ภาคที่ 1 ตอนที่ 41 แย่งคน

มรรคาสู่สวรรค์

ตอนที่ 41 แย่งคน Ink Stone_Fantasy

ไม่มีผู้ใดได้ยินคำพูดระหว่างจิ๋งจิ่วและกู้ชิงหลังจากนั้น หลายคนมิเข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงว่าเขาร้ายกาจยิ่งนัก สามารถก้าวข้ามสภาวะและเอาชนะคู่ต่อสู้ของตัวเองได้ อาจารย์ในยอดเขาทั้งเก้าอยู่กับวิถีกระบี่มาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาสังเกตเห็นความไม่ธรรมดาบางอย่างในการประลองกระบี่ครั้งนี้

ยังมิได้เข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ ทว่าจิ๋งจิ่วสามารถไล่ตามวิถีการเคลื่อนที่ของกระบี่บินโดยอาศัยเพียงตาเปล่าได้ นั่นคือความสามารถในการมองเห็นที่น่าตกใจเพียงใด จะขนานนามมันว่าเนตรกระบี่ก็ดูจะมิเกินไปนัก อีกทั้งปราณกระบี่ของเขายังเต็มเปี่ยมอย่างมาก สามารถเหวี่ยงกระบี่ด้วยความรวดเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สามารถโจมตีถูกกระบี่ของกู้ชิงได้อย่างแม่นยำ

สามารถโจมตีถูกกระบี่ของคู่ต่อสู้ มิได้หมายความว่าจะสามารถเอาชนะกระบี่ของคู่ต่อสู้ได้

เหล่าอาจารย์ของยอดเขาทั้งเก้าต่างมองเห็นอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่จิ๋งจิ่วสะบัดกระบี่ เขาจะบิดข้อมือของตนเองเล็กน้อย ใช้ส่วนที่หนาที่สุดของกระบี่ของตนสัมผัสกับส่วนที่บางที่สุดของกระบี่ของกู้ชิง ปัญหาอยู่ที่เขารู้ได้อย่างไรว่าส่วนที่บางที่สุดของกระบี่ของกู้ชิงคือส่วนใด? นี่ไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น บอกได้เพียงว่าจิ๋งจิ่วเกิดมาพร้อมกับสัมผัสต่อกระบี่ที่เฉียบคมอย่างมาก

ทักษะการใช้กระบี่เช่นนี้มีความซับซ้อนยิ่งนัก ทว่าจิ๋งจิ่วกลับใช้มันออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะการปล่อยกระบี่ของเขามีความลื่นไหล จนให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ทำเอาเหล่ายอดเขาอวิ๋นสิ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องเพลงกระบี่อันงดงามประณีตยังต้องลอบชมในใจ

แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกประทับใจมากที่สุดกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อหนึ่งปีก่อน จิ๋งจิ่วบอกว่าตนเองจะใช้กระบี่ที่อาจารย์อาม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยทิ้งเอาไว้เล่มนั้น มีคนคิดว่าเขาฉวยโอกาส มีคนคิดว่าเขาจิตใจดี จนในเวลานี้ ผู้คนถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงเป็นเพราะเขาชื่นชอบความกว้างหนาและแข็งแรงของกระบี่เล่มนี้ มันสามารถแสดงจุดเด่นในด้านปราณกระบี่อันมากมายก่ายกองและเนตรกระบี่อันยอดเยี่ยมของเขาได้อย่างเต็มที่

ใจกระบี่สงบนิ่งถึงเพียงนี้ สัมผัสกระบี่เฉียบคมขนาดนี้ อีกทั้งมีความเข้าใจในกระบี่อย่างถ่องแท้มาแต่กำเนิดเช่นนี้ นี่หมายความว่ากระไร?

หมายความว่าจิ๋งจิ่วมีพรสวรรค์ในด้านวิถีกระบี่อันน่าตกใจยิ่งนัก

หากบอกว่าจัวหรูซุ่ย เจ้าล่าเยวี่ย หลิ่วสือซุ่ยเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดที่เหมาะสมจะบำเพ็ญพรตมากที่สุด เช่นนั้นเขาก็คือผู้ที่สมควรใช้กระบี่แต่กำเนิด!

สำนักชิงซานคือสำนักกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ลูกศิษย์เช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไรกัน?

……

……

ในเมฆหมอกที่เงียบสงัดมาเป็นเวลานาน ผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมา

ผู้อาวุโสคนนั้นใบหน้าค่อนข้างอัปลักษณ์ ผิวดำคล้ำ นั่นคือผู้อาวุโสมั่วแห่งยอดเขาเทียนกวง

ผู้อาวุโสมั่วเดินมายังริมผา มองดูจิ๋งจิ่วที่อยู่ริมธาร ก่อนจะถูมือไปมาอย่างประหม่าแล้วกล่าวว่า “จิ๋งจิ่ว เจ้ายินดีติดตามข้าร่ำเรียนกระบี่หรือไม่?”

สิ้นประโยคนี้ บริเวณหน้าผาที่เดิมเงียบสงบพลันแตกตื่นขึ้นมาทันที

“จิ๋งจิ่ว เจ้ายินดีสืบทอดกระบี่ของยอดเขาปี้หูหรือไม่?”

“ข้าขอสัญญากับเจ้าในนามเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล ขอเพียงเจ้ายอมมายอดเขาของเรา ยอดเขาของเราจะ…”

“เพลงกระบี่วิหคสวรรค์ของยอดเขาอวิ๋นสิงต่างหากที่เหมาะสมกับเด็กหนุ่มผู้นี้มากที่สุด พวกเจ้าจะแย่ง….”

ครั้นได้ยินเสียงตะโกนยื้อแย้งเหล่านี้ ฉือเยี่ยนที่เมื่อคืนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดยิ่งกว่าเดิม

เขาถอนใจออกมา ครุ่นคิดอย่างจนปัญญาว่าเมื่อมิได้เตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า แล้วยอดเขาซั่งเต๋อจะไปยื้อแย่งกับยอดเขาอื่นได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสมั่วกล่าวไปได้เพียงประโยคเดียวก็ถูกขัดจังหวะ สีหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เพียงแต่ดูมิค่อยออกเท่าไร

“หุบปาก!”

แต่ไหนแต่ไรมาผู้อาวุโสมั่วเป็นคนอารมณ์ดี แต่บางครั้งเมื่อคนอารมณ์ดีถูกยั่วให้โมโห กลับดูน่ากลัวกว่าคนทั่วไปนัก

สายน้ำที่ไหลลงมาจากบนผาหินถูกเจตน์กระบี่กระแทกจนแตกกระจาย กลายเป็นหยาดฝนที่ตกลงมาเต็มท้องฟ้า

เสียงถกเถียงบนหน้าผาค่อยๆ เงียบสงบลง

“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นพวกไร้ประโยชน์มิใช่รึ? เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนแล้วล่ะ?”

ผู้อาวุโสมั่วมองดูแต่ละยอดเขาที่ไร้ซึ่งความละอาย กล่าวว่า “พวกเจ้ายังมีหน้ามาแย่งกับข้าอีกอย่างนั้นรึ”

คำพูดนี้ตรงไปตรงมา คนจากยอดเขาปี้หู ยอดเขาอวิ๋นสิง ยอดเขาซีไหลไร้คำพูดตอบโต้ จึงได้แต่นิ่งเงียบ

อาจารย์มั่วมองไปทางจิ๋งจิ่ว บนใบหน้าอัปลักษณ์พยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้าไม่เหมือนกับเจ้าพวกนี้ ข้าชื่นชมเจ้ามาโดยตลอด แม้ครึ่งปีมานี้เจ้าจะมิเคยไปยอดเขากระบี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ข้าก็ยังเชื่อมั่นว่าวันนี้เจ้าต้องมาปรากฏตัวตรงหน้าข้า”

เวลานี้เหมยหลี่พลันก้าวออกมาริมผา แค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็นพลางกล่าว “ข้าไม่มีสิ่งให้ต้องละอาย ตอนที่ข้ามองเห็นความพิเศษของเด็กคนนี้ ศิษย์พี่มั่วท่านยังมิรู้เลยว่าเขาคือใคร”

ผู้อาวุโสมั่วได้ยินเช่นนั้นจึงพูดอะไรไม่ออก

เหมยหลี่เหลือบมองไปทางหลินอู๋จือที่อยู่อีกฟากหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเคยบอกไว้แต่แรกแล้ว จิ๋งจิ่วต้องเข้ายอดเขาชิงหรงของพวกข้าเท่านั้น ใครกล้ามาแย่งกับข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

ในเวลานี้ น้ำเสียงที่จริงใจและอ่อนโยนเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น

“ศิษย์น้องเหมยกล่าวผิดแล้ว หากบอกว่าใครมองเห็นความพิเศษของเขาได้ก่อน ก็มีสิทธิ์รับเขาเข้ายอดเขา เช่นนั้นเกรงว่ายอดเขาซื่อเยวี่ยของข้าคงจะเป็นอันดับแรกเสียแล้ว”

คนที่กล่าวคือเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย นักพรตกว่างหยวน

เหมยหลี่สีหน้ากวาดกลัวเล็กน้อย โน้มกายคำนับ แต่กลับมิยอมถอย กล่าวว่า “เรื่องนั้นข้ากลับมิทราบ ท่านนักพรตสนใจจิ๋งจิ่วตั้งแต่เมื่อไรกัน”

นักพรคกว่างหยวนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นข้าได้ยินว่าที่ศาลาหนานซงมีลูกศิษย์ที่มีสติปัญญาและความรอบรู้เหนือคน ตอนนั้นข้าได้ให้คนไปบอกศิษย์หลานหลี่ว์ ถามศิษย์ผู้นั้นว่ายินดีมายอดเขาซื่อเยวี่ยของข้าหรือไม่ จิ๋งจิ่ว เจ้ายังจำเรื่องนี้ได้ใช่หรือไม่?”

จิ๋งจิ่วพยักหน้า

เหมยหลี่ถึงได้รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่ นางกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ท่านนักพรต เวลานั้นท่านเพียงต้องการเขาไปเป็นผู้ดูแลอยู่ที่ด้านล่างยอดเขา ไหนเลยจะมองเห็นพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ของเขา?”

……

……

ช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนในวันนี้ก็คือเวลานี้

แต่ละยอดเขาต่างต้องการตัวจิ๋งจิ่วไปเป็นผู้สืบทอดกระบี่ เจ้ามีเหตุผลของเจ้า ข้ามีความตั้งใจเดิมของข้า ต่างฝ่ายต่างมิยอมถอย

ตอนหลิ่วสือซุ่ยออกมายังไม่มีการแย่งชิงที่รุนแรงถึงเพียงนี้ เนื่องเพราะแต่ละยอดเขาต่างรู้ว่าเขาน่าจะเป็นหมากที่เจ้าสำนักวางเอาไว้

จิ๋งจิ่วมิได้มีพื้นภูมิหลังใดๆ ทั้งสิ้น เช่นนั้นแต่ละยอดเขาจะปล่อยเขาหลุดมือไปได้อย่างไร

ครั้นเห็นเหล่าอาจารย์ถกเถียงกันมิยอมอ่อนข้อ กระทั่งเจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยยังออกหน้าด้วยตัวเอง เหล่าศิษย์ที่อยู่ริมธารต่างพากันตกตะลึง

ลูกศิษย์สิบกว่าคนที่ทยอยเข้ามายังศาลาหนานซงในช่วงหลายปีมานี้รู้สึกเป็นเกียรติอยู่ลึกๆ ในใจ ศิษย์น้องอวี้ซานมองดูจิ๋งจิ่วที่ยืนอยู่บนก้อนหิน ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย นางใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบไปบนร่างกายเด็กหนุ่มแซ่หยวนที่มาจากจังหวัดเล่อหลาง เด็กหนุ่มแซ่หยวนเจ็บปวด แต่กลับมิกล้าส่งเสียง ดูน่าสงสารยิ่งนัก

การโต้เถียงมิอาจดำเนินต่อไปแบบนี้ได้ ตอนนี้อำนาจในการเลือกอยู่ในมือจิ๋งจิ่ว

“จิ๋งจิ่ว เจ้าเลือกยอดเขาไหน?”

ผู้อาวุโสจากยอดเขาซื่อเยวี่ยที่ดำเนินงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนมองเขาด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งพลางถาม จากนั้นก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วใช้เสียงกระซิบกระซาบที่มีเพียงตนเองและจิ๋งจิ่วเท่านั้นที่ได้ยินกล่าวว่า “บอกตามตรง ยอดเขาซื่อเยวี่ยของข้าสิ่งอื่นไม่มี แต่ยาวิเศษผลไม้วิญญาณนั้นเรียกได้ว่ามีให้กินไม่หมดไม่สิ้น เจ้ายอดเขาเองก็มีของบางสิ่งที่กระทั่งเจ้าสำนักก็ยังเอามาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้พวกข้าสามารถให้เจ้าได้”

จิ๋งจิ่วยิ้ม

เมื่อครั้งที่เขาคาดคะเนคำนวณอยู่ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ แผนการของเขาคือเข้าไปยังยอดเขาปี้หู แต่ตอนนี้เหลยพั่วอวิ๋นได้ตายไปแล้ว เขาไปยอดเขาปี้หูก็มิได้มีประโยชน์เท่าไร

เหมยหลี่ค่อนข้างเอาใจใส่เขา อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังแสดงความตั้งใจจะให้เขาเป็นผู้สืบทอดกระบี่ แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขามิว่าอย่างไรก็ไม่มีวันไปยอดเขาชิงหรงเด็ดขาด

การบำเพ็ญเพียรของยอดเขาซีไหลคือการพบปะผู้คน แต่เขามิชื่นชอบการพบปะผู้คน

การบำเพ็ญเพียรของยอดเขาอวิ๋นสิงคือการพบปะกระบี่ แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่มีความจำเป็น

ความกดดันในการบำเพ็ญเพียรของยอดเขาซื่อเยวี่ยค่อนข้างน้อย การใช้ชีวิตค่อนข้างสบาย ทว่าเหล่าลูกศิษย์บนยอดเขานอกจากต้องคอยจัดระเบียบตำราต่างๆ แล้ว ยังต้องคอยดูแลพวกสวนผลไม้ยาสมุนไพรที่ล้ำค่าเหล่านั้นด้วย ซึ่งมีความยุ่งยากยิ่งนัก ที่สำคัญที่สุดคือยอดเขาซื่อเยวี่ยมีวานรอยู่เยอะที่สุด ตั้งแต่เช้าจรดเย็นส่งเสียงร้องน่ารำคาญมิหยุด นี่ทำให้เขาไม่ชื่นชอบเอาเสียเลย

เช่นนี้แล้ว ยอดเขาเทียนกวงกลับกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด หลินอู๋จือนั้นนิสัยมิเลว มั่วฉื่อแม้นจะยังพูดจาติดอ่างเหมือนอย่างกาลก่อน แต่นิสัยก็ซื่อตรงจริงใจเหมือนอย่างกาลก่อนเช่นกัน อีกทั้งหากสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเทียนกวง เขาก็จะกลายเป็นศิษย์สายเดียวกับหลิ่วสือซุ่ยอีกครั้ง เมื่อคิดถึงว่าใบหน้าดำๆ นั้นจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร จิ๋งจิ่วก็รู้สึกสนุกขึ้นมา

ขณะที่เขาเตรียมตัวจะตัดสินใจ ทันใดนั้นพลันมองเห็นสาวน้อยที่อยู่บนก้อนหิน ภายในหัวเขาพลันมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมา

“ข้าขอคิดดูก่อน”

จิ๋งจิ่วกล่าวกับผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยผู้นั้น

ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยดูผิดหวัง แต่เขาก็ยังกล่าวตามกฎว่า “ได้ แต่เจ้าต้องทำการตัดสินใจก่อนที่งานชุมนุมเฉิงเจี้ยนจะจบลง”

เขาผิดหวังที่จิ๋งจิ่วมิได้ทำการตัดสินใจว่าจะเข้ายอดเขาซื่อเยวี่ยออกมาในทันที คนที่มีความคิดเช่นนี้ยังมีเหมยหลี่แห่งยอดเขาชิงหรง และผู้อาวุโสมั่วจากยอดเขาเทียนกวง

บางคนผิดหวังที่จิ๋งจิ่วแสดงความโอหังออกมามากเกินไป เหล่าผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับเจ้า แต่เจ้ากลับมัวแต่เลือก คิดว่าตัวเองเก่งมากอย่างนั้นหรือ?

จิ๋งจิ่วเดินกลับไปยังก้อนหิน

เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางกล่าว “ยอดเยี่ยม”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ธรรมดา”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเจ้าอยู่ในสามอันดับแรกที่ข้าเคยเจอมา”

จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่าพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของตัวเองเป็นหนึ่งในชิงซาน”

เจ้าล่าเยวี่ยมิรู้ควรจะกล่าวกระไร นางเดินผ่านตัวเขาไปยังลำธาร

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่นาง

ภายในใจทุกคน ความตกตะลึงที่จิ๋งจิ่วนำมาเมื่อครู่ได้ถูกสะกดเอาไว้ชั่วคราว

เจ้าล่าเยวี่ยจะสืบทอดกระบี่ของยอดเขาไหน? แท้ที่จริงแล้วนางเป็นหมากที่ยอดเขาไหนวางเอาไว้ล่วงหน้ากันแน่?

นี่เป็นปัญหาที่รบกวนสำนักชิงซาน ไปจนถึงโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรกว่าครึ่งมานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็จะได้คำตอบเสียที

…………………………………………………………………..