บทที่ 49 บ้านหลักตระกูลเย่เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! Ink Stone_Fantasy
ฆ่าคนแล้วทิ้งข้อความไว้ นี่มันความหยิ่งผยองระดับใดกัน!
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าอู๋เสวี่ยจะมีความกล้าหาญเช่นนี้ ไปฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ ด้วย แล้วยังทิ้งข้อความเอาไว้ที่สถานที่เกิดเหตุอีก มิน่าเล่าสมกับที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจิงตู กล้าทำกล้ารับ!
“แม่งเอ้ยนายพูดมานะ เจ้าเย่เทียนเฉินนั่นมันทิ้งข้อความอะไรไว้กันแน่?”
“ก็ใช่น่ะสิ อย่ามาอมพะนำ ตกลงเป็นข้อความอะไรกันแน่?”
คุณชายเหล่านี้เดิมทีก็เบื่อมากอยู่แล้ว วันๆ รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น พูดคุยเรื่องซุบซิบ มีสัมพันธ์กับผู้หญิง ในจิงตูที่เป็นดั่งสถานที่ๆ รวบรวมกลุ่มอำนาจต่างๆ ไว้มากมายนั้นมีข่าวต่างๆ อยู่มากมายเหลือคณา แต่ข่าวที่สะเทือนเลื่อนลั่นนั้นน้อยมาก การตายของลั่วเหลยและลั่วเทาในครั้งนี้ จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีของจิงตูแน่นอน ถึงขั้นที่สามารถทำให้เกิดความโกลาหลได้เลยทีเดียว
คนที่พอมีตำแหน่งฐานะอยู่บ้างก็จะรู้ว่า แม้ว่าตระกูลลั่วจะไม่ใช่ตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตู แต่ลั่วซงเฉิงตาเฒ่าคนนี้ปกป้องถือหางพรรคพวกเป็นอย่างมากมาโดยตลอด อีกอย่างหลายปีมานี้ การพัฒนาของตระกูลลั่วทำให้มีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารในครั้งนี้ ลั่วซงเฉิงมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการทหาร ถึงตอนนั้นตระกูลลั่วมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถยกระดับเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของจิงตูได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นอะไรที่ตระกูลเย่มิอาจหาเรื่องได้
คนจำนวนมากต่างก็รู้ว่า ตระกูลเย่นั้นหลังจากที่ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานเกษียณ อำนาจของตระกูลก็ไม่สู้วันวาน ลูกชายสามคนล้วนมิอาจเป็นผู้นำได้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วโดยสิ้นเชิง หากว่าคราวนี้ลั่วซงเฉิงสามารถเข้าสู่คณะกรรมาธิการทหารได้จริงๆ เกรงว่าตระกูลเย่ต้องพบกับภัยพิบัติอันใหญ่หลวง หากว่าเย่เทียนเฉินฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้น
แน่นอนว่าเหล่าคุณชายพวกนี้ต่างก็มีท่าทีกอดอกมองดูความครื้นเครง อำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในจิงตูนั้นไม่น้อยเลยจริงๆ การแข่งขันนองเลือดมีมาก มีเกมดีๆ มากมายให้ดู คนจำนวนมากต่างก็เอนเอียงไปทางตระกูลลั่ว เนื่องจากอำนาจของตระกูลเย่นั้นสู้ตระกูลลั่วไม่ได้จริงๆ
ชายร่างอ้วนมองคนทั้งหมดที่นั่งอยู่ จิบชาอึกหนึ่ง ถึงจะลุกขึ้นยืนพลางเปิดปากกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเป็นเย่เทียนเฉินที่ฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาจริงๆ ฉันคิดว่าไอ้เศษสวะไม่เอาไหนของตระกูลเย่นี่ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเข้มแข็งขึ้นจริงๆ คำพูดประโยคนั้นของเขาทำให้คนต้องสั่นสะท้าน เย็นสันหลังวาบ!”
“นายนี่ต้องให้ฉันอัดสักยกก่อนใช่ไหมถึงจะพูด?”
“อย่ามายั่วน้ำลายคนอื่นเขาสิ รีบพูดมา!”
“คำพูดประโยคนั้นก็คือ หาเรื่องตระกูลเย่ของฉัน ลบหลู่ญาติมิตรของฉัน ตาย! จากเย่เทียนเฉิน!” ตอนที่ชายร่างอ้วนพูดนั้นมีความตื่นเต้นราวกับว่าตนเองที่เป็นผู้กระทำเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้
เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ อู๋เสวี่ยคนนี้มีความเข้าใจตนเองเชียวหรือ คำพูดประโยคนี้ช่างเหมาะสมกับนิสัยและหลักการของตนเองพอดี หากว่าเขาไปฆ่าลั่วเหลยและลั่วเทาด้วยตนเอง เกรงว่าก็คงจะเขียนประโยคนี้เช่นกัน
“นี่…ไอ้หมอนี่หาที่ตายรึไง? กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้”
“ฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทา แถมยังทิ้งข้อความกับชื่อไว้ ช่าง…ช่างกล้าเกินไปแล้ว!”
“อำนาจของตระกูลเย่ไม่อาจสู้ตระกูลลั่วได้ ในสถานการณ์เช่นนี้หากตระกูลลั่วลงมือใช้อำนาจทำลายตระกูลเย่ เกรงว่ากระทั่งคนระดับบนของประเทศก็ไม่กล้าพูดอะไรมากมายหรอก!”
“เย่เทียนเฉินหาเรื่องตายจริงๆ เขาจะทำให้ทั้งตระกูลเย่ต้องตาย”
เมื่อเหล่าคุณชายพวกนี้ได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน บอกว่าอู๋เสวี่ยฆ่าคนแล้วทิ้งข้อความไว้ ทั้งหมดต่างก็สูดหายใจด้วยความตกใจ พวกเขาแต่ละตระกูลแม้ไม่ได้มีอำนาจมากมายในจิงตู แต่ว่าจะมากจะน้อยก็ยังเข้าใจเรื่องราวระดับบนอยู่บ้าง ลั่วซงเฉิงมีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากมาโดยตลอด ส่วนอำนาจของตระกูลเย่นั้นตกต่ำลงจนกลายเป็นเพียงตระกูลชั้นสามหากพูดถึงอำนาจของตระกูลแล้ว มิใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลลั่วโดยสิ้นเชิง ถ้าจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินคนเดียวสามารถต่อกรทั้งตระกูลลั่วทั้งตระกูลและเปลี่ยนสถานการณ์ของตระกูลเย่ได้ นั่นย่อมมีไม่กี่คนที่จะเชื่อ
“ฉันกลับคิดว่าเจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้ดีมาก เป็นตัวตลกของทั่วทั้งจิงตู หลังจากที่กลับมาที่เมือง ทุกสิ่งที่อย่างที่ทำก็ล้วนแต่โอหัง หากเขาสามารถจัดการตระกูลลั่วได้จริงๆ งั้นก็น่าสนุกมาก…” ชายร่างอ้วนหัวเราะฮี่ๆ พลางกล่าว
เย่เทียนเฉินเดินออกจากเป้ยเฟิงเซวียน คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยหยางไห่พ่อบุญธรรมของอู๋เสวี่ยออกมาได้ เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำตามคำพูด ในเมื่อตอบรับอู๋เสวี่ยแล้วว่า ขอเพียงแค่เขาฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาก็จะช่วยพ่อบุญธรรมของเขาออกมา เช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ย่อมต้องคิดหาวิธี
เพิ่งจะเดินออกมาจากเป้ยเฟิงเซวียน เสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น เมื่อดูก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ปรากฏเบอร์โทรศัพท์โทรเข้ามา จึงกดปุ่มรับสายด้วยความสงสัย
“ฮัลโหล คุณจะคุยกับใครครับ?” เย่เทียนเฉินเปิดปากกล่าวถาม
“ฉันเอง นายลองดูหน่อยว่าตอนนี้รอบๆ มีคนตามนายรึเปล่า หรือไม่ก็อาจจะถูกคนแอบดักฟังหรือเปล่า” อีกฝั่งของโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายตอบกลับมา
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว รีบมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยพลังพิเศษแห่งการรับรู้ พบว่าไม่มีคนที่น่าสงสัยอะไร จึงเปิดปากกล่าวว่า “อู๋เสวี่ย นายช่วยฉันฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาแล้ว ฉันจะทำตามคำสัญญาของฉัน จะช่วยพ่อบุญธรรมนายออกมา!”
ที่แท้คนที่โทรเข้ามาก็คืออู๋เสวี่ยนั่นเอง คนๆ นี้เมื่อคืนไปฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาจริงๆ แล้วยังทิ้งข้อความเอาไว้ตามคำพูดของเย่เทียนเฉินอีกด้วย ทำให้คนตระกูลลั่วรู้ว่าคนที่ฆ่าลั่วเหลยกับลั่วเทาไม่ใช่เขาอู๋เสวี่ยแต่เป็นเย่เทียนเฉิน
“เรื่องนี้ยืดเวลาออกไปก่อนได้ ไม่รีบ ที่ฉันโทรมาหานายเพราะมีเรื่องจะบอกนาย ตระกูลเย่ของนายต้องเจอกับวิกฤตแล้ว รีบเตรียมตัวให้ดีๆ เถอะ!” คำพูดของอู๋เสวี่ยไม่ได้ร้อนรนและก็ไม่ได้ใจเย็น แต่กลับมีบรรยากาศที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน
“ลั่วซงเฉิงเตรียมจะลงมือแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินกล่าวมถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ผิด ที่ลั่วซงเฉิงปิดข่าวก็เพราะเตรียมจะโจมทีกะทันหัน ทำลายตระกูลเย่ของนาย ตอนนี้เขาได้รวบรวบกองทหารองครักษ์แห่งจิงตูแล้ว เป็นไปได้ว่าจะไปที่ตระกูลเย่ของนายเร็วๆ นี้ เตรียมจัดการก่อนค่อยรายงานทีหลัง!” อู๋เสวี่ยเปิดปากกล่าว
“กองทหารองครักษ์แห่งจิงตู? นายหมายถึงหน่วยมังกรฟ้าเหรอ?”
พูดถึงหน่วยมังกรฟ้า เย่เทียนเฉินอดคิดถึงเถี่ยฉุยไม่ได้ คนๆ นี้เป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า วันนั้นตนเองแบกหานเจี๋ยกลับมาก็เป็นเขาที่มาสนับสนุน ตลอดมาได้ยินมาว่าหน่วยมังกรฟ้าไม่เพียงแต่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการเขต ทั้งยังมีหน้าที่ปกป้องจิงตู เนื่องจากจิงตูมีกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่มากมาย ปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยภายในก็ยุ่งเหยิงและยากที่จะจัดการ เรื่องบางเรื่องเกี่ยวพันถึงอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะเกรงว่าจะจัดการไม่ได้ จึงจำเป็นต้องให้หน่วยมังกรฟ้าออกหน้า รับผิดชอบโดยตรงต่อผู้นำสูงสุดระดับประเทศและระดับเขตหลายคน มีหลายคนที่ไม่อาจขายหน้าได้ ดังนั้นหน่วยมังกรฟ้าจึงถูกยกให้เป็นกองทหารองครักษ์แห่งจิงตู
“ใช่แล้ว หัวหน้าหน่วยของพวกเขาก็คือเถี่ยฉุย ฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญมาก เหนือกว่าฉันแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งให้ทำอะไรกับตระกูลเย่ แต่ว่าเป็นไปได้ว่าลั่วซงเฉิงจะส่งคนไปลงมืออย่างลับๆ…” อู๋เสวี่ยเตือนเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดเลยว่าไอ้แก่ลั่วซงเฉิงจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ถึงกับใช้คนของหน่วยมังกรฟ้าเพื่อจัดการกับตระกูลเย่ของตนเอง ต้องทราบว่าสมาชิกทุกคนในหน่วยมังกรฟ้าล้วนแต่ผ่านศึกมานับร้อย ในตอนนั้นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินเห็นเถี่ยฉุยก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆ นี้เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง และยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ หากว่าเป็นเถี่ยฉุยที่ลั่วซงเฉินบอกให้ไปจับคนที่ตระกูลเย่ รวมกับการกระตุ้นของไอ้แก่ลั่วซงเฉิง เป็นไปได้มากว่าจะต้องมีการปะทะถึงขั้นนองเลือดเกิดขึ้น
“ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนายมาก!” เย่เทียนเฉินกล่าวเมื่อได้สติกลับมา
“ไม่ต้อง นายปล่อยฉันไปไม่ฆ่าฉัน ฉันบอกข่าวนี้กับนาย พวกเราหายกันแล้ว!” อู๋เสวี่ยเปิดปากกล่าว
“หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ฉันจะช่วยพ่อบุญธรรมนายออกมาแน่นอน!”
วางโทรศัพท์ไปแล้วเย่เทียนเฉินก็ไม่รอช้า รีบกลับบ้านทันที เขาต้องการที่จะไปคุยกับแม่สักหน่อย ให้แม่และน้องสาวหาสถานที่ปลอดภัยชั่วคราว ลั่วซงเฉิงแห่งตระกูลลั่วจะต้องลงมืออย่างเลือดเย็นแน่นอน ช่วงที่ยังแก้ปัญหาไอ้แก่นี่ไม่ได้ ก็ไม่อาจให้แม่กับน้องสาวมีอันตรายแม้เพียงครึ่งส่วน
ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะกลับถึงบ้าน ยังไม่ทันได้แต่งเรื่องให้แม่กับน้องสาวออกไปเที่ยวสักหลายวัน แม่ก็ลากเขาตรงไปข้างนอกแล้ว
“แม่ เรื่องอะไรกันครับ?”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว บ้านหลักตระกูลเย่ถูกคนนำทหารมาล้อมไว้แล้ว ผู้อาวุโสโทรมาให้แม่ไปหา พ่อของลูกก็ไปถึงแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ
“อะไรนะ? พ่อไปถึงในบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามอย่างคาดไม่ถึง
“ใช่แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่าเย่หงผู้เป็นพ่อถึงกับอยู่ในบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว บ้านหลักตระกูลเย่ถูกคนนำทหารมาปิดล้อม จะต้องเป็นลั่วซงเฉิงทำแน่ๆ เดิมทีเย่เทียนเฉินยังคิดว่า จะไปที่ตระกูลลั่วเพื่อไปหยุดไอ้แก่ลั่วซงเฉิงด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าไอ้แก่นี่จะเคลื่อนไหวรวดเร็วขนาดนี้
“แม่ เดี๋ยวพอไปถึงบ้านหลักตระกูลเย่แล้ว ไม่ว่าผมจะทำอะไร แม่อย่าเพิ่งถาม ไม่งั้นชีวิตของพ่อต้องมีอันตรายแน่นอน” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวออกด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
“แม่…แม่รู้แล้ว…” หลัวเยี่ยนแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเย่เทียนเฉินลูกชายของตนจึงพูดเช่นนี้ แต่เห็นการแสดงออกที่เข้มงวดจริงจังของเขาก็รู้ได้ว่าเหตุการณ์ไม่ได้เรียบง่าย หลังจากที่ลูกชายกลับมาก็ทำให้เธอต้องแปลกใจมากมาย เธอค่อยๆ เชื่อว่าลูกชายของตนเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ เป็นชายชาตรีที่สามารถแบกฟ้าค้ำพสุธาได้คนหนึ่ง
ตอนที่เย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ไปถึงบ้านหลักตระกูลเย่นั้น พบว่าบ้านหลักตระกูลเย่ทั้งหมดถูกทหารพร้อมด้วยอาวุธปืนล้อมเอาไว้ ดูท่าทางสถานการณ์จะรุนแรงจริงๆ ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงถึงกับกล้านำทหารพร้อมอาวุธปืนมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ ท่าทางอยากจะฉีกหน้าจริงๆ และต้องการฆ่าคน ทำลายตระกูลเย่
“ลูก นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนเห็นว่ามีทหารถือปืนเต็มไปหมดทุกที่ก็กล่าวถามออกมาอย่างร้อนรน
“อ๋อ แม่ ไม่มีอะไรครับ อาจเป็นผู้นำคนสำคัญมามั้งครับ แม่อย่ากลัว มีลูกอยู่ทั้งคน พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนเพิ่งจะเดินถึงประตูใหญ่ของบ้านหลักตระกูลเย่ ก็ถูกทหารถือปืนสองคนขวางเอาไว้ นายทหารถือปืนหนึ่งในนั้นกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกคุณเป็นใคร? ที่นี่ไม่อนุญาตให้เข้าไปได้ตามอำเภอใจ!”
“ผมกลับบ้านตัวเองก็ต้องให้พวกคุณอนุญาตด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น
“คุณ…คุณคือ?” นายทหารอีกคนหนึ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวถามออกมา
“เย่เทียนเฉิน”
ทหารถือปืนทั้งสองนายที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูได้ยินเย่เทียนเฉินพูดชื่อออกมาต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี พวกเขาต่างก็เป็นคนของลั่วซงเฉิง ย่อมรู้ถึงสาเหตุที่คราวนี้ลั่วซงเฉิงยกคนมาปิดล้อมบ้านหลักตระกูลเย่ นั้นก็คือเพื่อมาเอาผิด หากไม่สามารถจับเย่เทียนเฉินไปได้ ลั่วซงเฉิงก็เตรียมที่จะฆ่าปิดปาก ใครก็คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้ เย่เทียนเฉินถึงกับกล้ามาจริงๆ นี่ไม่ใช่ว่ากระโดดเข้ามาสู่กับดักแห่งความตายด้วยตัวเองหรอกหรือ?
“อะไรนะ? แกก็คือเย่เทียนเฉิน? แกกล้ามาจริงๆ!” ทหารถือปืนนายหนึ่งได้สติกลับมาก็ลูบปืนในมือพลางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ทำไมฉันจะไม่กล้ามา ไสหัวไปซะ ฉันจะไปหาไอ้แก่ลั่วซงเฉิง!”
เย่เทียนเฉินเตะนายทหารถือปืนเบื้องหน้าคนนั้นพลางจูงหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินเข้าไป
…………………………………………………………………….