ตอนที่ 55 พูดคุยแลกเปลี่ยน (1)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

สถานที่ที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเลือกก็คือศาลาริมน้ำวสันต์กระจ่าง เป็นศาลาแห่งเดียวที่สร้างขึ้นบนสระบัวของเรือนสดับวายุ หลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีโอกาสเดินชมให้ทั่ว นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้มา

รอบๆ ศาลาริมน้ำวสันต์กระจ่างนั้นล้วนเต็มไปด้วยต้นหลิว ไม่กี่วันนี้เป็นยามที่ใบหลิวเพิ่งจะผลิใบใหม่พอดี ใบอ่อนสีเขียวได้แต่งแต้มศาลาริมน้ำแห่งนี้ให้มีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวาไม่น้อย บนผิวน้ำไกลๆ นั้นก็มีใบบัวลอยอยู่ประปราย แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ติดกัน กระนั้นกลับช่างสวยงามน่าหลงใหลต่างออกไปอีกแบบ

บริเวณใกล้ศาลาริมน้ำนั้น แม่นมหยางได้หยุดฝีเท้าลง จื่อหลัวเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ตามเข้าไป แต่รั้งรออยู่ด้านข้างแทน มีเพียงช่าจื่อที่เผยใบหน้าประหลาดใจ ทำหูตั้งอยากฟังว่าทั้งสองจะพูดอะไร แต่ก็ไม่อาจทำเป็นไม่สนใจจื่อหลัวที่ถลึงตาใส่ได้จึงจำต้องละทิ้งความคิดนั้นไป

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาพบเจ้าเพราะอะไร?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อทอดสายตามองระลอกคลื่นบนผิวน้ำของสระบัว พยายามจัดการกับความคิด ก่อนจะเอ่ยถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างจริงจัง

“พอจะทราบอยู่บ้างเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแต่อย่างใด การที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยย่อมต้องทำให้เกิดปัญหากับนางอย่างไม่จบไม่สิ้น ความประทับใจที่นางต้องการสร้างให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นก็คือความอ่อนโยนมิใช่อ่อนแอไร้ความสามารถ ความอ่อนโยนเพียงพอที่จะทำให้นางคิดอยากปกป้อง ส่วนความอ่อนแอไร้ความสามารถก็ทำให้นางทอดทิ้งได้เช่นกัน ได้ยินคำถามของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงกล่าวอย่างไม่ลังเล “เดิมทีคิดว่าฮูหยินจะส่งแม่นมที่ไว้ใจได้คนหนึ่งมาตักเตือนมี่เอ๋อร์ ตอนแรกก็คิดไปว่าแม่นมตู้คือผู้นั้น เพียงแต่ไม่นึกมาก่อนเลยว่าตระกูลซั่งกวนจะซับซ้อนกว่าที่มี่เอ๋อร์คิดไว้มาก”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแม่นมตู้ไม่ใช่คนที่ข้าตั้งใจส่งมาตักเตือนเจ้า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดตรงๆ ถึงเพียงนี้ แต่สิ่งที่สงสัยมากกว่าคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าแม่นมตู้ทำเป็นหน้าไหว้หลังหลอกกับตัวเองตั้งแต่เมื่อใดกัน

“หากนางเป็นคนที่ฮูหยินตั้งใจส่งมาให้มี่เอ๋อร์ เช่นนั้นช่าจื่อและเยียนหงก็คงจะเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งของมี่เอ๋อร์ ตั้งแต่มี่เอ๋อร์ยังไม่ได้ยอมรับไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่ทำให้มี่เอ๋อร์ไม่ชอบใจตั้งแต่แรก ทั้งมี่เอ๋อร์ก็ไม่อาจส่งเยียนหงกลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปรึกษากับฮูหยินได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “มี่เอ๋อร์รู้ดีว่าตัวเองเกิดในตระกูลพ่อค้า จึงทำให้มักถูกคนอื่นใช้สายตาพินิจในมุมมองที่แตกต่างกันไป แต่ฮูหยินและคนที่ฮูหยินไว้ใจย่อมไม่มีทางใช้สายตาและท่าทีเช่นนั้นกับข้าได้ ในทางตรงกันข้าม เพื่อให้ภายหลังมี่เอ๋อร์สามารถยืนหยัดในตระกูลซั่งกวน หรือทำให้คนเคารพนับถือได้ ฮูหยินย่อมจะสนับสนุนมี่เอ๋อร์ให้มากกว่านี้แน่”

“เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพอใจกับคำตอบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “แม่นมตู้เป็นบ่าวชั้นหนึ่งที่ฮูหยินใหญ่มอบให้แก่ข้าในยามที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน นางอยู่ข้างกายข้ามายี่สิบกว่าปี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังเลี้ยงไม่เชื่อง แม้นางจะทำเป็นหน้าไหว้หลังหลอกกับข้า ทว่ากับฮูหยินใหญ่แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะซื่อสัตย์จริงใจถึงเพียงนั้น ขณะเดียวกันนางก็ยังฟังคำสั่งจากอนุภรรยาอู๋ นับเป็นคนที่ตีสองหน้าคนหนึ่ง ยามที่พ่อของเจ้าพูดคุยเรื่องแต่งงาน ข้าก็รู้แล้วว่าข้างกายของเจ้าคงจะไม่มีสาวใช้เพียงพอ เวลานั้นได้กำหนดมอบแม่นมสี่คน สาวใช้ใหญ่สองคน สาวใช้อายุน้อยอีกสี่คนให้เป็นสินสอด แม้แต่แม่บ้านหรือพ่อ บ้านก็ล้วนไม่มี ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้นายท่านคัดเลือกสาวใช้ดีๆ ในตระกูลให้เจ้าไม่กี่คน โดยมีสาวใช้ชั้นหนึ่ง สาวใช้ชั้นสาม และสาวใช้ทั่วไป แต่คาดไม่ถึงว่าแม้นายท่านจะเห็นด้วย กลับมอบเรื่องนั้นให้อนุภรรยาอู๋จัดการเสียได้ ทำให้ข้าไม่อาจควบคุมเรื่องทั้งหมดได้”

“มี่เอ๋อร์ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงใจ “ข้างกายของข้ามีทั้งจื่อหลัว ลู่หลัว หากเพิ่ม

สาวใช้ชั้นหนึ่งพวกนั้นเข้ามาก็คงมากเกินพอดี อย่างไรพวกนางก็สอดมือเข้ามาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ไม่ว่าพวกนางจะเป็นใคร จะ ลอบทำการหรือฟังคำสั่งจากผู้ใด ก็ล้วนเหมือนกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ข้างกายของข้าก็มีแม่นมฉินคอยจัดการอยู่ พวกนางคิดจะใช้แผนการเล่ห์เหลี่ยมอันใด หากปิดหูปิดตาแม่นมฉินไม่ได้ก็คงทำไม่สำเร็จหรอกเจ้าค่ะ”

“เจ้าใสซื่อเกินไปแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวทั้งถอนหายใจ “เจ้าคงไม่รู้ว่าสิ่งที่สร้างบาดแผลอย่างเจ็บปวดที่สุดก็คือคนข้างกายที่ไว้ใจมากที่สุดนี่แหละ ยามนั้นข้าก็ถูกคนข้างกายลอบวางแผนเช่นกัน!”

“ฮูหยิน ข้าไม่รู้ว่ายามนั้นท่านเจ็บปวดเช่นไรกับเรื่องนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าเชื่อมั่น นั่นก็คือข้าไม่อาจให้คนข้างกายของข้ามาทำร้ายข้าได้แน่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้ารู้ว่าฮูหยินกังวลเรื่องอะไร บางทีมี่เอ๋อร์อาจจะอ่อนโยนเกินไป แต่ข้าเป็นลูกของท่านแม่ ย่อมต้องได้รับความแข็งแกร่งมาจากนาง ไม่อาจถูกทำร้ายได้ง่ายๆ แน่”

“น้องฉิงเคยพูดถึงเรื่องข้ากับเจ้าหรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคาดไม่ถึงมาก่อนว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อ่อนโยนนั้นจะมีรอยยิ้มที่มั่นใจได้ขนาดนี้ แม้ว่าความเชื่อมั่นแบบเสวี่ยฉิงจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ยังคงถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะแววตาคู่นั้นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้ไม่ได้เฉียบคมจนมองทะลุปรุโปร่งเฉกเช่นจงเสวี่ยฉิง ทว่ากลับมีชีวิตชีวาและให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย

“ท่านแม่ไม่ได้พูดกับข้าหรอกเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ แน่นอนว่า หากเป็นจงเสวี่ยฉิงแล้ว นางไม่อาจพูดเรื่องพวกนั้นกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้หรอก เพราะจงเสวี่ยฉิงเป็นคนที่เข้าใจลูกสาวตัวเองมากที่สุด นางรู้ว่าลูกสาวสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตระกูลซั่งกวนได้อย่างแน่นอน จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไร

“เพราะอะไรกัน?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสงสัยเป็นอย่างมาก ตระกูลซั่งกวนสลับซับซ้อนมากสิ่ง ทำให้บางครั้งนางเองก็ยังหายใจลำบาก แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะฉลาดถึงเพียงใด แต่ก็เป็นเด็กสาวแรกรุ่นอายุสิบเจ็ดปีผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่มีเบื้องหลังตระกูลที่แข็งแกร่ง ไม่มีพละกำลังที่จะต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้มองโลกได้อย่างถ่องแท้ดังจงเสวี่ยฉิง (ที่จริงแล้วก็มองออกอยู่บ้าง) เหตุใดน้องฉิงจึงกล้าชะล่าใจขนาดนี้?

“หลายครั้งการวางแผนก็มักจะตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน หากตอนนี้ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางอาจจะพูดเรื่องของท่านและตระกูลซั่งกวนอยู่บ้าง แต่ยามที่นางจากไป คงรู้ว่าอย่างเร็วที่สุดสามปีข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ นางย่อมไม่อาจพูดเรื่องของท่านและตระกูลซั่งกวนให้ข้าฟังก่อนแน่ และอาจจะห้ามคนอื่นๆ ไม่ให้พูดด้วย แทนที่จะให้ข้าใช้ท่าทีและแววตาที่ราวกับรู้ทุกสิ่งเผชิญหน้า ยังมิสู้ไม่ต้องรู้อะไรเลยจะดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบง่าย

“ใช่แล้ว สามปีมานี้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยจริงๆ!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเห็นด้วย ดูท่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะใสซื่อไปเล็กน้อย แต่ก็ยังสืบทอดความฉลาดหลักแหลมมาจากน้องฉิง อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ตัวเองและบุตรสาวมีความคิดเลิศล้ำ

“เช่นนั้นท่านยังมีอะไรจะสามารถพูดให้ข้าฟังหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะพูดเรื่องเดียวกับแม่นมฉินหรือไม่ แต่อย่างไรก็คงไม่ต่างกันนักหรอก!

“การแต่งงานของข้าและนายท่านไม่ได้มาจากการปรึกษาของพ่อแม่” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างไม่ได้อ้อมค้อม “ยามนั้นตระกูลหวงฝู่ย่อมคาดหวังที่จะแต่งเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลซั่งกวน แต่คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่ข้า ข้าเองมีพี่สาวสายเลือดเดียวกันที่นับว่าโดดเด่นคนหนึ่ง ภายใต้แสงสว่างของนาง ข้าก็คล้ายถูกบดบังอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด ในยามที่มีท่านพี่ก็แทบจะไม่มีใครมองเห็นการมีตัวตนของข้า ในผู้คนเหล่านั้นก็ไม่เว้นแม้แต่ท่านแม่ นอกจากนี้ภายใต้แสงสว่างของท่านพี่ ผู้ที่ทำให้ผู้คนสนใจยังมีพี่สาวซึ่งเป็นลูกอนุภรรยาอีกสามคน กระทั่งท่านแม่ก็ยังโปรดปรานพวกนาง ถึงขนาดคิดถึงพวกนางเป็นอันดับแรก และหลังจากที่พวกนางโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านแม่ก็ยังเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดของพวกนาง ดังนั้นยามที่ข้าเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่น ด้านบนก็มีถึงสี่คนที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้แล้ว ตัวข้ามีป้าอยู่คนหนึ่ง นางเป็นภรรยารองของพ่อสามี ทั้งยังนับเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง แต่เพราะว่าแม่ของนางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับนายหญิง จนยามที่นางได้แต่งออกไป ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดของลูกอนุภรรยา และนางก็เอ็นดูพี่สาวต่างมารดาคนหนึ่งของข้า พี่สาวลูกอนุภรรยาผู้นั้นก็คือเจ้าสาวที่ตระกูลหวังฝู่คิดอยากจะใช้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลซั่งกวน!”

มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

“ภายหลังข้าได้รู้จักน้องฉิง และก็เพราะการตักเตือน ให้กำลังและความช่วยเหลือของน้องฉิง ในที่สุดข้าจึงมีความกล้า แสดงความสามารถหนึ่งเดียวที่ข้ามีอยู่ออกมา จนมีชื่อเสียงในเมืองเซิ่งจิง ทำให้นายท่านรับรู้การมีตัวตนของข้า และก็ชื่นชอบข้า หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นฝ่ายมาทาบทามสู่ขอตระกูลหวงฝู่” พูดมาถึงตรงนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็มีความเขินอายเล็กน้อย

ในยามที่นางยังไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ นางก็รู้จักกับซั่งกวนฮ่าวแล้ว ทั้งแอบมีใจให้กับเขา แต่ในเวลานั้น ซั่งกวนฮ่าวก็สูงเกินจะเอื้อมถึง ในตอนที่ซั่งกวนฮ่าวมาทาบทามนางกับตระกูลหวงฝู่ นางไม่ได้รู้สึกเหนียมอายแต่อย่างใด กลับรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้นและตกตะลึงเสียมากกว่า

“ยามที่ข้าเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลซั่งกวน ฮูหยินใหญ่ก็ดีกับข้าไม่น้อย ดังนั้นเมื่อฮูหยินใหญ่ส่งสาวใช้มาให้ข้า ข้าก็ย่อมรับไว้” หวังฝู่เยวี่ยเอ้อหวนคิดถึงเรื่องราวในยามนั้น “กลับกัน ท่านป้าที่มีสายเลือดเดียวกันกับข้าผู้นั้นกลับจู้จี้จุกจิกยิ่งนัก ยังดีที่เรื่องของตระกูลซั่งกวนอยู่เกินขอบเขตของนาง หลังจากที่ข้าคลอดเจวี๋ยเอ๋อร์มาหลายปีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ก่อนฮูหยินใหญ่จะมอบหนิงซิน ลูกสาวของแม่นมหนิงคนข้างกายที่นางไว้ใจมากที่สุดให้มาอยู่ร่วมห้องกับพวกเรา ข้าในยามนั้นอีกนิดก็คงจวนเจียนจะแตกสลายแล้ว และหนิงซิน ไม่ถึงครึ่งปีก็มีข่าวดี ข้าพูดได้ทั้งน้ำตาว่าข้าเป็นคนที่ยอมรับนางเข้าเป็นเมียบ่าว และในยามนั้นแม่นมข้างกายข้าก็แนะนำว่า ให้ข้าเปิดตัวสวีเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายที่ไว้ใจได้อีกคน แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกอู๋น่งอวิ๋นชิงไปก่อนก้าวหนึ่ง นายท่านคิดว่า นั่นเป็นความคิดของข้าจึงได้รับน่งอวิ๋นไว้ แต่ภายหลังข้าจึงรู้ว่า น่งอวิ๋นมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่มีความกล้าเช่นนั้นกลับเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากท่านป้าของข้า ท่านป้าผู้นั้นของข้า…เคยกระทั่งยกเรื่องพี่สาวลูกอนุภรรยาที่นางชื่นชอบมาโดยตลอด เสนอเป็นภรรยารองให้นายท่าน ภายหลังจึงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ท้ายที่ สุดน่งอวิ๋นก็กลายเป็นเมียบ่าวของนายท่าน ในขณะเดียวกันยังมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่พ่อของนางไปทำเรื่องผิดมา จึงถูกลดฐานะให้เป็นนางโลม ทำให้ข้าจำต้องรับหวังชิ่นเซียนที่อับจนหนทางมาไว้ แม้ภายหลังแม้ข้าจะตั้งครรภ์ติดต่อกัน แต่ก็ยังคงตกลงสู่ความกลัดกลุ้ม ไม่ว่าจะปรับทุกข์กับท่านพ่อท่านแม่กี่ครั้งก็ล้วนไม่ได้รับความช่วยเหลือ จวบจนได้พบกับน้องฉิงอีกครั้ง…”

อาจพูดได้ว่า…“น้องฉิงเป็นคนที่ล้ำค่าในชีวิตของข้า ครั้งแรกที่ได้รู้จักมักคุ้นกับนาง ข้าก็คล้ายกับได้รับชีวิตใหม่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนได้รับความสนใจขึ้นมา ครั้งที่สองที่พบกัน นางกลับให้ข้ากลับไปหาความสุขจากครอบครัวอีกครั้ง ทำความเข้าใจกับฐานะของตนเอง เวลานั้นน้องฉิงเพียงถามข้าหนึ่งประโยคว่า ‘มีความทุกข์ใจไฉนจึงต้องไปคร่ำครวญกับญาติพี่น้องของตระกูลหวังฝู่ เจ้าเป็นคนของตระกูลซั่งกวนแล้ว ควรจะพึ่งพาใจกายจากสามีจึงจะถูก’ และตั้งแต่นั้นมาข้าก็ละทิ้งฐานะคุณหนูของตระกูลหวงฝู่ ทำหน้าที่เป็นสะใภ้ของตระกูลซั่งกวนด้วยใจจริง และเริ่มจากเวลานั้นเช่นกันที่นายท่านปกป้องดูแลข้าเป็นอย่างดี เพียงแต่กลับมีเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถอนหายใจ “เพราะการมีตัวตนของหนิงซินและบุตรทั้งสามคนนั้น ฮูหยินใหญ่จึงเริ่มจู้จี้จุกจิกกับข้า ทั้งท่านป้าก็ด้วย เพราะนายท่านไม่ยอมรับพี่สาวลูกอนุภรรยาข้าผู้นั้น จึงให้นางแต่งเข้าตระกูลขุนนางที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมา นางก็ยิ่งคอยจ้องจับผิดข้า ถึงขั้นพยายามสนับสนุนอู๋น่งอวิ๋นให้เป็นศัตรูกับข้ายามนี้อู๋น่งอวิ๋นก็ยังควบคุมคนที่ท่านป้าเหลือไว้เมื่อปีนั้นอยู่”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มีคำตอบให้กับสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจมาตลอด…

 มิน่าเล่า แม้จะไม่มีอะไร อนุภรรยาอู๋ก็สามารถขัดแข้งขัดขาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่ท่านป้าหวงฝู่ผู้นั้นเหตุใดจึงเลือกใช้อู๋น่งอวิ๋น คนที่ชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้หนึ่งมาหาเรื่องกับหลานสาวของตัวเองเล่า? นั่นเป็นปัญหาหนึ่งที่ควรค่าแก่การพิจารณา!

“แต่ว่าอู๋น่งอวิ๋นก็กระวนกระวายใจอยู่เช่นกัน!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอธิบาย “ผู้ชายในตระกูลซั่งกวน โดยเฉพาะผู้นำตระกูลล้วนอายุไม่ยืนยาว ท่านป้าไม่มีบุตร นั่นก็หมายความว่ายามชราย่อมไร้ที่พึ่งพา นางและฮูหยินใหญ่คล้ายดั่งน้ำกับไฟ ต่างก็ห้ำหั่นกันกว่าครึ่งชีวิต นางรู้ดีว่าหากพ่อสามีไม่อยู่แล้ว ฮูหยินใหญ่ย่อมต้องหาวิธีจัดการนาง นางเอาแต่คิดที่จะนำพี่สาวลูกนอกสมรสของข้าผู้นั้นเข้ามาในตระกูลซั่งกวน แค่เพียงเพราะว่าหมดหวังในตัวข้าก็เท่านั้น ทั้งยังหวังว่าพี่สาวผู้นั้นเมื่อแต่งเข้ามาก็จะเป็นหลักประกันให้กับนาง แต่ที่น่าเศร้าก็คือ นางไม่สมปรารถนาไม่ว่า กลับยังก่อปัญหาให้ข้าอย่างไม่สิ้นสุด! ยามที่พ่อสามีจากไป ยังไม่ทันส่งวิญญาณ ฮูหยินใหญ่ก็ไม่คิดปล่อยนางไป บีบบังคับให้ตกตายตามกันไปด้วย ข้าเองก็ไม่ได้พยายามปกป้องนางจนถึงที่สุด นอกจากนายท่านไม่ให้ข้าเข้าไปสอดมือยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางของผู้ใหญ่แล้ว ก็อาจจะเป็นเพราะการกระทำของนางที่ทำให้ข้าเลือดเย็นเช่นนี้ เวลานั้นอนุภรรยาอู๋ก็ตกใจเช่นกัน นางกลัวอย่างสุดหัวใจว่านางจะมีจุดจบดั่งท่านป้า ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ว่า ถึงขนาดยังพยายามคิดหาวิธีปรองดองกับข้า นางใช้ความพยายามคิดอย่างยิ่งที่จะให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์โดยไม่นึกถึงสิ่งใดก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน”

ที่แท้อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนี่เอง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดาทางอู๋เลี่ยนเยี่ยนได้ชัดเจนขึ้นมาไม่น้อย ทั้งยัง แจ่มชัดอีกว่าจะจัดการกับนางอย่างไร!

—————————————————–