่อนที่จะถึงตอนนั้น สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงนึกถึงเรื่องการบ่มเพาะก็พอแล้ว”

เมื่อเห็นกัวเหลียงไม่อยากจะบอก เฉินเฉียงก็ทำได้เพียงแต่คิดไปเองต่างๆนานาเท่านั้นในขณะที่กำลังเร่งรีบไปหุบเขาอื่นกับคนอื่นๆ

หุบเขาอูฐนั้นอยู่ห่างจากสำนักเต่าดำกว่าสามพันไมล์ หากว่าเดินไปก็ใช้เวลาเจ็ดวันกว่าจะถึงอาณานิคมเขาอูฐ

……..

“ข้ารบกวนท่านไปแจ้งให้นายพลฮั่นเปียวให้ทราบได้รึเปล่าว่าศิษย์สำนักเต่าดำที่รับภารกิจในการสังหารลิงเขี้ยววายุได้มาถึงแล้ว”

ที่น่าประตูอาณานิคมที่ด้านนอกของอาณานิคมเขาอูฐนั้น ไป่ชิจิ้งได้นำเหรียญตราประจำสำนักออกมาและตะโกนด้วยเสียอันดังลั่น